ตลอดเวลาหลายพันปีที่ผ่านมา วัดเสาหลินจัดเป็นเสาหลักสำคัญของยุทธภพมาโดยตลอด ไม่ว่าจะผ่านการเปลี่ยนแปลงจากวิถียุทธมาเป็นวิถีเซียน หรือจะเป็นการย้ายสถานที่เข้ามาอยู่ในโลกใบเล็ก
ผู้ที่มีบทบาทและอำนาจในการตัดสินใจก็คือวัดเส้าหลิน เพราะนอกจากจะเป็นสำนักที่มีความเก่าแก่ที่สุดแล้ว
ยังมีหลักคำสอนและเคล็ดวิชาต่างๆครอบคลุมทุกศาสตร์ ทั้งวิชาหมัด เท้า ฝ่ามือ กระบี่ ดาบ พลองและอื่นๆอีกมากมาย
จนมีคำกล่าวที่ว่าหมื่นสรรพวิชาล้วนถือกำเนิดจากเส้าหลิน
นอกจากนี้…วัดเส้าหลินยังไม่ยุ่งเกี่ยวต่อการแก่งแย่งชิงดีในยุทธภพ ศิษย์วัดเส้าหลินทุกคนต่างมุ่งสร้างความดี และศึกษาพระธรรมเพื่อบรรลุเป็นพระอรหันต์ หลุดพ้นจากการเวียนว่ายตายเกิด
แม้พวกเขาจะดูคร่ำครึไปบ้าง แต่ก็ได้รับการยอมรับนับถือเป็นวงกว้างจากทุกคนในยุทธภพ
นี่จึงเป็นเหตุผล ที่ถึงแม้พวกนักพรตฮวยเหล็งจะกุมอำนาจส่วนใหญ่ของสมาพันธ์บู๊ลิ้มไว้ แต่ก็ไม่สามารถออกคำสั่งกับวัดเส้าหลินและสำนักต่างๆที่เห็นด้วยกับวัดเส้าหลินได้
สุดท้ายเขาจึงเลือกใช้วิธีอ้อมค้อม อย่างการผลักดันให้จ้าวเทียนกลายเป็นมารร้ายในสายตาของทุกคนในยุทธภพ เพื่อให้วัดเส้าหลินจำเป็นต้องลงมือเพื่อผดุงความยุติธรรม
‘ ให้ออกบวชเป็นเวลาสิบปีงั้นรึ…แบบนี้ก็ไม่ถือว่าแย่ ถึงแม้อีกฝ่ายจะยังมีชีวิตอยู่ แต่ก็ไม่ต่างจากตาย หลังจากครบสิบปี โลกภายนอกก็คงตกเป็นของสมาพันธ์บู๊ลิ้มแล้ว ’
นักพรตฮวยเหล็งค่อนข้างพอใจกับผลลัพธ์แบบนี้ แม้แต่เจ้าสำนักง้อไบ๊และเจ้าสำนักช้วนจินก่าเองก็เช่นกัน
พวกเขารู้ดี ในอดีตไม่ว่าจะมีมารร้ายที่ก่อกรรมทําเข็ญมามากขนาดไหน วัดเส้าหลินก็ไม่เคยสังหารมาก่อน แต่ใช้วิธีการกล่อมเกลาให้เข้าสู่ทางธรรมแทน
เอาเข้าจริงๆ สำหรับพวกที่มีกิเลสหนาแล้ว การที่ต้องถูกกักตัวอยู่ในวัดนั่งสวดมนต์ทุกวัน คงจะทรมานยิ่งกว่าตายทั้งเป็นเสียอีก
ทางด้านจ้าวเทียนกับเทพกระบี่ เมื่อได้รู้จุดประสงค์ของหลวงจีนคิ้วขาว พวกเขาก็หันมามองหน้ากันเองด้วยความอ่อนใจ
โดยเฉพาะเทพกระบี่ที่รู้จักนิสัยของหลวงจีนคิ้วขาวดี สิ่งที่อีกฝ่ายพูดออกมา ไม่เคยกลับคำมาก่อน ครั้งนี้เห็นทีคงหลีกเลี่ยงจากการต่อสู้ยากแล้ว
ในขณะที่เทพกระบี่กำลังจะลองเจรจาต่อรองดู จ้าวเทียนก็ส่งเสียงทางลมปราณมาเสียก่อน จากนั้นทั้งสองก็พูดคุยกันอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนที่แววตาของเทพกระบี่จะทอประกายออกมา
