ทางด้านสมรภูมิการต่อสู้ระหว่างประมุขกวงฉีกับกงม่านเออร์นั้น เป็นไปอย่างรุนแรงและดุเดือด ชนิดที่ว่าหากพลาดพลั้งเพียงนิดเดียว อาจมีผู้แพ้และเสียชีวิตทันที
เนื่องจากทั้งคู่นั้นอยู่ในขอบเขตครึ่งก้าวเซียนนภาขั้นกลางเหมือนกัน และบรรลุขอบเขตหลอมรวมเป็นหนึ่งเดียวกับอาวุธเช่นเดียวกันอีกด้วย
หากจะให้พูดกันตามตรง พลังฝีมือของทั้งคู่อยู่ในระดับเดียวกับพวกเจ้าสำนักใหญ่อย่างบู๊ตึ้ง, ง้อไบ๊และช้วนจินก่าแล้ว
ขาดเพียงเงื่อนไขที่ต้องมีเซียนขั้นสูงสุดสองคนอยู่ในสำนักเท่านั้น จึงทำให้ยังไม่ได้รับการยกระดับขึ้นเป็นสำนักใหญ่
ทางด้านประมุขกวงฉีนั้น มีชื่อเสียงโด่งดังมาตั้งแต่เมื่อร้อยกว่าปีก่อน ในฐานะราชันแห่งดาบ และเป็นเจ้าสำนักระดับกลางเพียงผู้เดียวที่ไปถึงขอบเขตครึ่งก้าวเซียนนภาได้
แม้ว่า เขาจะเคยพ่ายแพ้ในการประลองกับเทพกระบี่ แต่ก็ไม่ได้ทำให้พลังฝีมือของเขาลดลง ในทางกลับกันเพราะความกดดันที่ได้รับ มันยิ่งทำให้ตัวเขาก้าวหน้าขึ้นกว่าเดิมด้วยซ้ำ
อาจเป็นเพราะต้องการแก้แค้นเทพกระบี่ ทำให้ประมุขกวงฉีใช้ทรัพยากรทั้งหมดในพรรคดาบมารเพื่อเพิ่มพูนพลังฝีมือให้ตนเอง
นี่จึงเป็นเหตุผล ที่พรรคดาบมารไม่มีเซียนขั้นสูงและขั้นสูงสุดคนอื่นอีกแม้แต่คนเดียว
ส่วนทางด้านกงม่านเออร์ เธอเป็นผู้นำของหนึ่งในสองสำนักเร้นลับแห่งยุทธภพ ซึ่งมีเทคนิคฝึกตนและเคล็ดวิชาแยกเป็นเอกเทศจากยุทธภพ
ไม่มีผู้ใดรู้ว่าเธอมาถึงขอบเขตครึ่งก้าวเซียนนภาได้อย่างไร ทั้งที่ไม่เคยได้รับการสนับสนุนหินวิญญาณขั้นสูงจากสมาพันธ์บู๊ลิ้มเลย
นี่คงเป็นความลับสุดยอดของสำนักสุสานโบราณ ที่ได้รับสืบทอดมายาวนานนับหมื่นปี
หลังผ่านการต่อสู้มาได้ครึ่งชั่วโมงก็ยังไม่รู้ผลแพ้ชนะ ทำให้ประมุขกวงฉีรู้สึกร้อนใจขึ้นมา เนื่องด้วยเขายังต้องไปช่วยลิ้มเฉียวฟงจัดการกับจ้าวเทียน
ไม่อย่างนั้นหากปล่อยให้อีกฝ่ายเอาชนะลิ้มเฉียวฟงแล้วตามมาสมทบทางด้านนี้ได้ จุดจบของเขาคงเลวร้ายแน่นอน
‘ ฉันจะมัวมาติดพันการต่อสู้ตรงนี้ไม่ได้แล้ว…ชายคนนั้นเป็นผู้ที่ใกล้เคียงกับเทพกระบี่ในอดีตที่สุด ลิ้มเฉียวฟงไม่มีทางตรึงเขาเอาไว้ได้นานแน่นอน ’
เมื่อคิดได้แบบนั้น ประมุขกวงฉีก็กระตุ้นจิตสังหารขึ้นมาด้วยดวงตาอันแดงฉาน ดาบในมือฟันออกไปดุจพายุอันบ้าคลั่ง จากนั้นร่างของเขาก็พุ่งทะยานตามไปเหมือนฝ่ามิติ
“ ดาบมารทลายนภา! ”
ตูมมมม!
