จุติใหม่มหาเทพตี้เทียน นิยาย บท 290

หลังจากเก็บกวาดศัตรูทั้งหมด ทุกคนในสำนักหัวซานก็มารวมกันตรงจุดที่จ้าวเทียนอยู่ หากรวมผู้ที่บาดเจ็บล้มตายไปด้วย เท่ากับว่าสำนักหัวซานส่งยอดฝีมือออกมาถึงเจ็ดสิบคน

นี่ถือว่าเยอะมาก สำหรับการช่วยเหลือสำนักสุสานโบราณ ที่ไม่เคยมีความสัมพันธ์กันมาก่อน แค่ยอดฝีมือระดับเซียนที่ส่งออกมา ก็แทบจะเป็นเจ็ดส่วนของสำนักหัวซานทั้งหมดแล้ว

‘ บางทีคงเป็นเพราะเห็นแก่หน้าฉัน…เจ้าสำนักคนใหม่หยางเจี๋ยเลยตัดสินใจแบบนี้โดยไม่ลังเล หลังจากนี้คงต้องหาโอกาสตอบแทนเขาสักหน่อย ’

ในระหว่างที่จ้าวเทียนกำลังคิดอะไรเพลินๆ เซียนคนหนึ่ง ที่ดูเหมือนจะเป็นรองผู้นำของกองกำลังสำนักหัวซาน ก็เดินเข้ามาหาจ้าวเทียนด้วยท่าทีเคร่งเครียด

“ ผู้อาวุโส…คุณเป็นใครเหรอ พวกฉันไม่เคยเห็นหน้าคุณมาก่อนเลย ”

ถึงแม้จ้าวเทียนจะสวมเครื่องแบบผู้อาวุโสสำนักหัวซาน แต่ใบหน้าที่ผ่านการปลอมแปลงโฉมนั้น ไม่มีศิษย์สำนักหัวซานคนไหนเคยพบเห็นมาก่อน

ต่อให้รู้ว่าอีกฝ่ายเป็นคนช่วยเหลือพวกตนไว้ แต่พวกเขาก็ต้องการความชัดเจน เพราะภารกิจในครั้งนี้ถือเป็นความลับ แม้แต่เจ้าสำนักก็ยังย้ำนักย้ำหนาว่าห้ามพลาดเด็ดขาด จะต้องช่วยสำนักสุสานโบราณให้ได้

ได้ยินแบบนั้น จ้าวเทียนก็ยิ้มออกมาอย่างเฉยชา เขาหยิบกระบี่ไม้อันเล็ก ที่เป็นสัญลักษณ์ของเทพกระบี่แสดงให้อีกฝ่ายดู

วูปป!

เมื่อกระบี่ไม้ปรากฏขึ้น มันก็ปลดปล่อยออร่าแหลมคมออกมาทันที

นี่เป็นสิ่งที่เทพกระบี่มอบให้จ้าวเทียนด้วยตัวเอง ทั้งหมดมีสามอัน นอกจะใช้ติดต่อกับเทพกระบี่ได้ทุกเวลาแล้ว มันยังทำหน้าที่เป็นเขตอาคมเคลื่อนย้ายแบบพกพาอีกด้วย

ขอเพียงยังอยู่ในโลกหมิงหลง จ้าวเทียนสามารถใช้ของสิ่งนี้ เรียกเทพกระบี่ให้ออกมาช่วยได้ ซึ่งเขาก็ได้ใช้ไปแล้วหนึ่งอัน ตอนที่เผชิญหน้ากับสมาพันธ์บู๊ลิ้ม

“ นี่มัน…ประกาศิตเทพกระบี่ ”

“ ไม่จริงนา…ของสิ่งนั้นจะมาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร ”

“ หรือว่า…ชายคนนี้คือทูตแห่งสุสานกระบี่ตามข่าวลืองั้นเหรอ ”

ทุกคนที่ได้เห็นก็หันไปพูดคุยกันเสียงดัง จ้าวเทียนเห็นแบบนั้นก็รู้สึกแปลกใจเล็กน้อย ตอนแรกเขาแค่ต้องการบอกว่าตนเอง เป็นคนที่เทพกระบี่ส่งมาช่วยเท่านั้น