“ ก่อนอื่น…ฉันขอถามผู้อาวุโสสักข้อได้ไหม อะไรคือการเก็บตัวศึกษาพระธรรมสิบปี ฉันจะต้องกลายเป็นศิษย์ของวัดเส้าหลินงั้นเหรอ ” จ้าวเทียนถามขึ้นด้วยน้ำเสียงจริงจัง
“ ถูกแล้ว…อาตมาจะรับประสกเป็นศิษย์ของพุทธองค์ แล้วใช้พระธรรมขัดเกลาประสกให้วางดาบสังหาร เปลี่ยนเป็นผู้ที่อยู่ในศีลในธรรม ” หลวงจีนคิ้วขาวพูดขึ้นด้วยเสียงอ่อนโยน แววตาของท่านมีเมตตาเหมือนต้องการโปรดสัตว์
“ ฉันคิดว่าท่านน่าจะรู้ดี…ว่าฐานะที่แท้จริงของฉันคืออะไร หากฉันต้องหายไปถึงสิบปี ผู้คนอีกหลายล้านคนที่อยู่ในโลกภายนอก คงถูกสมาพันธ์บู๊ลิ้มม้วนดึงเข้าสู่สงครามแน่นอน ”
“ปณิธานของวัดเส้าหลิน…คือการช่วยเหลือทุกชีวิตให้พ้นทุกข์ไม่ใช่เหรอ หรือท่านเห็นว่าชีวิตของคนในสมาพันธ์ มีค่ามากกว่าชีวิตของผู้บริสุทธิ์หลายล้านคนกันล่ะ ” จ้าวเทียนอธิบายอย่างมีเหตุผล
“ อามิตตาพุทธ…ตราบใดที่อาตมายังมีชีวิตอยู่ ไม่มีทางปล่อยให้เกิดเรื่องแบบนั้นแน่นอน สมาพันธ์บู๊ลิ้มก่อตั้งขึ้นมาเป็นตัวแทนของฝ่ายธรรมะย่อมไม่ทำร้ายผู้บริสุทธิ์ ขอประสกไม่ต้องเป็นห่วงเรื่องนี้ ” หลวงจีนคิ้วขาวพูดออกมีด้วยสีหน้าจริงจัง
ถึงแม้ว่าท่านจะหยุดสงครามไม่ได้ แต่ก็ไม่มีทางปล่อยให้ผู้บริสุทธิ์มากมายต้องได้รับผลกระทบไปด้วยแน่
ซึ่งคำพูดของหลวงจีนคิ้วขาว ก็เรียกเสียงตอบรับจากตัวแทนสำนักต่างๆ และทุกคนที่กำลังเฝ้าดูอยู่
“ ใช่แล้ว…พวกเราเป็นฝ่ายธรรมมะ ไม่มีทางจะไปทำเรื่องชั่วๆแบบนั้นหรอก ”
“ เลิกถ่วงเวลาได้แล้ว…รีบยอมรับเงื่อนไขของท่านเจ้าอาวาสซะ แค่ท่านเมตตาไม่สังหารแกก็ดีแค่ไหนแล้ว ”
“ แกคิดว่า คนอื่นจะสังหารคนไปทั่วแบบแกหรือไง ”
ผู้คนมากมาย ต่างพากันพูดจาเยาะเย้ยถากถางจ้าวเทียน โดยเฉพาะพวกสายลับของนักพรตฮวยเหล็งที่แฝงตัวอยู่ พวกเขาต่างเหมารวมเอาเหตุการณ์ปล้นฆ่าสังหารที่เกิดขึ้นในช่วงนี้ โดยใส่ร้ายว่าเป็นฝีมือของจ้าวเทียนทั้งหมด
ซึ่งนั่นก็ทำให้ผู้คนต่างพากันบ้าคลั่งกว่าเดิม จากที่แค่พูดถากถางก็เปลี่ยนเป็นสาปแช่งให้จ้าวเทียนไม่ตายดี
ถึงกับมีบางคนเสนอให้ห้ายอดฝีมือแห่งยุคร่วมมือสังหารมารร้ายตนนี้ไม่ต้องเก็บไว้ให้เป็นเภทภัยในอนาคต
จ้าวเทียนที่เห็นแบบนั้นก็ยิ้มขึ้นอย่างเย็นชา เขากวาดตามองพวกโง่เขลาที่ถูกคนอื่นปลุกปั่นด้วยสายตาเย้ยหยัน
