เสียงตะโกนของจ้าวเทียนถูกปลดปล่อยออกมาด้วยพลังเซียนอันลึกล้ำ เกิดเป็นคลื่นพลังมหาศาลกวาดออกไป จนก้อนเมฆที่ลอยอยู่บนท้องฟ้า แตกกระจายออกไปคนละทิศคนละทาง
!!
เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นโดยไม่ทันตั้งตัวนี้ ทำให้การต่อสู้ในสนามรบต้องหยุดชะงักไปครู่หนึ่ง เพราะกองกำลังทั้งสองฝ่าย ต่างพากันเงยหน้ามองขึ้นไปบนท้องฟ้าด้วยความตื่นตระหนก
ทันใดนั้น
“ เป็นแค่ปลาที่หลุดรอดไปจากร่างแห กล้าดียังไงถึงมาท้าทายฉันแบบนี้ ”
ครืนนน!
พลังความกดดันอันหนักหน่วงของขอบเขตขุนพลเทพ ได้แผ่ออกไปรอบด้านในรัศมีหนึ่งร้อยกิโลกเมตร โดยมีตำหนักเจ้าเมืองไพลินพิสุทธิ์เป็นจุดศูนย์กลาง
กึก!ๆๆ ตุบๆๆๆ
ผู้ฝึกตนระดับต่ำหลายคน ที่อยู่ใกล้สถานที่นั้น ต่างพากันตัวสั่นทรุดลงไปกองบนพื้นอย่างไร้เรี่ยวแรง ถือเป็นโชคดีที่พวกทหารได้รับความช่วยเหลือจากลี่เหยาเหยาและโม่ปิงหยู ทำให้ยังพอต้านทานเอาไว้ได้
วูป!
หยวนเทียนหลงปรากฏตัวบนกำแพงเมืองในพริบตา เหมือนกับว่า เขาได้ยืนอยู่ตรงนี้มาตั้งแต่ต้น
“ ฉันจะขึ้นไปจัดการจ้าวเทียนเอง พวกนายที่เหลือก็คอยเฝ้าตัวประกันเอาไว้ให้ดี อย่าให้พวกศัตรูมันลักลอบเข้ามาช่วยเหลือได้ ” หยวนเทียนหลงหันไปสั่งเจ้าตำหนักอีกสองคนด้วยสีหน้าจริงจัง
การที่ฝ่ายตรงข้ามใช้แผนล่อเสือออกจากถ้ำแบบนี้ ไม่ได้อยู่นอกเหนือไปจากความคาดหมายของพวกเขาสักเท่าไหร่ และก็แน่นอนว่า ทางฝ่ายเขาเองก็ได้เตรียมการป้องกันเอาไว้เรียบร้อยแล้ว
“ ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของพวกเราเองขอรับ ” เจ้าตำหนักทั้งสองคนตอบรับคำสั่งด้วยแววตาเลื่อนลอย เหมือนถูกเคล็ดวิชาบางอย่างควบคุมจิตวิญญาณเอาไว้
เมื่อได้ยินแบบนั้น หยวนเทียนหลงก็ยิ้มขึ้นอย่างเย็นชา สายตาของเขากวาดมองไปทางกลุ่มของทูตมังกรทองที่ยังไม่ยอมเข้าร่วมสงครามอย่างประสงค์ร้าย
เพราะชีวิตและต้นกำเนิดพลังของเครื่องเซ่นสังเวยพวกนี้ต่างหากล่ะ…คือเป้าหมายสำคัญสำหรับแผนการในครั้งนี้
‘ ให้พวกแกสบายใจกันไปก่อนเถอะ ยังไงซะผู้ที่จะหัวเราะเป็นคนสุดท้ายก็ต้องเป็นฉัน ’
ฟุ่บ!
