ในการบรรลุขอบเขตครึ่งก้าวเซียนนภาของจ้าวเทียนนั้นแตกต่างจากผู้อื่น เนื่องจากเขาได้อาศัยโลกภายในของเทพโลกาขั้นเก้าเป็นแกนกลาง แล้วหลอมรวมเข้ากับเมล็ดพันธุ์เซียนของตัวเอง ทำให้โลกภายในของเขาเหนือกว่าผู้อื่นเป็นร้อยเท่า
ซึ่งแท้จริงแล้ว มันไม่สามารถทำแบบนี้ได้ เพราะเทพโลกกาขั้นเก้านั้นเป็นผู้ที่อยู่ในจุดสูงสุดรองจากจักรพรรดิเทพ เหนือไปกว่าขอบเขตเซียนราวฟ้ากับดิน
ต่อให้เป็นโลกภายในของเซียนนภาในตำนานเอง ก็ยังห่างชั้นกับโลกภายในของเทพโลกาขั้นเก้าดุจดวงอาทิตย์กับดวงจันทร์ แทบไม่ต้องพูดถึงครึ่งก้าวเซียนนภาเลย
ถ้าไม่ใช่เพราะจ้าวเทียนและเทพโลกาคนนั้นฝึกฝนเคล็ดวิชาเดียวกัน และแก่นแท้ดวงตะวันที่จ้าวเทียนดูดกลืนไป โลกภายของเขาคงระเบิดออกเป็นเสี่ยงๆ เพราะทนรับพลังอันมหาศาลไม่ไหวแน่นอน
ตอนนี้ พลังการต่อสู้ของจ้าวเทียนที่อยู่ในขอบเขตครึ่งก้าวเซียนนภานั้น เทียบเท่าหรือเหนือกว่าเซียนนภาตัวจริงไปแล้ว แม้จะไม่สามารถทลายนภาขึ้นไปสู่แดนสวรรค์ได้ก็ตาม
และทุกครั้งที่จ้าวเทียนได้ดูดกลืนพลังวิญญาณ ทำให้โลกภายในของตนสมบูรณ์ขึ้น ความแข็งแกร่งของเขาก็จะพุ่งสูงขึ้นอย่างทวีคูณ
สามารถบอกได้เลยว่า เมื่อไหร่ก็ตามที่จ้าวเทียนกลายเป็นเซียนนภาอย่างแท้จริง ต่อให้ต้องเผชิญหน้ากับบรรพบุรุษของตำหนักเทวะซึ่งเป็นผู้สร้างโลกหมิงหลง เขาก็ไม่เกรงกลัว
อาจเพราะเล็งเห็นถึงข้อนี้ มหาเทพจูเซียนจึงได้มอบสมบัติล้ำค่าของตนให้กับจ้าวเทียนโดยไม่ลังเล เพื่อให้เขาช่วยแก้แค้นและล้างความอัปยศให้กับสำนักจูเซียน
ในขณะเดียวกัน
บนท้องฟ้า เทพกระบี่ได้สอบถามข้อมูลมากมายกับจ้าวเทียน เกี่ยวกับเรื่องแนวทางและขั้นตอนเพิ่มความแข็งแกร่งให้โลกภายใน
ซึ่งจ้าวเทียนก็บอกออกไปตามตรงแบบไม่ได้ปิดบัง เนื่องจากเทพกระบี่เองก็ถือได้ว่าเป็นพันธมิตรและเป็นกำลังรบสำคัญของฝ่ายเขา
“ ต้นกำเนิดเหมืองหินวิญญาณระดับสูง…ของแบบนั้น มันสามารถใช้ได้ด้วยงั้นเหรอ ” เทพกระบี่ถามขึ้นด้วยสีหน้าตกใจ มันจะไม่เสี่ยงเกินไปหรืออย่างไร
ถ้าให้เปรียบเทียบง่ายๆจากข้อมูลที่จ้าวเทียนบอกมา ผลึกคริสตัลต้นกำเนิดหนึ่งก้อน ก็มีพลังเทียบเท่ากันหินวิญญาณระดับสูงหนึ่งพันก้อนเข้าไปแล้ว
อีกทั้งยังเป็นพลังงานที่เข้มข้นและบริสุทธิ์กว่าหินวิญญาณมาก…
หากให้เทพกระบี่ทำตามวิธีของจ้าวเทียนจริงๆ แค่ดูดซับผลึกคริสตัลต้นกำเนิดไปแค่ก้อนเดียว ไม่แน่ว่าโลกภายในของเขาอาจจะระเบิดก็ได้
“ มันมีวิธีอยู่นะ คุณต้องแปลงพลังงานพวกนั้นให้อยู่ในรูปแบบของวัตถุที่จับต้องได้ แล้วค่อยๆ ดูดกลืนเข้าไปทีละน้อย ”
“ เมื่อทำแบบนี้ โลกภายในของคุณก็จะขยายตัวออกไปอย่างช้าๆ ลดความเสี่ยงที่มันจะระเบิดออกมาเพราะทนรับพลังมหาศาลไม่ไหว ” จ้าวเทียนได้อธิบายอย่างละเอียด
ทันใดนั้น
!!
