เหตุผลที่จ้าวเทียนตัดสินใจลงมืออย่างรุนแรงแบบนี้ สืบเนื่องมาจากเรื่องที่องค์หญิงฉินฟ่านเออร์เล่าให้ฟัง เขาเห็นว่าการกระทำขององค์ชายใหญ่นั้นต่ำตมยิ่งกว่าสัตว์เดรัจฉาน
หากเป็นการเข่นฆ่าเพื่อช่วงชิงอำนาจราชวงศ์กันตามปกติ จ้าวเทียนยังพอรับได้ แต่สิ่งที่องค์ชายใหญ่ทำคือการพยายามเหยียบย่ำศักดิ์ศรีของน้องสาวตัวเอง ทั้งยังไม่ใช่แค่เพียงครั้งเดียว เดรัจฉานนั่นกลับลงมือถึงห้าครั้ง
ต่อให้มันทำไม่สำเร็จ เพราะมีผู้ยอมเสียสละชีวิตเข้าปกป้องฉินฟ่านเออร์ไว้ทุกครั้ง แต่จ้าวเทียนกับคังหลินก็ตัดสินใจแล้ว
แม้ว่าจะต้องยอมเปลี่ยนแปลงแผนการไปบ้าง พวกเขาก็ตัดสินใจจะจัดการเรื่องนี้ให้จบลงที่เมืองเหล็กดำแห่งนี้
‘ ศิษย์น้อง…ฉันจะเป็นคนจัดการไอ้เศษสวะนั่นด้วยตัวเอง ’
ประโยคนี้ เป็นคำพูดที่คังหลินบอกกับจ้าวเทียน ตอนที่พวกเขาอยู่ด้วยกันเพียงสองคนตามลำพัง ซึ่งจ้าวเทียนก็เห็นด้วย
สำหรับบุรุษผู้หนึ่ง การที่ได้รู้ว่าคู่หมั้นของตัวเองโดนหมิ่นเกียรติถึงเพียงนี้ ต่อให้คังหลินจะไม่ได้มีใจให้ฉินฟ่านเออร์ แต่เขาก็ยอมไม่ได้เด็ดขาด
ในเวลาเดียวกัน คำพูดประโยคนั้นของจ้าวเทียนได้ดังก้องไปทั่ว ทำให้บรรยากาศของเหล่าทหารองครักษ์และทัพชายแดนสองหมื่นคนเปลี่ยนเป็นเงียบงัน
พวกเขาต่างแสดงสีหน้าตกตะลึงออกมาอย่างไม่อาจควบคุมได้ อาจจะเป็นเพราะผลการตัดสินของงานชุมนุมกระบี่เขาหัวซาน ยังไม่ถูกประกาศออกไปในวงกว้าง
ทำให้พวกเขาทุกคน ไม่เคยรู้เรื่องนี้มาก่อน…
“ อันดับหนึ่ง งั้นเหรอ…เมื่อกี้ชายคนนั้นบอกว่าเขาเป็นยอดฝีมืออันดับหนึ่งใช่ไหม ” ทหารองครักษ์คนหนึ่งพูดขึ้นอย่างลืมตัว
“ เป็นไปไม่ได้…ตลอดสามร้อยปีที่ผ่านมา ไม่เคยมียอดฝีมือจากโลกหมิงหลงเป็นผู้ชนะอันดับหนึ่งมาก่อน ” สหายองครักษ์ที่อยู่ด้านข้างรีบแย้งออกมา
“ แต่…เขาสามารถสังหารท่านขุนพลซ้ายได้อย่างง่ายดายเลยนะ ” เมื่อมีผู้พูดถึงความจริงข้อนี้ออกมา ก็ทำให้ไม่มีใครกล้าขัดขึ้นมาอีก ทุกสายตาต่างจับจ้องไปที่จ้าวเทียนด้วยความหวาดกลัว
ส่วนทางด้านแม่ทัพชายแดนและทหารสองหมื่นคนนั้น เนื่องจากพวกเขาอยู่ห่างไกลจนเกินไป จึงยังไม่เข้าใจสิ่งที่เกิดขึ้นเท่าไหร่นัก
สิ่งที่พวกเขารู้ก็คือ เพิ่งจะมีผู้สังหารขุนพลซ้ายขององค์ชายใหญ่ต่อหน้าพระพักตร์ และยังยกอ้างตัวเองเป็นยอดฝีมืออันดับหนึ่งของงานชุมนุมกระบี่อีกต่างหาก
