จุติใหม่มหาเทพตี้เทียน นิยาย บท 330

สำนักงานขนส่งสืออี้ มณฑลเหอเป่ย

ภายในตัวตึกแห่งหนึ่งที่สร้างขึ้นอย่างโอ่อ่ากว้างขวาง บนเนื้อที่ประมาณสามร้อยตารางเมตร เป็นตึกสูงสามชั้นที่สามารถรองรับผู้อยู่อาศัยได้หลายร้อยคน

ในอดีตสถานที่แห่งนี้ คือเครือข่ายของสำนักง้อไบ๊ในโลกภายนอก แต่เพราะการต่อสู้กับจ้าวเทียนในครั้งนั้น ทำให้ผู้อาวุโสและเหล่าศิษย์ที่ประจำการอยู่ทุกคนถูกสังหารจนหมด

สถานที่แห่งนี้จึงกลายเป็นอาคารร้างปราศจากเจ้าของมาเกือบสองเดือน จนกระทั่งเมื่อสองวันก่อนได้มีกองกำลังลึกลับเข้ามายึดครอง และสังหารทุกคนที่ล่วงล้ำเข้ามาโดยไม่สนใจเบื้องหลังหรือเหตุผลใดๆทั้งสิ้น

“ ใกล้ถึงเวลาแล้ว…เรียกทุกคนมารวมตัวกันซะ จำไว้เมื่อผ่านเข้าไปในประตูมิติ พวกเราจะเปิดฉากสังหารศัตรูทันที ” ชายชุดดำสวมหน้ากากมังกรทอง สั่งการออกมาด้วยน้ำเสียงเย็นชา

เขาคือทูตมังกรทอง เป็นผู้นำสูงสุดของกองกำลังที่ลงมาปฏิบัติภารกิจในครั้งนี้ ทั้งตำแหน่งและความแข็งแกร่งของเขา เหนือกว่าทูตเทวะทั้งสี่ที่อยู่ด้านในโลกหมิงหลงเสียอีก

“ รับทราบ ”

หนึ่งในชายชุดดำแยกตัวออกไปทำตามคำสั่งอย่างรวดเร็ว ตามแผนการที่วางไว้ พวกเขาจะปล่อยให้พวกสมาพันธ์บู๊ลิ้มที่รวมตัวกันอยู่ด้านนอกเข้าไปก่อน แล้วค่อยลงมือกวาดล้างทีหลัง

“ พี่ใหญ่ เราจะเชื่อถือคนพวกนั้นได้จริงเหรอ ทำไมพวกเราไม่ลงมือเสียตอนนี้เลย สังหารทุกคนที่อยู่หน้าประตูมิติให้หมด ตามที่เคยคิดกันไว้ในตอนแรก ” ชายสวมหน้ากากกระเรียนทักท้วงขึ้นมาแบบไม่ค่อยพอใจนัก

ครั้งแรกพวกเขาตกลงกันไว้ ว่าจะยึดครองประตูมิติไว้เอง และสังหารทุกคนที่ต้องการเข้าออก เพื่อป้องกันไม่ให้พวกศัตรูใช้เป็นเส้นทางหลบหนีออกมาในโลกภายนอก

“ น้องรอง ฉันเข้าใจเหตุผลของนายดี แต่เวลานั้นถ้าพวกเราไม่ยอมรับเงื่อนไขของพวกเขา มันก็ต้องเกิดการต่อสู้ขึ้นแน่นอน ซึ่งต่อให้สุดท้ายพวกเราจะเป็นฝ่ายชนะจริงๆ มันก็คงไม่คุ้มกับชีวิตของพี่น้องหลายสิบคนที่ต้องเสียไป ”

“ ฉันไม่ต้องการให้กองกำลังของพวกเราได้รับความเสียหาย ก่อนที่จะทันได้เริ่มภารกิจหรอกนะ ” ทูตมังกรทองพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง

“ ต้องเสียพี่น้องไปหลายสิบคนงั้นเหรอ คุณประเมินฝ่ายตรงข้ามสูงเกินไปหรือเปล่า เท่าที่ฉันจำได้ พวกที่มาในวันนั้นก็มีเพียงระดับปรมาจารย์ห้าคน กับตาแก่ไร้พลังหนึ่งคนเท่านั้น ”

“ ถ้าคุณไม่ห้ามเอาไว้ แค่ฉันคนเดียวก็สังหารพวกมันได้ในพริบตาแล้ว ” ทูตกระเรียนพูดออกมาด้วยความหงุดหงิด

“ เหอะ…สังหารในพริบตางั้นเหรอ ถ้าฉันไม่ห้ามเอาไว้ คนที่จะถูกสังหารในพริบตาน่ะคือนายซะมากกว่า ยังจำตุ๊กตาหมีสีน้ำตาลที่ชายหนุ่มคนหนึ่งอุ้มมาด้วยได้ไหม ”

