เมื่อได้รับข้อเสนอดีๆที่มาโดยไม่ทันตั้งตัว ทำให้จ้าวเทียนมีท่าทางเคร่งเครียดขึ้นทันที เนื่องจากตัวเขากับมหาเทพจูเซียนนั้นไม่เชิงว่าจะเป็นพันธมิตรกัน
พวกเขาทั้งคู่แค่มีศัตรูร่วมกันเท่านั้น ถ้าพูดกันตามตรง ไม่แน่ว่าอีกห้าปีต่อไป เมื่อสมบัติลับของเทพผู้สร้างผานกู่ปรากฏขึ้น จ้าวเทียนกับมหาเทพจูเซียนอาจจะต้องแย่งชิงกันเองด้วยซ้ำ
เนื่องจากการทลายข้อจำกัดขึ้นเป็นผู้ปกครองเอกภพ…มันเย้ายวนเกินไป
“ ลองบอกเงื่อนไขของคุณมาก่อน…ถ้ามันไม่กระทบต่อแผนการในอนาคต ฉันก็สามารถทำได้ไม่มีปัญหา ” จ้าวเทียนพูดออกมาด้วยสีหน้าจริงจัง
“ ได้สิ…เรื่องที่ข้าอยากให้เจ้าทำนั้นง่ายมาก ทั้งยังมีประโยชน์ต่อตัวเจ้าในเวลานี้อีกด้วย ” พูดมาถึงตรงนี้มหาเทพจูเซียนก็หยุดไปครู่หนึ่ง ก่อนจะพูดต่อด้วยน้ำเสียงที่เกรี้ยวกราดและดุดันกว่าเดิม
“ จงสังหารทุกคนในตำหนักเทวะซะ!…พวกมันคือทายาทของคนทรยศที่ช่วงชิงสมบัติไปจากนิกายจูเซียนของข้า ”
!!
จ้าวเทียนที่ได้ยินแบบนั้นก็หน้าเปลี่ยนสีทันที เพราะเรื่องนี้มันเหนือความคาดหมายของเขาเกินไป
“ เดี๋ยวก่อน…เจ้าตำนักเทวะเป็นทายาทผู้พิทักษ์สมบัติของนิกายจูเซียนไม่ใช่เหรอ ” จ้าวเทียนถามออกมาด้วยความสับสน
เพราะเรื่องนี้ เป็นความลับที่ยอดฝีมือระดับสูงทุกคนต่างก็รู้ดี…
“ เหอะ!...ในตอนที่ทุกคนกำลังต่อสู้เสี่ยงชีวิต ไอ้คนทรยศนั่นกลับชักชวนพวกโลภมากเข้ามาบุกนิกายของตัวเอง แล้วอาศัยความวุ่นวายช่วงชิงสมบัติหลบหนีไป ”
“ ซึ่งในตอนที่ข้าควบคุมร่างของบุตรสาวกลับมายังนิกาย มันก็เหลือเพียงเศษซากแห่งความพินาศเท่านั้น แม้แต่ครอบครัวของผู้ที่ออกไปร่วมรบ ยังถูกพวกมันสังหารทิ้งจนหมด ”
“ หากไม่ใช่ว่า ข้าได้รับบาดเจ็บสาหัสจนเหลือพลังไม่ถึงหนึ่งส่วน คงตามล่าสังหารพวกมันไปแล้ว ” มหาเทพจูเซียนพูดขึ้นด้วยความโกรธแค้น
ในตอนนั้นเขาเป็นเพียงเศษเสี้ยวของเจตจำนง แม้จะได้รับร่างใหม่ แต่ก็มีความแข็งแกร่งลดลงมาอยู่ในระดับเทพโลกาขั้นแรกเท่านั้น
ทำให้มหาเทพจูเซียนต้องหลบหนีมายังโลกมนุษย์ และเข้าสู่นิทราอันยาวนานเพื่อฟื้นคืนพลัง
“ ที่แท้ก็เป็นแบบนี้… ” จ้าวเทียนพยักหน้าอย่างเข้าใจ
เรื่องข่าวลือที่ว่าตำหนักเทวะเป็นผู้พิทักษ์สมบัติของนิกายจูเซียนคงถูกอีกฝ่ายปล่อยออกมาเอง เพื่อป้องกันไม่ให้ศิษย์นิกายที่เหลือรอดมาแก้แค้นพวกเขา ทั้งยังได้รับการสนับสนุนจากสาขานิกายที่อยู่บนโลกอีกด้วย
“ ว่ายังไง…งานชิ้นนี้เจ้ายินดีรับไว้ไหม หลังจากสังหารพวกมันแล้ว สมบัติทุกชิ้นที่พวกมันปล้นชิงมารวมทั้งแผ่นหินโกลาหล ข้ายกให้เจ้าทั้งหมด ” มหาเทพจูเซียนพูดขึ้นอย่างใจกว้าง
