เพียงแค่ดูจากเครื่องแต่งกายและกลิ่นอายของฝ่ายตรงข้าม จ้าวเทียนก็รู้ได้ในทันที ว่าคงเป็นผู้ที่มาจากสำนักบู๊ติ้ง สำนักช้วนจินก่า และสำนักง้อไบ๊แน่นอน และถ้าวัดเพียงแค่พลังอย่างเดียว ต่อให้ไม่ใช่เจ้าสำนักก็คงเป็นระดับผู้อาวุโสสูงสุดมาเอง
นี่เขาเพิ่งจะเปิดเผยตัวตนออกไปไม่นาน สมาพันธ์บู๊ลิ้มถึงกับส่งครึ่งก้าวเซียนนภาสามคนมาหาเรื่องถึงที่เลยงั้นเหรอ
“ เอ่อ…คือว่า ” นักพรตชราที่มาจากสำนักบู๊ตึ้ง มีสีหน้าลำบากใจอย่างเห็นได้ชัด เขาไม่นึกว่าจ้าวเทียนจะใช้คำพูดกดดันตั้งแต่เจอหน้ากันแบบนี้
“ จ้าวเทียน พวกเราคือผู้อาวุโสสูงสุดของสามสำนักใหญ่ ที่มาในครั้งนี้ไม่ได้มีเจตนาจะเป็นศัตรูกับคุณหรอกนะ เพียงแค่ต้องการเจรจาตกลงบางอย่างเท่านั้น ” แม่ชีวัยกลางคนพูดขึ้นด้วยสีหน้าจริงจัง
แม้รูปโฉมเธอจะเหมือนคนอายุสี่สิบปี แต่แท้จริงแล้วเธอเป็นถึงอาจารย์อาของเจ้าสำนักง้อไบ๊คนปัจจุบันเลยทีเดียว หากไม่เกิดเรื่องคอขาดบาดตายกับสำนักจริงๆ เธอจะไม่ปรากฏตัวออกมาเด็ดขาด
“ เจรจา? กับฉันงั้นเหรอ ” จ้าวเทียนมองอีกฝ่ายด้วยสีหน้าครุ่นคิดเล็กน้อย ก่อนจะพยักหน้าแล้วส่งสัญญาณให้เปลี่ยนสถานที่คุยกัน เพราะตรงนี้อยู่ท่ามกลางฝูงคน หากเกิดปัญหาขึ้นมาคงไม่เหมาะสักเท่าไหร่
พระราชวังหลวงแห่งแคว้นต้าฉิน
หลังจากที่ส่งพวกน้องๆให้กับแม่ที่ห้องรับรองแล้ว จ้าวเทียนก็สอบถามที่อยู่ของคังหลินแล้วก็พาแขกไม่ได้รับเชิญทั้งสามออกไปทันที ส่วนกงเสี่ยวเหมยนั้นเธอขอรออยู่กับพวกเด็กๆ เพราะรู้ดีว่าจ้าวเทียนมีธุระที่ต้องจัดการก่อน
ซึ่งตลอดทางที่จ้าวเทียนเดินผ่านไป ไม่ว่าจะเป็นองครักษ์หรือเหล่าขุนนางต่างก็ปฏิบัติต่อเขาด้วยความนอบน้อม เหมือนกับคาดเดาได้ถึงตัวตนของเขาตั้งแต่แรก
โดยเฉพาะผู้ที่มาจากตระกูลฉินเมืองเหล็กดำ สายตาที่พวกเขามองจ้าวเทียนนั้น มีแต่ความยกย่องบูชาอย่างปิดไม่มิด
“ ดูเหมือนทุกคนจะรู้แล้ว ว่าฉันกับฉินหวงเป็นคนเดียวกัน การสืบหาข้อมูลของหน่วยเงาปีศาจนี่ช่างรวดเร็วจริงๆ ”
ก่อนหน้านี้ตัวตนของจ้าวเทียน ถูกรับรู้เพียงระดับสูงในตระกูลฉินไม่กี่คนเท่านั้น แต่ในตอนนี้คาดว่าคงจะรับรู้กันไปทั่วแล้ว
เรื่องนี้คงสืบเนื่องมาจาก การที่จ้าวเทียนเดินเล่นกับกงเสี่ยวเหมยและพวกน้องๆเกือบสองชั่วโมง แล้วคงถูกหน่วยเงาปีศาจพบเข้า ซึ่งการที่พวกเด็กๆเรียกเขาว่าพี่ใหญ่นั้น มันก็บ่งบอกอะไรหลายๆอย่างได้ทันที
ทางฝ่ายผู้อาวุโสของสามสำนักใหญ่ ก็ได้เดินตามจ้าวเทียนมาแบบเงียบๆ ทุกคนต่างก็มีความในใจของตนเอง เพราะสิ่งที่พวกเขาแบกรับนั้นคือความอยู่รอดของสำนักตน
