ณ พระราชวังจักรพรรดิสีทอง
มหาเทพจูเซียนกำลังนั่งอยู่บนบัลลังก์แห่งราชันด้วยสีหน้าเคร่งเครียด สายตาของเขาจับจ้องไปที่กระจกบานใหญ่ที่ตั้งอยู่ตรงกลางท้องพระโรง ซึ่งกำลังฉายภาพการต่อสู้ของพวกจ้าวเทียนกับเจ้าตำหนักเทวะอย่างละเอียด
แท้จริงแล้วแผ่นป้ายที่จ้าวเทียนได้รับไป ทำหน้าที่เหมือนเป็นเครื่องสอดแนม ทำให้มหาเทพจูเซียนรู้ความเคลื่อนไหวของเขาทั้งหมด
“ ไอ้พวกทรยศที่สมควรตาย กล้าดียังไงถึงมาฝึกฝนเคล็ดวิชากายาอมตะของข้า ” มหาเทพจูเซียนพูดขึ้นเสียงดังด้วยความโกรธ
เคล็ดวิชานี้เขาเตรียมไว้ให้กับผู้สืบทอดของนิกายเท่านั้น แม้แต่ผู้อาวุโสระดับสูงยังไม่ได้รับอนุญาตให้ฝึกฝน ไม่นึกเลยว่าจะตกไปอยู่ในมือของเศษสวะเช่นนี้
ถ้าไม่ใช่ว่าตอนนี้ เขาหลงเหลือเพียงเจตจำนง คงออกไปเข่นฆ่าสังหารพวกมันกับมือแล้ว ยิ่งคิดถึงเรื่องนี้เขาก็ยิ่งแค้น เพราะรู้ดีว่าพวกมันได้เคล็ดวิชานี้มาจากใคร
“ อวี้เซียน บิดาทำผิดต่อเจ้านัก หากตอนนั้นบิดาเชื่อฟังคำเตือนของเจ้า และไม่หลงกลออกไปติดกับดักของฝ่ายตรงข้าม เรื่องทั้งหมดคงไม่เป็นแบบนี้ ” มหาเทพจูเซียนพูดขึ้นด้วยความเจ็บปวด
ตัวเขาในตอนนั้น เชื่อมั่นในพลังของตนเองมากเกินไป จนดูแคลนศัตรู ถึงแม้บุตรชายและภรรยาจะทัดทานหลายครั้ง เขาก็ยังคงออกไปต่อสู้
สุดท้ายจึงจบลงที่นิกายพังพินาศผู้คนล้มตาย แม้แต่บุตรชายที่เป็นผู้สืบทอดยังไม่อาจหนีชะตากรรมพ้น ต้องพลีชีพเซ่นสังเวยดวงวิญญาณ ยอมดับสูญไม่ได้ผุดไม่ได้เกิดใช้คำสาปโลหิตหยุดยั้งศัตรูไม่ให้สมความปรารถนา
ทั้งที่เป็นแบบนั้น แต่ผลลัพธ์ที่ได้กลับกลายเป็นว่า ศัตรูก็ยังคงได้รับเคล็ดวิชาสืบทอดของเขาไปอยู่ดี เรื่องนี้ได้สร้างความโกรธแค้นให้มหาเทพผู้ยิ่งใหญ่เป็นอย่างมาก
“ หมิงเย่ เรื่องที่เราสั่งให้เจ้าทำ ตอนนี้สำเร็จไปถึงขั้นไหนแล้ว ” มหาเทพจูเซียนหันไปถามหญิงสาวที่คุกเข่าอยู่ข้างบัลลังก์
เมื่อได้ยินเช่นนั้น ดวงตาของหมิงเย่จิตวิญญาณแห่งพระราชวังจักรพรรดิก็เปล่งแสงสีรุ้งออกมา
ฟุ่บ!ๆๆๆๆ
ร่างของคนในชุดคลุมสีขาว ที่มีสีหน้าท่าทางเย็นชาจำนวนยี่สิบคน แบ่งเป็นชายหญิงอย่างละครึ่ง ก็ได้ปรากฏขึ้นกลางท้องพระโรงและรีบคุกเข่าลงทันที