ไม่นึกเลยว่า กระบี่ไม้อันเล็กจะมีความสำคัญขนาดนี้ เท่าที่ฟังพวกเขาคุยกัน ดูเหมือนในอดีตเมื่อร้อยห้าสิบปีก่อน เทพกระบี่จะคัดเลือกผู้สืบทอดโดยให้อัจฉริยะรุ่นเยาว์ทั้งสี่ในเวลานั้นประลองกันเอง

แน่นอนว่าผู้ที่ชนะก็คือหยางเจี๋ย เขาสามารถเอาชนะคู่ต้อสู้ทุกคนและขึ้นเป็นผู้สืบทอดได้ ส่วนผู้ที่แพ้ในการประลองครั้งนั้น ก็ได้กลายเป็นผู้ติดตามของเทพกระบี่

แม้พวกเขาทั้งสามจะไม่ได้มีสถานะเป็นผู้สืบทอด แต่ก็ยังมีสิทธิ์เรียนรู้เคล็ดวิชาเก้ากระบี่เดียวดายได้เช่นกัน เพียงแต่จะไม่ได้รับการชี้แนะโดยตรงจากเทพกระบี่ก็เท่านั้นเอง

“ คารวะ ท่านทูตตัวแทน ”

“ ทำตัวตามสบายเถอะ…ในภารกิจครั้งนี้ ให้เรียกฉันว่าผู้อาวุโสเทียนก็แล้วกัน ส่วนเรื่องตัวตนของฉันห้ามให้คนนอกรู้เป็นอันขาด เข้าใจไหม ” จ้าวเทียนเทียนพูดขึ้นด้วยท่าทีผ่อนคลาย ปล่อยให้อีกฝ่ายเข้าใจผิดไปแบบนี้ก็ดีเหมือนกัน ตัวเขาเองจะได้ทำอะไรได้ง่ายขึ้น

“ ตกลงครับ…ถ้าคุณต้องการแบบนั้น ” ทุกคนในสำนักหัวซานรับคำอย่างว่าง่าย สถานะของทูตตัวแทนเทพกระบี่นั้นเป็นรองเพียงเจ้าสำนักกับผู้อาวุโสสูงสุด

ไม่ว่าอีกฝ่ายจะสั่งอะไรมา พวกเขาก็พร้อมทำตามอยู่แล้ว

“ นำโอสถพวกนี้ไปรักษาคนเจ็บ…แล้วก็ส่งคนกระจายกันไปสอดแนมบริเวณรอบๆสำนักสุสานโบราณด้วย เกิดการต่อสู้ดุเดือดขนาดนี้ แต่กลับไม่มีใครออกมาเลย มันน่าสงสัยจนเกินไป ” จ้าวเทียนส่งโอสถรักษาระดับสูงให้หนึ่งขวด แล้วเริ่มมอบหมายหน้าที่ให้พวกเขาทันที

“ รับคำสั่ง ”

ยอดฝีมือระดับเซียนที่ยังสู้ไหว พากันแยกตัวออกไปรอบๆอย่างรวดเร็ว ส่วนพวกที่เหลือก็รับโอสถจากจ้าวเทียน แล้วไปแจกจ่ายให้กับพวกพ้อง

แต่ในขณะนั้นเอง

“ ผู้อาวุโสเทียน…อาการของศิษย์พี่ใหญ่แย่ลงมาก ตอนนี้ขอบเขตฝึกตนของเขากำลังลดต่ำลงอย่างรวดเร็ว ” ชายหนุ่มคนหนึ่งรีบมารายงานด้วยท่าทีร้อนรน ทำให้จ้าวเทียนแผ่สัมผัสวิญญาณไปตรวจสอบหยางถิงเฟิงทันที

“ นี่มัน…ดูเหมือนเมล็ดพันธุ์เซียนของหยางถิงเฟิงได้สูญเสียพลังทั้งหมดไป ก็เลยผนึกตัวเองเอาไว้ ไม่ต้องห่วงเดี๋ยวฉันจะรักษาเขาเอง ” พูดจบจ้าวเทียนก็ถอนหายใจ นี่มันแทบจะเป็นเหมือนเขาในอดีตไม่มีผิด