ภาพลวงตาของดาบขนาดยักษ์ฉีกกระชากมิติออกเป็นทางยาว เกิดเป็นรอยแยกสีดำพุ่งตรงไปยังกงม่านเออร์ในพริบตา
‘ ในที่สุด ก็เอาจริงสินะ ’
ทางฝ่ายกงม่านเออร์เมื่อเห็นคลื่นพลังทำลายล้างกวาดเข้ามา พร้อมกับศัตรูที่แฝงกายอยู่ด้านหลัง ก็ไม่ได้มีท่าทีตื่นตระหนก จิตใจของเธอยังคงเยือกเย็น สงบนิ่งเหมือนน้ำในบ่อ ไม่มีอะไรมาสั่นคลอนได้
“ จันทร์เย็นสาดส่อง! ”
แวป!
เสี้ยววินาทีนั้น แสงแดดยามบ่ายได้หายไป ท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยดวงดาวได้ขึ้นมาแทนที่ ดวงจันทร์สีฟ้างดงามได้บดบังดวงอาทิตย์
วิ้งงงงง!
ดวงดาวนับหมื่นได้แปรเปลี่ยนเป็นรังสีกระบี่ โปรยปรายลงมาทำลายทุกสิ่งทุกย่างด้านหน้า นี่คือขอบเขตสำนึกของเคล็ดวิชาที่สามารถทำลายกองทัพนับหมื่นได้ในครั้งเดียว
ถือเป็นโชคดีที่การต่อสู้ของพวกเขาอยู่เหนือจากพื้นดินนับหมื่นเมตร ไม่อย่างนั้นเพียงเคล็ดวิชานี้ของกงม่านเออร์ก็คงจะทำลายทั้งป่า พร้อมทั้งโบราณสถานหายไปในพริบตา
ฉัวะ!ๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ
ตูมมมมมมมม!
ห่าฝนของรังสีกระบี่ได้พุ่งทะลวงดาบยักษ์อย่างรุนแรง จนเกิดระเบิดขึ้นเสียงดังสนั่น แม้แต่ทะเลเมฆที่อยู่ห่างไกล ยังถูกเป่าหายไป
แต่เมื่อเคล็ดวิชาของกงม่านเออร์สิ้นสุดลง และพระจันทร์ดวงนั้นได้หายไป เวลาก็กลับมาเป็นตอนกลางวันเหมือนเดิม
แคว่กกก!
เงาร่างที่เต็มไปด้วยบาดแผลของประมุขกวงฉีก็พุ่งเข้าประชิดตัวได้สำเร็จ ดาบของเขาฉีกขาดมิติมาเป็นทางยาว เพื่ออาศัยช่องว่างสีดำคุ้มครองตนเองไว้
“ ตายซะ! ”
“ ดาบมารสิ้นสูญ! ”
ประมุขกวงฉีเหวี่ยงดาบเสยขึ้นไป เหมือนคมเขี้ยวแห่งความตายทำลายล้างทุกสิ่งทุกอย่างที่ขวางหน้า สายฟ้าสีดำได้ระเบิดออกมาเหมือนกรงมรณะผนึกร่างของกงม่านเออร์เอาไว้ ทำให้เธอไม่อาจหลบหนี
‘ แย่แล้ว ’
กงม่านเออร์คิดขึ้นด้วยความตกใจ พลังเซียนในร่างของเธอเหมือนถูกหน่วงเอาไว้ แม้แต่การเคลื่อนไหวยังทำได้ลำบาก
แต่ถึงแม้จะอยู่ในสถานการณ์เป็นตาย ตัวเธอก็ไม่ยอมแพ้ กลับตัดสินใจเด็ดขาดระเบิดพลังทั้งหมดออกมาในคราวเดียว กระบี่ในมือแทงสวนเข้าใส่ฝ่ายตรงข้ามอย่างรุนแรง
“ แหวกหลิวแยกบุปผา! ”
แวบ!