เส้นลำแสงสีแดงขนาดใหญ่สายหนึ่งก็ยิงตรงมาจากทางขอบฟ้า ทำให้ทะเลเมฆกว้างไกลสุดสายตาได้ระเบิดออกเป็นทางยาว
ครืนนนน! เพล้ง!
กำแพงมิติรอบๆพวกจ้าวเทียนพังทลายไปในพริบตา แล้วมีม่านพลังงานลึกลับบางอย่างได้ปกคลุมพวกเขาเอาไว้
ตรงตำแหน่งของดวงอาทิตย์ ได้ปรากฏเขตอาคมขนาดใหญ่สีแดงฉานปลดปล่อยออร่าน่าสะพรึงกลัว บดบังแสงสว่างทั้งหมด จนทำให้ท้องฟ้ามิดมิดเหมือนยามราตรี
แวบบบ!
ทันใดนั้น บริเวณตรงที่พวกจ้าวเทียนอยู่ ก็เหมือนถูกดึงเข้าไปอยู่ในหลุมอันดำมืดบรรยากาศกดดันและเย็นยะเยือกได้แผ่ขยายออกไปรอบด้าน ตรึงจ้าวเทียนและเทพกระบี่เอาไว้
“ แย่แล้ว…ฉันสัมผัสได้ว่า ตอนนี้พวกเราได้ถูกแยกออกมากักขังไว้ในอีกมิติปิดกั้นแห่งหนึ่ง ” เทพกระบี่พูดขึ้นด้วยแววตาเคร่งเครียด เพราะรู้ดีว่าเป็นฝีมือของใคร
“ นี่คงจะเป็น…สมบัติเวทระดับศักดิ์สิทธิ์ ที่ใช้ในการผนึกเขตแดนกักขังโดยเฉพาะ ดูเหมือนฉันจะทำให้คุณพลอยเดือดร้อนไปด้วยแล้วล่ะ ” จ้าวเทียนพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงจริงจัง เขาเองก็คาดเดาตัวตนของอีกฝ่ายออกเช่นกัน
ทั้งอาวุธและสมบัติระดับศักดิ์สิทธิ์ มีเพียงผู้ที่อยู่ในขอบเขตแดนเทพขึ้นไปถึงจะใช้ออกมาได้ และในโลกใบนี้คงมีเพียงผู้เดียวที่อยู่ในขอบเขตนั้น
ซึ่งก็คือ…เจ้าตำหนักเทวะ หยวนไป่เฉียน
แคว่กกก!
ช่องว่างมิติตรงหน้าพวกจ้าวเทียน ห่างออกไปประมาณสิบเมตรได้ถูกฉีกขาดออก ก่อนที่คนผู้หนึ่งจะก้าวออกมาด้วยใบหน้าเย็นชา
ที่ด้านข้างของชายคนนั้น มีจานแปดเหลี่ยมขนาดเล็ก เปล่งแสงสีแดงลอยอยู่ ซึ่งนี่ก็คือสมบัติศักดิ์สิทธิ์ของสำนักจูเซียน ผนึกโลหิตแปดทิศ ซึ่งสามารถกักขังได้แม้กระทั่งเทพโลกา
‘ อืม…ดูเหมือนว่าการฝ่ามิติของเขา จะพึ่งพาสมบัติเวทไม่ใช่ความสามารถของตัวเอง ’
จ้าวเทียนคิดวิเคราะห์อย่างใจเย็น ถ้าฝ่ายตรงข้ามมีความเชี่ยวชาญด้านมิติก็คงลำบากแล้ว โอกาสชนะของเขาแทบจะไม่มี
ก่อนที่เรื่องมันจะยุ่งยากไปกว่านี้ จ้าวเทียนก็ได้เข้ามาห้ามเทพกระบี่เอาไว้ เพราะต้องการรู้จุดประสงค์ของฝ่ายตรงข้ามก่อน
“ เจ้าตำหนักเทวะ มีธุระอะไรกับฉันงั้นเหรอ ” จ้าวเทียนถามขึ้นด้วยใบหน้าเรียบเฉย แม้จะสัมผัสได้ว่าอีกฝ่ายกำลังตรวจสอบตัวตนของเขาอยู่ แต่ก็ไม่ได้ต่อต้านอะไร