“ ท่านแม่ทัพ…พวกเราควรจะทำอย่างไร รีบยกพลเขาไปอารักขาองค์ชายใหญ่ดีหรือไม่ ” รองแม่ทัพถามขึ้นด้วยความกังวล เขาเป็นหนึ่งในคนที่องค์ชายใหญ์วางตัวไว้ในกองทัพ
“ ไร้สาระ…นี่ไม่ใช่เรื่องที่พวกเราจะเข้าไปยุ่งได้ เพราะหากที่ชายคนนั้นพูดออกมาเป็นความจริง สิ่งที่เขาทำนั้นไม่ถือเป็นความผิด ”
“ ในทางกลับกัน…ผู้ที่เป็นฝ่ายโจมตีก่อนต่างหากที่ผิด เขาถูกสังหารไปแบบนั้นก็สมควรแล้ว ” แม่ทัพพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงจริงจัง สายตาที่เขามองไปยังรองแม่ทัพเต็มได้วยความรังเกียจ
เหตุผลที่พวกเขาต้องยกพลกันมาอย่างเอิกเกริกแบบนี้ ก็เพราะสุนัขรับใช้ขององค์ชายใหญ่คนนี้เอง แม้จะรู้ว่ามันเป็นเรื่องที่ไม่ถูกต้อง
แต่หากเขาแสดงท่าทีต่อต้าน ก็อาจจะต้องสูญเสียตำแหน่งของตัวเองไปทันที…
‘ ฉันได้แต่หวังว่า…การที่องค์ชายใหญ่ถูกสั่งสอนต่อหน้าผู้คนมากมายแบบนี้ มันจะช่วยลดความทะเยอทะยานของเขาลงบ้าง ’
เรื่องเลวร้ายต่างๆที่องค์ชายใหญ่ลอบทำ ไม่สามารถปกปิดสายตาของผู้ที่ผ่านร้อนผ่านหนาวมาหลายสิบปีเช่นเขาได้
แต่เนื่องจากมันเป็นเรื่องของการแก่งแย่งชิงดีกันในราชวงศ์ ทำให้เขาทำได้เพียงแค่ฝืนใจยอมทนเท่านั้น เพราะหากต่อต้านไป แล้วอีกฝ่ายได้ขึ้นเป็นฮ่องเต้ขึ้นมา
จุดจบของเขา คงไม่ต่างไปจากสุนัขตัวหนึ่ง
ฝ่ายองค์ชายใหญ่ แม้จะเพิ่งเจอเรื่องแบบนั้นขึ้น แต่เขาก็สามารถทำตัวให้เป็นปกติได้อย่างรวดเร็ว สายตาของเขาเหลือบมองไปยังธนูดอกนั้นเล็กน้อย ก่อนจะพูดขึ้นเบาๆ
“ ท่านอาจารย์…คุณมองพลังที่แท้จริงของฉินหวงออกไหม ”
“ ฉันยังไม่มั่นใจนัก…แม้เขาจะใช้พลังของปรมาจารย์ขั้นสูง แต่กลับมีบางอย่างที่แตกต่างออกไป ดูเหมือนเรื่องที่เกิดขึ้นในงานชุมนุมกระบี่จะเป็นเรื่องจริง ”
“ ชายคนนี้…สามารถใช้พลังขอบเขตปรมาจารย์เอาชนะเซียนขั้นสูงได้ ” ชายชุดเขียวพูดขึ้นด้วยท่าทีครุ่นคิด
เรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้นมันรวดเร็วจนเกินไป ทำให้เขาออกไปช่วยเหลือขุนพลซ้ายไม่ทัน โชคดีที่ฝ่ายตรงข้ามรู้ขีดจำกัดดี จึงไม่ได้ตั้งใจจะสังหารองค์ชายใหญ่ไปด้วย
“ องค์ชายใหญ่…พวกเราควรใช้กองกำลังทั้งหมดสังหารอีกฝ่ายไปเลยไหม ” ผู้บัญชาการรักษาพระองค์ถามขึ้นด้วยแววตาเฉียบคม
แท้จริงแล้ว เรื่องที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้ เป็นเพียงละครฉากหนึ่ง ที่พวกเขาใช้ทดสอบพลังที่แท้จริงของฝ่ายตรงข้ามเท่านั้น