“ แค่เพียงฉันเห็นมันครั้งแรก ก็สัมผัสได้ถึงจิตสังหารอันน่าสะพรึงกลัวทันที มันกำหนดเป้าหมายมาที่ฉันเพียงผู้เดียว เหมือนเป็นคำเตือนว่าไม่ให้พวกเราทำอะไรวู่วาม ”

“ หากฉันเดาไม่ผิด ตุ๊กตาหมีตัวนั้น น่าจะมาจากโลกแห่งวิญญาณ ทั้งยังผ่านการเข่นฆ่าดูดกลืนดวงวิญญาณมานับไม่ถ้วน แค่จะต่อกรกับมันตัวเดียว อาจต้องใช้พวกเราถึงสิบคนถึงจะรั้งมันไว้ได้ แต่ถ้ามันตัดสินใจสู้ตายขึ้นมา คงมีพวกเราหลายคนถูกลากลงนรกไปด้วย ”

คำพูดของทูตมังกร ทำให้คนอื่นๆที่ได้ยินต้องสยิวกายด้วยความหนาวเหน็บ พวกเขาทุกคนเข้าใจความน่ากลัวของเผ่าพันธุ์วิญญาณดี

เปลวเพลิงสีฟ้า ที่สามารถเผาผลาญดวงวิญญาณของสิ่งมีชีวิตทั้งมวลให้มอดไหม้เป็นจุล หาใช่สิ่งที่จะต่อกรได้โดยง่าย

“ ยังไม่หมดเพียงแค่นี้ ในบรรดาพวกที่มาวันนั้น ตาแก่ไร้พลังที่นายดูถูกนั่นต่างหากที่น่ากลัวที่สุด พวกนายยังจำเรื่องที่ท่านอาจารย์เล่าให้ฟังได้ไหม ”

“ เมื่อหนึ่งหมื่นปีก่อน สำนักของพวกเรารับบัญชาสวรรค์ ให้ลงมากวาดล้างนิกายจูเซียนบนโลกมนุษย์ ในครั้งนั้นมีผู้อาวุโสขอบเขตเทพโลกาขั้นเก้าของพวกเรา ตั้งใจใช้สมบัติศักดิ์สิทธิ์ขั้นสุดยอด ทำลายโลกมนุษย์ในครั้งเดียวเพื่อจบปัญหา ”

“ แต่สุดท้าย ทั้งผู้อาวุโสท่านนั้นและสมบัติของเขา กลับเป็นฝ่ายที่ถูกทำลายไปเสียเอง ด้วยฝีมือของชายชราคนหนึ่ง ”

“ ภายหลังเมื่อสำนักของพวกเราได้ส่งคนมาสืบสวนดู ก็ได้พบว่า โลกมนุษย์แห่งนี้มีสิ่งมีชีวิตยุคบรรพกาลปกป้องคุ้มครองอยู่ ซึ่งมันจะปรากฏตัวออกมาก็ต่อเมื่อ เกิดเหตุวิกฤตร้ายแรงที่เกี่ยวพันถึงชะตากรรมของโลกเท่านั้น ”

“ นี่เป็นเหตุผลที่สำนักของพวกเรา ส่งคนลงมากวาดล้างนิกายจูเซียนอย่างเดียว และไม่กล้าทำอะไรรุนแรงกับโลกมนุษย์อีก ”

“ จริงอยู่ที่ชายชราคนนั้น จะไม่ยุ่งเกี่ยวกับการต่อสู้ช่วงชิงทางโลก แต่ถ้านายเปิดฉากโจมตีเขาก่อน มันก็เป็นอีกเรื่องแล้ว ขอแค่อีกฝ่ายสวนกลับมาทีเดียว พวกเราหลายสิบคนที่อยู่ตรงนั้นคงกลายเป็นฝุ่นแน่ ”

ฟังมาถึงตรงนี้ ใบหน้าใต้หน้ากากของทูตกระเรียนก็ซีดขาวเป็นไก่ต้มไปทันที เพราะเขาเกือบจะนำพาความหายนะมาให้พรรคพวกโดยไม่รู้ตัวแม้แต่น้อย

‘ บัดซบ เสร็จภารกิจเมื่อไหร่ ฉันจะรีบกลับแดนสวรรค์ทันที โลกใบนี้มันน่าหวาดกลัวเกินไปแล้ว ’

ทันใดนั้นเอง

บูมมม!