“ หุบปากไปซะ…อย่าเอ่ยชื่อนั้นให้ฉันได้ยินอีก ” ประมุขกวงฉีพูดขึ้นเสียงดัง พร้อมกับปลดปล่อยจิตสังหารออกมา ทำให้ลิ้มเฉียวฟงเงียบลงทันที เนื่องจากไม่อยากให้ทั้งสองฝ่ายต้องมาแตกคอกันเพราะเรื่องแบบนี้

ในอดีตนั้น ยอดฝีมือระดับครึ่งก้าวเซียนนภาคนแรก ที่ถูกเทพกระบี่ท้าสู้ก็คือประมุขกวงฉีนั่นเอง ซึ่งหลังจากประมือกันได้เพียงยี่สิบสิบลมหายใจ ประมุขกวงฉีก็เป็นฝ่ายพ่ายแพ้

เรื่องนี้ทำให้ชื่อเสียงที่เขาสั่งสมมาในฐานนะราชันแห่งดาบ ต้องพังทลายไปในวันเดียว ถือเป็นความอัปยศ ที่เขาจดจำฝังใจไม่มีวันลืม

‘ ฉันทุ่มเททรัพยากรมากมาย ฝึกฝนอย่างยากลำบากตลอดระยะเวลาสองร้อยปี…จนกระทั่งสามารถบรรลุขอบเขตเดียวกับห้ายอดฝีมือแห่งยุคได้ ’

‘ แต่คิดไม่ถึงเลยว่า…ศัตรูคู่แค้นของฉันจะก้าวหน้าไปอีกขั้นเช่นกัน ’

ในตอนที่ประมุขกวงฉีพ่ายแพ้ให้กับเทพกระบี่ เวลานั้นเขาเพิ่งทะลวงขอบเขตครึ่งก้าวเซียนนภาได้ไม่นาน ทำให้เหนือกว่าเทพกระบี่ที่อยู่ในขอบเขตเซียนขั้นสูงสุดไม่มากนัก

แต่เมื่อเขาเพิ่มพูนความแข็งแกร่งให้ตนเอง จนคิดว่าสามารถเอาชนะเทพกระบี่ได้แล้ว อีกฝ่ายกลับทะลวงขอบเขตได้เช่นกัน ทำให้เขารู้สึกกดดันมาก

แต่หากจะให้ล้มเลิกความคิดที่จะล้างความอัปยศในอดีต เขาก็ไม่มีทางยอมแน่นอน เพราะรู้ดีว่าตนเองก็ใกล้จะสิ้นอายุขัยแล้ว ก่อนตายจะต้องทวงคืนฉายาราชันแห่งดาบกลับมาให้ได้

ดังนั้น ความหวังสุดท้ายจึงอยู่ที่สมบัติลับในสำนักสุสานโบราณ มีเพียงสิ่งที่ตกทอดมาจากแดนสวรรค์เท่านั้น ถึงจะทำให้เขามีหวังเอาชนะเทพกระบี่ได้

ในขณะที่บรรยากาศรอบๆเต็มไปด้วยความตึงเครียด คลื่นความกดดันอันเยือกเย็นและหนาวเหน็บก็กวาดออกมาจากโบราณสถาน

วูปป!

“ เจ้าสำนักลิ้ม…เท่าที่ฉันจำได้มันยังไม่ถึงเวลาที่พวกตกลงกันไว้นะ พวกคุณทำแบบนี้หมายความว่ายังไง ” หญิงงามชุดขาวพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงเย็นชา เธอคือเจ้าสำนักสุสานโบราณรุ่นปัจจุบัน

และเพราะตัวตนของเธอนี่เอง ที่ทำให้สำนักสราญรมย์ไม่กล้าใช้วิธีรุนแรงในตอนแรก เพราะถึงแม้สำนักสุสานโบราณจะมียอดฝีมือระดับเซียนเพียงแค่แปดคน

แต่ตัวของเจ้าสำนักนั้น…กลับถูกจัดอยู่ในอันดับต้นๆของยอดฝีมือขอบเขตครึ่งก้าวเซียนนภาทั้งหมด มีความแข็งแกร่งเป็นรองห้าเจ้าสำนักใหญ่เพียงครึ่งขั้นเท่านั้น

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: จุติใหม่มหาเทพตี้เทียน