เนื่องจาก…ตอนนี้ เขาไม่จำเป็นต้องเกรงกลัวใครหน้าไหนอีกต่อไปแล้ว
“ นายคือจ้าวเทียนสินะ…จงเข้าร่วมกับตำหนักเทวะซะ แล้วฉันจะยกโทษให้กับความผิดทุกอย่างที่นายก่อขึ้นในอดีต ”
“ นอกจากนี้ นายยังจะได้รับการแต่งตั้งให้เป็นทูตเทวะระดับสูงสุด ที่รับคำสั่งโดยตรงจากฉันและมีอำนาจอยู่เหนือคนอื่นในโลกใบนี้ ”
“ รวมไปถึง…ห้าผู้นำของสมาพันธ์บู๊ลิ้มด้วย ” หยวนไป่เฉียนพูดขึ้นด้วยท่าทีใจกว้าง เขาคิดว่าอีกฝ่ายต้องตอบรับแน่นอน เพราะเงื่อนไขนี้เขายังไม่เคยมอบให้ใครมาก่อน
เมื่อได้ยินแบบนั้น จ้าวเทียนและเทพกระบี่ก็หันมาสบตากันเล็กน้อย อยู่ใต้คนเพียงคนเดียวแต่อยู่เหนือคนทั้งโลก ช่างเป็นข้อเสนอที่เย้ายวนจริงๆ
บอกได้เลยว่า ถ้าเป็นคนอื่นที่ไม่ใช่จ้าวเทียน ก็คงเกิดความไขว้เขวแน่นอน เพราะตำหนักเทวะนั้นคือผู้สืบสายเลือดของผู้สร้างโลก คำพูดของพวกเขาคือกฏเกณฑ์ที่สิ่งมีชีวิตทั้งหมดต้องยอมรับ
อีกทั้งประวัติความเป็นมาของพวกเขานั้นขาวสะอาด ได้ชื่อว่าเป็นผู้ภักดีที่พลีชีพเพื่อปกป้องสมบัติของสำนักจูเซียน สมควรได้รับการยกย่องจากทุกคน
แต่ทว่า
สำหรับจ้าวเทียนที่รู้ความจริงทุกอย่าง กลับมองว่าคนพวกนี้เป็นพวกทรยศที่ปลิ้นปล้นและสร้างภาพเก่งมาก เป็นคนจำพวกที่น่ารังเกียจที่สุด
“ อืม…ช่างเป็นเงื่อนไขที่ดีมากจริงๆ ” จ้าวเทียนพูดขึ้นด้วยรอยยิ้ม ทำให้สีหน้าของอีกฝ่ายดูผ่อนคลายลงทันที
“ ใช่แล้ว นายจงภูมิใจเสียเถอะ ที่เป็นคนแรกที่ได้รับโอกาสนี้ เอาล่ะ จงตามฉันกลับไปที่ตำหนัก เพื่อทำพิธีรับมอบตำแหน่งและให้คำสัตย์ปฏิญาณตน ว่าจะจงรักภักดีต่อตำหนักเทวะตลอดไป… ” ในขณะที่หยวนไป่เฉียนกำลังจะพูดต่อ แต่โดนขัดขึ้นเสียก่อน
“ เดี๋ยวก่อน ฉันยังไม่ได้บอกเลยว่าจะเข้าร่วม เพราะถึงแม้เงื่อนไขของคุณจะดีมากก็จริง แต่มันก็ติดปัญหาอยู่ข้อหนึ่ง ” จ้าวเทียนพูดออกมาด้วยท่าทีเฉยชา
“ ปัญหา?...หมายความว่ายังไง ” หยวนไป่เฉียนพูดขึ้นด้วยความหงุดหงิด เขาคิดว่าอีกฝ่ายกำลังจะเรียกร้องผลประโยชน์เพิ่มเติม
“ ใช่ มันเป็นปัญหาที่ใหญ่เลยล่ะ เพราะคุณไม่มีค่าพอ ที่จะให้ฉันไปทำงานให้ยังไงล่ะ ”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: จุติใหม่มหาเทพตี้เทียน
ดีๆๆเดินเรื่องดี...
ต่อๆไป...
ขอบคุณทีมงานที่นำเรื่องดีๆมาลงให้อ่าน...