เกิดความปั่นป่วนวุ่นวายของพลังฟ้าดินขึ้น จากนั้นคลื่นพลังงานมหาศาลระเบิดออกมาจากทิศทางหนึ่ง และกวาดออกไปโดยรอบในรัศมีหนึ่งร้อยกิโลเมตร ทำให้ผู้ฝึกตนทุกคนสัมผัสได้อย่างชัดเจน

ประตูมิติที่เชื่อมต่อกับโลกหมิงหลง ได้เปิดออกแล้ว…

“ ทุกคนตามฉันมา ” ทูตมังกรทองพูดออกมาเสียงดัง จากนั้น ร่างของยอดฝีมือขอบเขตปราณทิพย์หนึ่งร้อยคน ก็ได้หายไปจากสำนักงานแห่งนั้นอย่างรวดเร็ว

ในเวลาเดียวกัน ที่ฐานบัญชาการทหารหน่วยเซียนเทียน

“ นี่มันเข้าใจง่ายมาก เพราะกองทัพของพวกเรายึดสถานที่แห่งนี้เอาไว้หมดแล้ว หากพวกมันเลือกที่จะบุกเข้ามาช่วยคนพวกนี้ ก็เท่ากับหลงเข้ามาในกับดักที่พวกเราวางไว้ยังไงล่ะ ”

ทูตเต่าดำพูดขึ้นด้วยความมั่นใจ เพราะเขาเป็นคนวางแผนการทั้งหมดเอง แม้จะผิดหวังอยู่บ้างที่เหยื่อล่อใช้ไม่ได้ผล แต่มันก็ไม่มีผลกระทบอะไรมากนัก

จนกระทั่งสิบนาทีผ่านไป การต่อสู้ทั้งหมดก็เป็นอันยุติ ท่ามกลางซากศพนับพันและทะเลเลือด กองกำลังหนึ่งร้อยคนก็พุ่งตรงมายังทัพใหญ่ของสามแคว้น

“ คารวะ ศิษย์พี่ใหญ่ ”

ทูตเทวะทั้งสามรีบทำความเคารพทันที ชายสวมหน้ากากมังกรทองตรงหน้าพวกเขา เป็นถึงหลานชายของเจ้าสำนักและเป็นหนึ่งในสามผู้มีสิทธิ์สืบทอดตำแหน่ง

“ หืม…ทำไมเหลือแค่พวกนาย แล้วหลงไห่ไปไหน ” ทูตมังกรทองถามขึ้นด้วยน้ำเสียงเย็นชา เพราะคนที่หายไปเป็นญาติผู้น้องของเขาเอง

เมื่อได้ยินคำถามนี้ทูตเทวะทั้งสามก็ก้มหน้าลงด้วยความหวาดกลัวทันที ก่อนที่จะเป็นทูตเต่าดำกลั้นใจตอบขึ้นด้วยน้ำเสียงสั่นเทา

“ หลงไห่ ลอบเข้าไปที่เมืองหลวงแคว้นต้าฉินตั้งแต่เมื่อยี่สิบวันก่อนแล้วก็ขาดการติดต่อไป จากรายงานสายลับของพวกเรา ดูเหมือนเขาจะถูกฮ่องเต้แคว้นต้าฉินจับตัวเอาไว้ ”

“ บัดซบ! น้องของฉันหายไปยี่สิบวัน แต่พวกแกกลับไม่ไปช่วยเหลือเขากลับมางั้นเหรอ ” ทูตมังกรทองตวาดออกมาเสียงดัง พร้อมทั้งฟาดฝ่ามือออกไปด้วยความโกรธ

เปรี้ยง! ตูมมมม!

ทูตเทวะทั้งสามถูกซัดกระเด็นไปเกือบสิบเมตรทันที นี่ถือว่าเป็นการลงโทษสถานเบาเท่านั้น เพราะแค่ได้รับความเจ็บปวดแค่ภายนอกไม่กระทบกับเส้นชีพจร

“ เห็นแก่ที่พวกแกทนลำบากอยู่ที่นี่มาแปดปี ฉันจึงยั้งมือเอาไว้ แต่หากเกิดอะไรขึ้นกับน้องชายของฉันจริงๆ พวกแกก็เตรียมตัวเอาไว้ได้เลย ”

พูดจบทูตมังกรทองก็ไม่สนใจทั้งสามคนอีก แล้วหันไปสั่งการพวกที่เหลือให้เริ่มดำเนินการตามแผนที่วางไว้

บนยอดเขาที่อยู่ห่างออกไปประมาณยี่สิบกิโลเมตร

จ้าวเทียนจับตามองภาพกองทัพนับล้านของฝ่ายศัตรูด้วยสายตาเย็นชา ตอนที่เขามาถึงการเข่นฆ่าสังหารก็จบลงแล้ว

ตอนแรกจ้าวเทียนรู้สึกกังวลมาก ว่าซากศพที่นอนจมกองเลือดอยู่จะเป็นคนของตัวเอง แต่โชคดีที่ไม่ใช่ ไม่อย่างนั้นตัวเขาก็คงจะเปิดฉากสังหารเช่นกัน

“ ในที่สุด…สงครามก็เริ่มขึ้นแล้วสินะ ”

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: จุติใหม่มหาเทพตี้เทียน