จากนั้น
ฮ่า ฮ่า ฮ่า
จ้าวเทียนหัวเราะออกมาเสียงดัง แล้วพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงเย็นชา
“ ฝ่ายธรรมะงั้นเหรอ…ไม่สังหารผู้บริสุทธิ์งั้นเหรอ นี่เป็นเรื่องตลกที่สุดเท่าที่ฉันเคยได้ยินมาเลย สมาพันธ์บู๊ลิ้มควรจะเปลี่ยนเป็นชื่อเป็นสมาคมผู้ดีจอมปลอมน่าจะดีกว่า ”
“ พวกแกทุกคน บอกว่าฉันเป็นมารร้ายที่สังหารคนมามากมาย แต่รู้อะไรไหมพวกที่ตายด้วยฝีมืฉันล้วนแต่สมควรตายทั้งสิ้น ”
“ อยากให้ฉันเล่าออกมาไหม…ว่าได้พบเห็นพวกแกทำเรื่องชั่วอะไรมาบ้าง ”
!!
คำพูดของจ้าวเทียน ทำให้บรรยากาศทั้งหมดตกอยู่ในความเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนที่จะวุ่นวายยิ่งกว่าเดิม
“ แก…อย่ามาพูดพล่อยๆ ”
“ คิดจะใส่ร้ายคนอื่น…เพื่อเอาตัวรอดงั้นเหรอ ”
“ ไอ้เศษสวะเอ้ย…อย่ามาพูดมั่วๆ สมาพันธ์ของพวกเราไม่มีทางเป็นแบบนั้น ”
หลวงจีนคิ้วขาวเห็นแบบนั้น ก็เปล่งเสียงอามิตาพุทธออกมา ด้วยเคล็ดวิชาทางธรรม มันช่วยสลายอารมณ์ด้านลบในจิตใจ ทำให้ทุกคนค่อยๆสงบลงอย่างรวดเร็ว
“ หืม…น่าสนใจดีนี่ ไหนลองบอกมาสิว่าพวกคนที่นายฆ่าไป ทำความผิดอะไรไว้บ้าง แต่ฉันขอบอกไว้ก่อน อย่าคิดโกหกเพื่อเอาตัวรอดเด็ดขาด ไม่งั้นฉันจะลงมือสังหารนายด้วยตัวเอง ” อั้งฮวงหลงพูดขึ้นด้วยแววตาเฉียบคม
“ นี่มันไม่จริง…ฉันไม่เชื่อว่าทางสมาพันธ์จะทำเรื่องนี้ ”
“ ไร้สาระ…แหกตาดูแผ่นหยกในมือของท่านเจ้าอาวาสวัดเส้าหลินกับประมุขพรรคกระยาจกสิ ถ้ามันเป็นของปลอมพวกเขาคงพูดอะไรออกมาแล้ว ”
ตอนนี้พวกที่เคยตะโกนด่าสาปแช่งจ้าวเทียน ต่างพากันก้มหน้าด้วยความอับอาย แม้แต่พวกสายลับที่แฝงตัวอยู่ ก็ไม่กล้าพูดอะไรออกมา เพราะไม่อยากตกเป็นเป้าหมายของทุกคน
จ้าวเทียนที่เห็นแบบนั้นก็รู้เลยว่า ทั้งหลวงจีนอู๋ซินและเซียวถิงถิงคงถูกฝ่ายของพวกนักพรตฮวยเหล็งหลอกเอา
พวกเขาคิดว่าการสร้างธงวิญญาณแค้นเป็นความเห็นของทุกสำนัก ทำให้ไม่กล้าลงมือขัดขวางตั้งแต่แรก
“ ผู้อาวุโส…จากที่คุณบอกว่า ต้องการจะรับฉันเป็นศิษย์เพื่อเข้าสู่พุทธศาสนาเป็นเวลาสิบปี เรื่องนี้ฉันคงต้องขอปฏิเสธ ”
“ เพราะดูแล้ว…คุณยังไม่มีคุณสมบัติที่จะเป็นอาจารย์ของฉัน แม้แต่เด็กร้อยกว่าคน คุณยังปกป้องไว้ไม่ได้ แล้วคุณจะไปปกป้องผู้บริสุทธิ์นับล้านได้อย่างไร ” จ้าวเทียนพูดออกมาด้วยแววตาเฉียบคม
!!