ร่างของกงม่านเออร์จากหนึ่งแยกเป็นสอง มุ่งโจมตีประมุขกวงฉีจากสองทิศทาง แม้จะมีหนึ่งในนั้นถูกคมเขี้ยวแห่งความตายฉีกกระชากไปจนสูญสลาย
แต่ร่างจริงของเธอกลับหลบรอดกระบวนท่าสังหารของอีกฝ่ายมาได้ด้วยอาการบาดเจ็บสาหัสเลือดท่วมกาย
“ แกนั่นแหละ ที่ตาย ” เธอกรีดร้องออกมาด้วยน้ำเสียงดุดัน
กระบี่บินของจ้าวเทียนได้พุ่งไปด้วยความเร็วดุจแสง จ่ออยู่ตรงท้ายทอยของประมุขกวงฉี คุกคามให้อีกฝ่ายถอยออกมา
“ ถ้าแกมาอยู่ตรงนี้…ก็แสดงว่าลิ้มเฉียวฟงตายแล้วสินะ ” ประมุขกวงฉีถอนหายใจด้วยความอับจน เหลืออีกเพียงนิดเดียวเท่านั้น เขาก็จะชนะแล้ว
“ ใช่…ฉันส่งมันลงนรกไปแล้ว ” จ้าวเทียนพูดขึ้นด้วยท่าทีไม่ใส่ใจ เหมือนเรื่องที่เขาสังหารเจ้าสำนักสราญรมย์ที่โด่งดัง ไม่ควรค่าให้กล่าวถึง
“ ต้องขอบคุณสหายเซียนมาก ที่ได้ช่วยชีวิตฉันเอาไว้ ” กงม่านเออร์พูดขึ้นอย่างจริงจัง เธอใช้เคล็ดวิชาท่าร่างมาปรากฏตัวอยู่ด้านข้างจ้าวเทียนอย่างรวดเร็ว
“ ไม่เป็นไรหรอกครับ…คุณกินโอสถนี้ก่อนสิ” เมื่อเห็นเธอมีสีหน้าอ่อนล้าและได้รับบาดเจ็บสาหัส จ้าวเทียนจึงส่งโอสถระดับสูงที่เขาหลอมเองให้ แล้วหันไปให้ความสนใจกับศัตรูที่อยู่ตรงหน้าต่อ
“ จะสู้หรือจะยอมแพ้…เห็นแก่ที่ยอมหยุดมือแต่โดยดี ฉันจะให้โอกาสแกเลือกเส้นทางของตัวเอง ”
ก่อนหน้านี้ ถ้าประมุขกวงฉีตัดสินใจสังหารกงม่านเออร์ให้ตกตายตามกันนั้น เขาก็ทำได้สำเร็จแน่นอน
ซึ่งถ้าเป็นแบบนั้น จ้าวเทียนก็ทำได้เพียงแค่สังหารประมุขกวงฉีเท่านั้น ไม่สามารถช่วยเหลือกงม่านเออร์ได้ทัน
“ ฉัน… ” ประมุขกวงฉีเกิดความรู้สึกลังเล หากยอมถอยไปตอนนี้ ถึงแม้จะรักษาชีวิตเอาไว้ได้ แต่ความหวังทุกอย่างก็จะพังทลาย เขาคงไม่มีความมั่นใจไปท้าสู้กับเทพกระบี่ได้อีก
ทันใดนั้น
ภาพของจ้าวเทียนที่ประมุขกวงฉีเห็น ก็ไปซ้อนทับกับภาพของเทพกระบี่ในอดีต ทั้งกลิ่นอายและออร่าสูงส่งของพวกเขาทั้งสองคนเหมือนกันเป็นอย่างมาก