ถ้าไม่ติดเรื่องข้อจำกัดของโลก และเรื่องที่กำลังฟื้นคืนพลังเพื่อถือกำเนิดใหม่ คงลงมือสังหารคนทรยศด้วยตัวเองแล้ว
“ ตกลง…เรื่องนี้ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของฉันเอง ” จ้าวเทียนพูดขึ้นด้วยความมั่นใจ อย่างไรซะอีกฝ่ายก็เป็นศัตรูของเขาอยู่แล้ว
จากนั้น จ้าวเทียนก็สอบถามถึงข้อมูลสมบัติที่คนทรยศแย่งชิงไป เขาคิดว่ามันต้องไม่ใช่ของธรรมดาแน่นอน ถึงทำให้สำนักชั้นยอดบนแดนสวรรค์เกิดความโลภได้ขนาดนี้
“ สมบัติชิ้นนั้นคือแผ่นหินโกลาหล…เป็นสิ่งที่ข้าได้รับมาตอนสังหารราชันมังกรทมิฬแห่งยุคบรรพกาล แม้แต่ตัวข้าเองก็ยังไม่รู้ว่ามันถูกสร้างขึ้นในยุคสมัยใด ”
“ แต่คุณสมบัติของมันกลับยอดเยี่ยมเป็นอย่างมาก…ขอเพียงอยู่ใกล้ๆมัน จะสามารถเพิ่มความเร็วในการตระหนักรู้ขอบเขตใหม่ขึ้นเป็นร้อยเท่า เหมาะสำหรับผู้มีศักยภาพและพรสวรรค์สูงส่งมากที่สุด ”
“ น่าเสียดายที่มันส่งผลต่อตัวข้าเพียงเล็กน้อย เนื่องจากมหาเทพอย่างพวกเราได้สร้างมหามรรคาของตนเองขึ้นมาแล้ว แผ่นหินโกลาหลเหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการหลอมรวมแก่นแท้มากกว่า ”
“ นี่จึงเป็นสาเหตุ ที่ข้าทิ้งมันเอาไว้ในนิกายเพื่อให้อัจฉริยะรุ่นเยาว์ใช้ฝึกฝน ”
“ ช่วยในการหลอมรวมแก่นแท้งั้นเหรอ…ไม่แปลกใจเลยที่ทุกสำนักบนแดนสวรรค์ถึงได้ต้องการมันนัก ด้วยของสิ่งนี้ การจะสร้างกองกำลังเทพโลกาจำนวนมากขึ้นมาก็ไม่ใช่เรื่องยากอีกต่อไป ” จ้าวเทียนพูดขึ้นด้วยแววตาเป็นประกาย
‘ ไม่ว่ายังไง ฉันก็ต้องเอาแผ่นหินโกลาหลมาเป็นของตัวเองให้ได้ หากมีแผ่นหินนี้ ต่อให้ไม่ต้องพึ่งพาสมบัติของเทพผู้สร้างผานกู่ ’
‘ ฉันก็สามารถบรรลุแก่นแท้มิติเวลาขั้นเก้าสูงสุด…แล้วกลายเป็นผู้ปกครองเอกภพได้เช่นกัน ’
หลังจากครุ่นคิดอยู่ซักพัก จ้าวเทียนก็ถามขึ้นอีกครั้ง
เปลวเพลิงสีทองอันร้อนแรงได้พวยพุ่งออกมาในพริบตา จากนั้นสิ่งที่ถูกเก็บเอาไว้ในกล่องหยกก็ลอยออกมาอย่างช้าๆ
มันมีลักษณะเป็นก้อนโลหะสีดำผุกร่อน มีขนาดเท่ากับผลลำไย
“ นี่มัน…โลกภายใน ” จ้าวเทียนพูดขึ้นด้วยเสียงสั่นเทา
นี่มันน่าเหลือเชื่อมาก เพราะโดยปกติแล้วเมื่อเทพโลกาดับสูญ โลกภายในของพวกเขา รวมทั้งสิ่งมีชีวิตทั้งมวลก็จะสูญสลายไปด้วย
“ ใช่…สิ่งนี้คือโลกภายในของเทพโลกาคนนั้น ถึงแม้มันจะอยู่ในสภาพที่ไม่สมบูรณ์ก็ตามที เนื่องจากสิ่งมีชีวิตที่อาศัยอยู่ด้านในตายไปหมดแล้ว รวมทั้งโครงสร้างของมันก็พังทลายไปเกือบแปดส่วน ”
“ แต่สำหรับตัวเจ้าแล้ว…มันคงจะเป็นประโยชน์อย่างมาก เพราะพวกเจ้าทั้งสองคนต่างก็เป็นผู้ฝึกฝนเคล็ดวิชาหมื่นตะวันเช่นกัน ”
!!