ร่างของหยวนเทียนหลงทะยานขึ้นไปบนท้องฟ้าอย่างรวดเร็ว พร้อมกับกระบี่มังกรสวรรค์เมฆาในมือ
ถึงแม้เขาจะแสดงท่าทีดูถูกจ้าวเทียนต่อหน้าลูกน้อง แต่ลึกๆภายในใจ ก็ให้การยอมรับอีกฝ่ายว่าเป็นยอดฝีมือระดับสูงสุดทัดเทียมกับตนเอง
แต่ทว่า
สิ่งที่รอหยวนเทียนหลงอยู่ก็คือ ท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยเปลวเพลิงกับรังสีกระบี่ขนาดยักษ์ที่ฟาดฟันลงมาใส่เขาอย่างไร้ปราณี
“ บัดซบ! คิดจะลอบโจมตีงั้นเหรอ ” หยวนเทียนหลงตะโกนออกมาอย่างเดือดดาล ฟันกระบี่ในมือออกไปด้วยเคล็ดวิชามังกรสวรรค์จุติ
ทำให้ภาพลวงตาของกระบี่ขนาดยักษ์สองเล่มปะทะเข้าใส่กันอย่างรุนแรง จนดูเหมือนจะสามารถแบ่งแยกท้องฟ้าออกเป็นสองส่วน
เปรี้ยงงง! ตูมมมม!
คลื่นพลังทำลายล้างระเบิดออกไปเป็นวงกว้าง ผลักให้ทั้งสองฝ่ายกระเด็นออกไปคนละทาง ซึ่งหากวัดกันที่ความรุนแรงเพียงอย่างเดียว จ้าวเทียนนั้นเป็นฝ่ายเสียเปรียบเพราะเขากระเด็นออกไปไกลกว่า
แต่มันก็ไม่แปลกที่จะเป็นแบบนั้น เพราะฝ่ายตรงข้ามเป็นถึงผู้ฝึกตนในขอบเขตขุนพลเทพขั้นกลาง เหนือกว่าจ้าวเทียนถึงสองระดับใหญ่
“ เหอะ ลอบโจมตีงั้นเหรอ การต่อสู้มันเริ่มต้นตั้งแต่ฉันประกาศท้าสู้ออกไปแล้ว ระหว่างพวกเราไม่จำเป็นต้องสิ้นเปลืองคำพูดไร้สาระอีก ” จ้าวเทียนพูดขึ้นด้วยสีหน้าเย็นชา เขาต้องการสะสางบัญชีแค้นให้เสร็จสิ้นในวันนี้
‘ ถ้าไม่ใช่เพราะเสี่ยวเหมยยอมไปขอความช่วยเหลือจากมหาเทพจูเซียน ฉันคงต้องสูญเสียเหยาเหยาไปแล้ว ’
ภาพคมกระบี่ที่แทงทะลุหญิงสาวคนรัก ยังคงฝังลึกอยู่ในใจของจ้าวเทียน ถึงแม้เธอจะถูกรักษาจนหายดีแล้วก็ตาม แต่เสี้ยววินาทีนั้นเขาได้สาบานกับตนเองไว้แล้วว่าจะต้องให้อีกฝ่ายชดใช้อย่างสาสม
“ พูดได้ดี! ในเมื่อแกอยากรีบตายนัก ฉันก็จะสงเคราะห์ให้ ” หยวนเทียนหลงได้เคลื่อนย้ายในพริบตาไปอยู่ตรงหน้าจ้าวเทียนราวกับผ่ามิติ
“ จงตายไปอย่างคับแค้นใจเสียเถอะ ”
สิ้นเสียง หยวนเทียนหลงก็ใช้เคล็ดวิชาสุดโกงของกระบี่มังกรสวรรค์เมฆาออกไป
‘ ทั้งเคล็ดวิชาระดับสูงสุดที่ไม่เคยพบเห็นมาก่อน ทั้งสมบัติล้ำค่าในตำนาน มันไม่ใช่สิ่งที่ผู้ฝึกตนบนโลกมนุษย์จะมีได้ ’
แม้แต่ต้นกำเนิดธาตุอัคคีระดับศักดิ์สิทธิ์ ยังมีมูลค่าสูงล้ำเทียบเท่ากับคลังสมบัติของสำนักระดับกลางบนแดนสวรรค์ได้เลย
ยิ่งไม่ต้องพูดถึงระดับเทวะ ที่มีอยู่ในยุคสมัยแดนสวรรค์โบราณเท่านั้น
“ ช่างมัน…แค่สังหารแกได้ ทุกสิ่งทุกอย่างของแกก็จะเป็นของฉัน ” ตอนนี้หยวนเทียนหลงไม่สนใจเรื่องแผนการอะไรอีกแล้ว มูลค่าของต้นกำเนิดธาตุอัคคีที่อยู่ร่างจ้าวเทียนมันเย้ายวนจนเกินไป
“ กายาอมตะไม่ดับสูญ! ”
บูมมม!