หากเลือกได้ก็คงไม่มีใครอยากมาทำหน้าที่นี้ เพราะก่อนหน้านี้ความสัมพันธ์ของพวกเขากับจ้าวเทียนเป็นศัตรูกันอย่างชัดเจน แต่ถ้าพวกเขาจะไม่มาก็ไม่ได้
หากปล่อยให้เจ้าสำนักทั้งสามมาเอง แล้วเกิดจ้าวเทียนลงมือโดยไม่ไว้หน้าขึ้นมา สำนักใหญ่ทั้งสามคงต้องคัดเลือกผู้นำคนใหม่เป็นแน่
จนกระทั่งเวลาผ่านไป
พวกจ้าวเทียนได้เดินมาจนถึงตำหนักฉินหลง ที่มีการคุ้มกันอย่างแน่นหนา เพราะเป็นที่ประทับส่วนพระองค์ของฮ่องเต้ราชวงศ์ฉิน
และก่อนที่องครักษ์จะเข้ามาหยุดพวกจ้าวเทียนไว้ ก็ได้มีเสียงดังขึ้นจากด้านในตำหนักเสียก่อน
“ ปล่อยให้พวกเขาเข้ามา ”
เมื่อได้ยินแบบนั้นพวกองครักษ์ก็ถอยกลับไป แล้วรีบเปิดประตูให้จ้าวเทียนทันที
!!
“ หืม…วัดเส้าหลินก็มาด้วยเหรอ ” จ้าวเทียนรู้สึกแปลกใจเล็กน้อย ที่พบหลวงจีนชราอยู่ด้านในด้วย
“ หลวงจีนหมิงตี้!! ” ตัวแทนจากสามสำนักใหญ่เองก็ตกใจเช่นกัน
พวกเขาไม่คิดว่าจะได้พบกับอีกฝ่ายที่นี่ เพราะวัดเส้าหลินนั้นไม่ได้มีข้อบาดหมางอะไรกับจ้าวเทียน
“ คารวะผู้อาวุโส ”
ถึงแม้จะมีตำแหน่งสถานะเท่าเทียมกัน แต่หลวงจีนหมิงตี้นั้น เป็นบุคคลที่อยู่ในรุ่นเดียวกันกับเจ้าอาวาสวัดเสาหลิน ทำให้ทุกคนต้องรีบเข้าไปทักทายตามมารยาท
“ วันนี้ถือเป็นฤกษ์งามยามดีจริงๆ ห้าสำหนักใหญ่ได้มาเป็นแขกในวังของฉัน ขาดเพียงพรรคกระยาจกเท่านั้น ” คังหลินพูดติดตลกเล็กน้อย เขาหันมาพยักหน้ากับจ้าวเทียนแล้วรีบเล่าเรื่องทุกอย่างให้ฟัง
แท้จริงแล้ว จุดประสงค์ของหลวงจีนหมิงตี้ คือต้องการจับกุมตัวพวกกองกำลังลึกลับที่บุกรุกเข้ามาในวังหลวงเมื่อวานเพื่อไปรีดข้อมูล
และก็แน่นอนว่าคังหลินได้ตอบปฏิเสธไป เพราะเขาก็ยังไม่รู้เรื่องที่ต้องการจากอีกฝ่ายเลย ต้องยอมรับว่าทูตมังกรนั้นกระดูกแข็งกว่าที่คิดไว้มาก
ไม่ว่าจะทรมานเขาสักเท่าไหร่ ก็ไม่ยอมเปิดปากออกมาแม้แต่น้อย อีกทั้งยังผนึกสติสัมปชัญญะของตัวเองเอาไว้อีก ทำให้ตอนนี้ทูตมังกรไม่ต่างไปจากคนที่นอนเป็นผัก ไม่รู้สึกถึงเจ็บปวด
ต่อให้ลงทัณฑ์โดยการแล่เนื้อขูดกระดูกก็ไม่มีประโยชน์
“ ในเมื่อพวกคุณไม่ได้มาด้วยเรื่องเดียวกัน งั้นฉันขอจัดการปัญหาที่ส่งผลกะทบเป็นวงกว้างก่อนก็แล้วกันนะ ” จ้าวเทียนมองไปทางสองนักพรตและหนึ่งแม่ชี ซึ่งพวกเขาก็พยักหน้ายอมรับทันที เพราะต้องการทราบข้อมูลของฝ่ายศัตรูเช่นกัน
“ นำตัวบุกรุกเข้ามา ” คังหลินสั่งออกไปเสียงดัง ผ่านไปครู่หนึ่ง ก็มีองครักษ์สองคนนำร่างของชายคนหนึ่งเข้ามาวางไว้ตรงกลางห้อง
“ ทลาย! ”
เจตจำนงแห่งกระบี่ของจ้าวเทียน ได้ทะลวงเข้าใส่จิตวิญญาณของฝ่ายตรงข้ามในพริบตา ด้วยพลังที่ไม่อาจต้านทานได้
เขาได้ใช้วิธีค้นหาข้อมูลจากดวงวิญญาณของอีกฝ่ายโดยตรง…
อึก!