คำพูดของจ้าวเทียน ได้ทำให้แผ่นหลังของหลวงจีนคิ้วขาวสั่นสะท้านเบาๆ ท่านไม่ได้รู้สึกโกรธเพราะที่อีกฝ่ายพูดมานั้นเป็นเรื่องจริงทั้งหมด
หากไม่ใช่เพราะจ้าวเทียนได้ไปพบเจอเข้าโดยบังเอิญ นอกจากท่านจะต้องเสียศิษย์สืบทอดไปแล้ว หากธงวิญญาณแค้นถูกใช้ในสงครามจริงๆ ไม่รู้ว่าจะมีกี่ชีวิตที่ต้องสูญเสียไป
เพราะอาวุธเวทชิ้นนี้ จะสังหารทุกชีวิตในอยู่ในอาณาเขตของมัน โดยไม่จำแนกว่าอีกฝ่ายจะเป็นทหารหรือประชาชน ถ้าใช้มันในบริเวณเมืองใหญ่ๆคงกลายเป็นนรกบนดิน
ส่วนแผ่นหยกที่อีกฝ่ายให้มานั้น ท่านได้ตรวจสอบแล้ว มันเป็นของหลวงจีนอู๋ซินจริงๆ ไม่ได้ถูกปลอมแปลงขึ้น
“ อามิตตาพุทธ…ประสกฮวยเหล็ง โยมมีอะไรจะพูดกับอาตมาไหม ” หลวงจีนคิ้วขาวหันไปถามอีกฝ่ายด้วยน้ำเสียงเย็นชา
เรื่องที่ศิษย์สืบทอดเกือบถูกผู้อาวุโสบู๊ตึ้งสังหารไป ต่อให้ท่านศึกษาพระธรรมมายาวนานขนาดไหน แต่ยังไม่ได้บรรลุเป็นอรหันต์ ย่อมต้องรู้สึกโกรธเป็นธรรมดา
“ ฉันเองก็ต้องการคำอธิบายเหมือนกัน…ทั้งยุทธภพต่างก็รู้ดี เซียวถิงถิงเป็นศิษย์หลานของฉัน พวกแกกล้าดียังไงถึงคิดสังหารเธอ ”
สิ้นเสียง อั้งฮวงหลงก็ปรากฏตัวขึ้นด้านหลังของนักพรตฮวยเหล็ง ปิดทางถอยของอีกฝ่ายไว้
“ เรื่องนี้...ฉัน” นักพรตฮวงเหล็งรู้สึกอยากร้องไห้แต่ไร้น้ำตา
เรื่องมันเป็นแบบนี้ได้อย่างไร ก่อนหน้านี้เขายังกุมสถานการณ์ทุกอย่างเอาไว้ในมืออยู่เลย เพียงแค่ไม่กี่นาที ตัวเขากลับตกเป็นเป้าหมายของทุกคนซะอย่างงั้น
‘ บัดซบ! ทั้งหมดเป็นเพราะแกคนเดียว…จ้าวเทียน ’
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: จุติใหม่มหาเทพตี้เทียน
ดีๆๆเดินเรื่องดี...
ต่อๆไป...
ขอบคุณทีมงานที่นำเรื่องดีๆมาลงให้อ่าน...