ภาพลวงตาของจอมราชันจักรพรรดิได้ซ้อนทับกับร่างของหยวนเทียนหลง แล้วฟาดฟันกระบี่ออกไปอย่างถี่รัวด้วยวิชามังกรสวรรค์จุติ
เปรี้ยงงง!ๆๆๆๆๆๆๆ
จ้าวเทียนก็ใช้แก่นแท้กระบี่โจมตีกลับไปเช่นกัน การปะทะของพวกเขาในครั้งนี้ รุนแรงกว่าเดิมหลายเท่า จนเรียกได้ว่าฟ้าถล่มดินทลาย
‘ รออีกสักนิดก็แล้วกัน ฉันไม่เชื่อว่าอีกฝ่ายจะไม่มีอะไรเก็บซ่อนเอาไว้ ’
ในการต่อสู้ของยอดฝีมือที่ความแข็งแกร่งทัดเทียมกัน ใครถูกบีบให้เปิดเผยไม้ตายลับออกมาก่อน ก็มักจะเป็นฝ่ายพ่ายแพ้
ดังนั้น จ้าวเทียนจึงเก็บงำเรื่องที่เขาบรรลุเคล็ดวิชากายาอมตะเอาไว้ ยกเว้นจะพบโอกาสเหมาะๆที่สามารถสังหารอีกฝ่ายได้อย่างแน่นอนเท่านั้น เขาจึงจะลงมือ
เพราะในสนามรบแห่งนี้ ยังมีศัตรูอีกฝ่ายที่กำลังจ้องหาโอกาสฉกฉวยผลประโยชน์ จากการต่อสู้ระหว่างจ้าวเทียนกับหยวนเทียนหลงอยู่
ในเวลาเดียวกัน
พวกคังหลินที่ลอบเข้ามาในเมืองได้สำเร็จ ก็ต้องเผชิญหน้ากับศัตรูมากมายที่ดักรออยู่ สามผู้นำแห่งสมาพันธ์บู๊ลิ้ม พร้อมด้วยกองกำลังทั้งหมดของ สำนักบู๊ตึ้ง สำนักง้อไบ๊ และสำนักช้วนจินก่า
“ ขนาดเห็นสิ่งที่เกิดขึ้นกับพวกหลวงจีนคิ้วขาวแล้ว พวกคุณสามคนก็ยังยอมเป็นสุนัขรับใช้ตำหนักเทวะอยู่งั้นเหรอ ” คังหลินพูดออกมาด้วยน้ำเสียงเย็นชา
ที่ตรงหน้าเขานั้น มีกรงขนาดใหญ่ที่กักขังคนกลุ่มหนึ่งเอาไว้ ซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นคนคุ้นหน้าคุ้นตาทั้งสิ้น ทั้งหมดถูกใส่ตรวนโลหะสีดำ เจาะลึกเข้าไปในกระดูกไหปลาร้าทั้งสองข้าง เพื่อปิดผนึกพลังทั้งหมดเอาไว้
“ มีแค่พวกหลวงจีนคิ้วขาวกับผู้อาวุโสสำนักอื่นอีกสิบกว่าคนเท่านั้น แล้วนี่พวกมันจับจูม่านฉีไปไว้ที่ไหนกัน ”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: จุติใหม่มหาเทพตี้เทียน
ดีๆๆเดินเรื่องดี...
ต่อๆไป...
ขอบคุณทีมงานที่นำเรื่องดีๆมาลงให้อ่าน...