‘ นึกว่าเขาจะส่งคนใกล้ตัวมาตายอีกซักคนสองคนเสียอีก…เสียเวลาฉันจริงๆ หลังจากนี้ก็ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของศิษย์พี่รองก็แล้วกัน ’
“ ไม่เป็นไร…แต่อย่าให้เรื่องแบบนี้เกิดขึ้นอีกก็แล้วกัน ” จ้าวเทียนพูดเสียงเย็นชา จากนั้นเขาก็หันหลังเดินจากไปทันที
ซึ่งการกระทำของจ้าวเทียน ถือเป็นการเสียมารยาทและไม่ไว้หน้าองค์ชายใหญ่แม้แต่น้อย
‘ เหอะ…ตอนนี้แกอวดดีไปเถอะ ถึงอย่างไรแกก็เป็นแค่ปรมาจารย์เท่านั้น รอผู้อาวุโสเฉียวมาถึงก่อนเถอะ ฉันจะให้แกตายอย่างสุนัขข้างถนน ’
องค์ชายใหญ่คิดขึ้นด้วยความโกรธแค้น ตั้งแต่เขาเกิดมายังไม่เคยเผชิญกับความอัปยศแบบนี้มาก่อน เขาจะทำให้อีกฝ่ายได้รับผลตอบแทนอย่างสาสม
จิตสังหารที่องค์ชายใหญ่ปล่อยออกมาโดยไม่รู้ตัวนั้น ฉินกวงลี่ที่อยู่ด้านข้างสัมผัสได้อย่างชัดเจน แม้อีกฝ่ายจะรีบสลายมันไปอย่างรวดเร็ว แต่ก็ไม่อาจรอดพ้นสายตาของเขาไปได้
ทันใดนั้น เขาก็มองไปยังแผ่นหลังของจ้าวเทียนที่กำลังเดินจากไป พร้อมทั้งครุ่นคิดขึ้นด้วยใบหน้าซีดขาว
‘ มันไม่เหมือนกับที่ตกลงกันไว้นี่นา…ไหนนายบอกฉันว่า พวกเราจัต้องอดทนไม่ให้เกิดปัญหาขึ้นอย่างไร’
ไม่นานหลังจากนั้น องค์ชายใหญ่ก็สั่งให้กองทัพทั้งสองหมื่นคนกลับไป เนื่องจากแผนการสร้างอำนาจของเขาถูกจ้าวเทียนทำลายลงแล้ว จึงไม่จำเป็นต้องใช้ทหารพวกนี้อีก
จากนั้น เขาก็พาชายชุดเขียวกับผู้บัญชาการทหารรักษาพระองค์ พร้อมทั้งองครักษ์อีกร้อยคนเดินตามพวกฉินกวงลี่เข้าไปยังเมืองเหล็กดำ
ตลอดเส้นทาง สายตาขององค์ชายใหญ่เหลือบมองไปยังองค์หญิงจูม่านฉีเป็นระยะ เนื่องจากผู้หญิงคนนี้เป็นเป้าหมายหลักของเขา
ส่วนเป้าหมายรองของเขานั้น ก็คือองค์หญิงฉินฟ่านเออร์ ผู้เป็นน้องสาวต่างมารดาของตน
‘ หืม…นี่ฟ่านเออร์ยังบริสุทธิ์อยู่งั้นเหรอ ไอ้สวะฉินหนานนี่มันไร้น้ำยาจริงๆ แต่แบบนี้ก็ดีแล้ว ฉันจะข่มขืนเธอต่อหน้ามันเลยก็แล้วกัน มันคงเป็นรสชาติที่สุดยอดมาก ’
องค์ชายใหญ่เลียริมฝีปากตัวเองด้วยความกระหาย ตัวเขานั้นฝึกฝนวิชาลับสายมาร ที่ต้องอาศัยการหลับนอนกับหญิงสาวบริสุทธิ์เพื่อเพิ่มพูนพลังฝีมือของตัวเอง
นอกจากฉินฟ่านเออร์ จะเป็นสาวงามอันดับหนึ่งแห่งแคว้นฉินแล้ว ยังมีกายหยินบริสุทธิ์ชั้นยอดอีกด้วย นี่จึงเป็นเหตุผลที่องค์ชายใหญ่ต้องการครอบครองเธอให้ได้
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: จุติใหม่มหาเทพตี้เทียน
ดีๆๆเดินเรื่องดี...
ต่อๆไป...
ขอบคุณทีมงานที่นำเรื่องดีๆมาลงให้อ่าน...