ทำให้ความลังเลของประมุขกวงฉีหายไป เจตจำนงแห่งการต่อสู้ของเขาฟื้นคืนกลับมาอีกครั้ง
‘ ถ้าแม้แต่ความกล้า ที่จะสู้กับผู้สืบทอดของเทพกระบี่ยังไม่มี แล้วชีวิตของฉันหลังจากนี้ยังจะมีอะไรเหลืออยู่อีก ’
‘ ฉายาราชันแห่งดาบของฉัน…ไม่สมควรถูกทำให้แปดเปื้อนเป็นครั้งที่สอง ’
เมื่อคิดได้แบบนั้น ความมั่นใจของเขาก็ฟื้นคืนกลับมา ปมที่อยู่ภายในใจมาเนิ่นนานก็ถูกแก้ออก
ทั้งชีวิตของประมุขกวงฉีมีเพียงวิถีแห่งดาบเท่านั้น เหมือนกับเทพกระบี่ที่มุ่งมั่นเพียงวิถีแห่งกระบี่ พวกเขาทั้งสองคนเหมือนเหรียญคนละด้าน
แม้ในอดีตประมุขกวงฉีจะฝึกฝนได้เร็วกว่าเทพกระบี่ แต่เทพกระบี่ก็สามารถบรรลุขอบเขตคนกระบี่ประสานเป็นหนึ่งได้ก่อน จึงทำให้คว้าชัยชนะในการประลองไป
ซึ่งเหตุการณ์นั้นก็ได้สร้างจิตมารในใจ ให้กับประมุขกวงฉีโดยไม่รู้ตัว ทำให้ไม่ว่าจะทุ่มเทฝึกฝนอย่างหนักหน่วงเพียงไหนก็ไม่อาจก้าวหน้าตามที่หวัง เพราะภายในใจลึกๆของเขา ก็คิดว่าตนไม่อาจก้าวข้ามกำแพงสูงใหญ่อย่างเทพกระบี่ได้
แม้จะพูดว่าต้องการแก้แค้นล้างความอัปยศ แต่ผ่านมาร้อยกว่าปีก็ไม่เคยไปท้าสู้กับเทพกระบี่เลยสักครั้ง ทั้งยังสั่งห้ามทุกคนในสำนักไม่ให้พูดถึงชื่อเทพกระบี่ให้ได้ยินอีก
นี่แสดงให้เห็นว่า…แท้จริงแล้วประมุขกวงฉีหวาดกลัวเทพกระบี่มาก กลัวจนหาข้ออ้างเพื่อจะหลีกหนีความเป็นจริง
“ ว่ายังไง…แกจะเลือกทางไหน ” จ้าวเทียนถามขึ้นอีกครั้ง แววตาของเขาที่ใช้มองประมุขกวงฉีเปลี่ยนไปเล็กน้อย เพราะสัมผัสได้ถึงเจตจำนงแห่งการต่อสู้ของอีกฝ่าย
“ ฉันจะสู้กับแกเอง…จงจำเอาไว้ ราชันดาบกวงฉีแห่งพรรคดาบมารไม่เคยเกรงกลัวใครหน้าไหนมาก่อน ”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: จุติใหม่มหาเทพตี้เทียน
ดีๆๆเดินเรื่องดี...
ต่อๆไป...
ขอบคุณทีมงานที่นำเรื่องดีๆมาลงให้อ่าน...