ประโยคนี้ของมหาเทพจูเซียนทำให้จ้าวเทียนชะงักไปทันที เนื่องจากในการต่อสู้ที่ผ่านมา เขาไม่เคยเปิดเผยพลังของเมล็ดพันธุ์สุริยันให้อีกฝ่ายเห็นมาก่อน
“ ไม่ต้องแปลกใจไปหรอก…เพราะหลังจากที่ข้าสังหารศัตรูคนนั้น ก็ได้ไปศึกษาข้อมูลของอีกฝ่ายโดยละเอียด ทำให้ได้รู้ความลับเรื่องเคล็ดวิชานี้เข้า ” มหาเทพจูเซียนพูดขึ้นด้วยรอยยิ้ม กลิ่นอายพลังของจ้าวเทียนกับเทพโลกกาคนนั้นคล้ายกันมาก
“ นี่จะเป็นไปได้ยังไง…ผู้สืบทอดเคล็ดวิชาหมื่นตะวันจะมีได้เพียงคนเดียวเท่านั้นในรอบล้านล้านปี ” จ้าวเทียนพูดขึ้นด้วยความสับสน
“ เจ้าหมายถึง…เรื่องแก่นแท้ดวงตะวันใช่ไหม ของสิ่งนี้มันยากมากกว่าจะได้มา ยิ่งในยุคสมัยนี้ ที่มหาเทพมีอายุขัยเพียงแสนปี ย่อมไม่อาจค้นหาแกนกลางที่ดับสูญของดวงอาทิตย์ที่ต้องใช้เวลานับล้านๆปีได้ ”
“ แต่ก็ใช่ว่า…มันจะไม่มีสิ่งอื่นทดแทนได้ซักหน่อย เทพโลกาคนนั้นได้ช่วงชิงแกนกลางของดาวเคราะห์หนึ่งร้อยดวง มาหลอมสร้างเป็นแก่นแท้ดวงตะวันเทียม เพื่อฝึกฝนวิชานี้จนสำเร็จ ”
“ แม้ว่ามันจะด้อยกว่าของแท้มาก แต่ก็พอที่จะทำให้เขาพิชิตไปทั่วแดนสวรรค์โดยไร้ผู้ต่อต้าน หากไม่ใช่ว่ามีข้าอยู่ บางทีผู้ที่ขึ้นเป็นมหาเทพในยุคสมัยนั้นคงเป็นเขา ”
เมื่อถึงตอนนี้ จ้าวเทียนก็พอจะรู้แล้วว่าทำไม โลกภายในนี้ถึงไม่ดับสูญไปตามเจ้าของ นั่นก็เพราะมันถูกสร้างขั้นจากแกนกลางของดวงดาวถึงร้อยดวง
‘ สิ่งนี้มันจะเป็นประโยชน์มหาศาลกับตัวฉัน อย่างที่มหาเทพจูเซียนบอกจริงๆ ’
“ เอาล่ะ…ตอนนี้เจ้ากลับไปได้แล้ว จงอย่าลืมสิ่งที่ได้รับปากกับข้าเอาไว้ ” มหาเทพจูเซียนพูดขึ้นด้วยสีหน้าจริงจัง ซึ่งเมื่อเห็นจ้าวเทียนพยักหน้าตอบรับ
มหาเทพจูเซียนก็สะบัดมือเบาๆ ทำให้แสงสีรุ้งปกคลุมร่างจ้าวเทียน และถูกส่งออกไปที่โลกหมิงหลงทันที
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: จุติใหม่มหาเทพตี้เทียน
ดีๆๆเดินเรื่องดี...
ต่อๆไป...
ขอบคุณทีมงานที่นำเรื่องดีๆมาลงให้อ่าน...