ร่างของชายคนนั้นชักกระตุกอย่างรุนแรง นัยน์ตาเหลือกขึ้นไปด้านบน มีเลือดไหลซึมออกมาจากทวารทั้งเก้า พลังชีวิตจางหายไปอย่างรวดเร็ว
วิธีการนี้ของจ้าวเทียนโหดร้ายเป็นอย่างมาก เพราะผู้ที่โดนจะต้องทนทุกข์ทรมานไม่ต่างไปจากการตายทั้งเป็น
แท้จริงแล้ว นี่เป็นการเชือดไก่ให้ลิงดูและเป็นคำเตือนจากจ้าวเทียนถึงผู้อาวุโสจากสมาพันธ์ทุกคนที่อยู่ในห้อง ว่าเขาไม่เคยให้ความปราณีกับศัตรูมาก่อน
เพราะการสงสารศัตรูก็ไม่ต่างไปจากการทำร้ายตัวเอง เพราะถ้าเป็นตัวเขาที่ต้องตกอยู่ในสถานการณ์แบบนี้ พวกศัตรูก็คงไม่ปราณีเช่นกัน
ตุบ!
ร่างอันไร้ชีวิตตกลงไปบนพื้น เหมือนหุ่นกระบอกที่เส้นใยขาด
“ เป็นอย่างไรบ้าง ได้ข้อมูลอะไรมาไหม ” คังหลินถามขึ้นด้วยความอยากรู้ เขาสิ้นเปลืองเวลาไปหลายชั่วโมงแต่กลับไม่ได้อะไรที่เป็นประโยชน์เลย ทำให้รู้สึกสนใจเล็กน้อย
“ ได้มาเยอะเลยล่ะ ” จ้าวเทียนพูดขึ้นด้วยรอยยิ้ม แต่ยังไม่ทันที่เขาจะพูดอะไรต่อ ก็มีสีหน้าเปลี่ยนไปแล้วมองไปยังทิศทางหนึ่งทันที
!!
“ นี่มัน…ยอดฝีมือระดับครึ่งก้าวเซียนนภายี่สิบคน กำลังมุ่งตรงมาทางนี้ ” หลวงจีนหมิงตี้และคนอื่นๆเองก็สัมผัสได้เช่นกัน
“ ฝีมือของพวกคุณเหรอ ” จ้าวเทียนหันไปมองสามผู้อาวุโสจากสำนักบู๊ติ้ง ง้อไบ๊และช้วนจินก่า ด้วยสายตาเย็นชา เพราะมีเพียงสำนักใหญ่ทั้งสามเท่านั้น ที่พอจะทำเรื่องแบบนี้ได้
“ ไม่ใช่…พวกเราไม่เคยรู้เรื่องนี้มาก่อน ” ผู้อาวุโสสูงสุดจากสำนักบู๊ตึ้งรีบพูดขึ้นด้วยท่าทางร้อนรน คนอื่นๆก็รีบส่ายหน้าปฏิเสธเช่นกัน
‘ ล้อเล่นหรือเปล่า…ถ้าพวกเรามียอดฝีมือระดับสูงสุดมากขนาดนี้จริงๆ ก็คงสังหารแกไปตั้งนานแล้ว จะมาเสียเวลาเจรจาทำไมกัน ’
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: จุติใหม่มหาเทพตี้เทียน
ดีๆๆเดินเรื่องดี...
ต่อๆไป...
ขอบคุณทีมงานที่นำเรื่องดีๆมาลงให้อ่าน...