“ เรียนท่านองค์จักรพรรดิ หุ่นเชิดจิตวิญญาณ บัดนี้สร้างสำเร็จเพียงยี่สิบตนเท่านั้น ” หมิงเย่รายงานขึ้นด้วยน้ำเสียงนอบน้อม
“ ใส่แกนพลังระดับปราณทิพย์ให้พวกมันซะ แล้วส่งออกไปยังโลกภายนอก เพื่อคอยปกป้องคุ้มครองบุตรสาวของข้า และช่วยเหลือจ้าวเทียนในการต่อสู้กับตำหนักเทวะ ” มหาเทพจูเซียนพูดออกมาด้วยสีหน้าจริงจัง
สายตาของเขา มองไปยังภาพของจ้าวเทียนและกงเสี่ยวเหมยที่ปรากฏอยู่ในกระจก ดูเหมือนตอนนี้จ้าวเทียนกำลังจะพาทุกคนไปสบทบกันที่เมืองหลวงแคว้นต้าฉิน
‘ เดิมที่ข้าคิดจะสร้างกองกำลังหุ่นเชิด เพื่อใช้ในศึกใหญ่อีกห้าปีข้างหน้า การเปิดเผยพวกมันออกไปในตอนนี้ อาจจะทำให้พวกศัตรูไหวตัวทันได้ ’
‘ แต่ถ้าข้าไม่ยื่นมือช่วยเหลือจ้าวเทียนในตอนนี้ เขาจะต้องพ่ายแพ้ในสงครามที่กำลังจะมาถึงแน่นอน ’
‘ จะปล่อยให้ความหวังที่เพิ่งจะเกิดขึ้น…ต้องสูญสิ้นลงไม่ได้เด็ดขาด ’
การตัดสินใจครั้งนี้ สืบเนื่องมาจากการที่มหาเทพจูเซียนรู้ว่าตำหนักเทวะได้รับเคล็ดวิชากายาอมตะไป เพราะมีเพียงตัวเขาที่เข้าใจความน่ากลัวของเคล็ดวิชาที่ตนคิดค้นขึ้นที่สุด
ผู้ที่ฝึกเคล็ดกายาอมตะสำเร็จถึงในระดับหนึ่ง ถึงแม้จะเป็นเพียงแค่ขอบเขตปราณทิพย์ ก็จะได้รับอายุขัยเพิ่มขึ้นเป็นจำนวนมาก
ยิ่งไม่ต้องพูดถึงผู้ฝึกตนขอบเขตแดนเทพที่ฝึกฝนวิชานี้ อายุขัยของพวกเขาขั้นต่ำก็มีมากถึงห้าพันปี แต่ถ้าใช้วิธีการผนึกตัวเองเอาไว้ การจะยืดอายุขัยออกไปถึงหมื่นปีก็ไม่ใช่เรื่องยาก
นั่นหมายความว่า…เจ้าตำหนักเทวะรุ่นก่อนๆอาจจะยังมีชีวิตอยู่ก็เป็นได้
‘ ข้าไม่รู้ว่าเจ้าตำหนักเทวะรุ่นก่อนมีกี่คน ที่บรรลุขอบเขตแดนเทพบ้าง ได้แต่หวังว่าการเตรียมการในครั้งนี้ของข้าจะไม่สูญเปล่า ’
ในเวลาเดียวกัน
จ้าวเทียนและกงเสี่ยวเหมยกำลังพาพวกเด็กๆ ออกมาจากเขตอาคมเคลื่อนย้ายที่เมืองหลวงแคว้นต้าฉิน โดยที่พวกเขาไม่จำเป็นต้องปิดบังใบหน้าอีกต่อไป
เพราะด้วยความแข็งแกร่งของจ้าวเทียนในปัจจุบัน สมาพันธ์บู๊ลิ้มไม่ได้สร้างความกดดันให้เขาอีกแล้ว ขอเพียงพวกนั้นไม่เสนอหน้ามารนหาที่ตายเอง เขาก็คร้านที่จะไปสนใจอีกฝ่าย
ซึ่งแม้แต่ตัวจ้าวเทียนเองก็เริ่มรู้สึกสนุกเช่นกัน เพราะการได้เที่ยวเล่นแบบนี้ ทำให้เขานึกไปถึงวันเวลาเก่าๆ ในตอนที่ครอบครัวอยู่กันพร้อมหน้า นั่นเป็นช่วงเวลาที่เขามีความสุขที่สุด
สองชั่วโมงผ่านไป
ตอนนี้แสงอาทิตย์ได้ลาลับขอบฟ้าไปแล้ว พวกจ้าวเทียนได้กลับมารวมตัวกันที่ตรงจุดเดิมด้วยสีหน้าที่เต็มไปด้วยรอยยิ้ม โดยเฉพาะเด็กๆทั้งสองคน ซึ่งต่างก็ได้ซื้อของตามที่ตนเองต้องการเป็นจำนวนมาก
ด้วยความร่ำรวยของจ้าวเทียนในเวลานี้ ไม่ว่าน้องๆของเขาอยากจะได้อะไร เขาล้วนซื้อให้โดยไม่ลังเล
มูลค่าของพวกมันเทียบได้กับหินวิญญาณระดับต่ำประมาณสองหมื่นก้อน ซึ่งของทุกชิ้นก็ได้ถูกเก็บเอาไว้ในแหวนมิติเรียบร้อย เพื่อไม่ให้เกะกะเวลาเดินทาง
“ พี่ใหญ่…คือว่าเรื่องของพวกนั้น อย่าเล่าให้ท่านแม่ฟังนะ ” เหยียนเมิ่งเป่าพูดขึ้นด้วยท่าทางกังวล ทำให้เหยียนเมิ่งฉีนึกได้ในทันที และรีบส่งสายตาที่ดูเหมือนลูกแมวตัวน้อยมาให้จ้าวเทียน
“ พี่รู้แล้ว…เมื่อไหร่ที่พวกน้องต้องการมัน ก็ค่อยมาบอกพี่ก็แล้วกัน ” จ้าวเทียนพูดขึ้นด้วยท่าทางขบขัน
ทำไมเขาจะไม่รู้ว่าพวกน้องๆกลัวเรื่องอะไร เพราะตัวเขาเองตอนที่เป็นเด็กก็เคยถูกแม่ทำโทษมาก่อน ตอนที่แอบขอเงินพ่อไปซื้อของเล่นมากมายกลับมาบ้าน
แม่นั้นเป็นคนที่เข้มงวดมาก เธอมักจะสอนลูกๆให้รู้จักคุณค่าของเงิน ด้วยการสอนให้ลูกรู้จักควบคุมตัวเองและปลูกฝังนิสัยดีๆให้
แต่ในขณะที่พวกจ้าวเทียน กำลังเดินตรงไปยังวังหลวงนั้นเอง พวกเขาก็พบกับแขกไม่ได้รับเชิญสามคน มายืนดักรออยู่ก่อน
เป็น…สองนักพรตและหนึ่งแม่ชี
แม้พวกเขาจะปลอมแปลงใบหน้าและเก็บซ่อนพลังเอาไว้ แต่จ้าวเทียนก็มองออกว่าทั้งหมดล้วนอยู่ในขอบเขตครึ่งก้าวเซียนนภา ทำให้สีหน้าของเขาเปลี่ยนเป็นเย็นชาทันที
“ ดีมาก! ฉันอุตส่าห์ไม่ไปหาพวกคุณ แต่พวกคุณกลับเสนอหน้ามาหาที่ตายด้วยตัวเองงั้นเหรอ ”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: จุติใหม่มหาเทพตี้เทียน
ดีๆๆเดินเรื่องดี...
ต่อๆไป...
ขอบคุณทีมงานที่นำเรื่องดีๆมาลงให้อ่าน...