เช้าวันต่อมา ณ วังหลวงแคว้นต้าหมิง
ภายในท้องพระโรงอันกว้างใหญ่ เหล่าขุนนางนับร้อยกำลังยืนก้มหน้าด้วยความสิ้นหวัง พวกเขาต้องทนรับอารมณ์อันโกรธเกรี้ยวของฮ่องเต้ โดยไม่สามารถขัดขืนหรือต่อต้านได้
เปรี้ยงง! เพล้ง!
แจกันหยกลายคราม ถูกขว้างกระแทกพื้นจนแตกกระจายเป็นชิ้นๆ
“ พวกเจ้าทำงานกันประสาอะไร สามวันแล้วยังสืบหาร่องรอยขององค์หญิงไม่พบ เสียทีที่เราหลงไว้ใจ ช่างเลี้ยงเสียข้าวสุกจริงๆ ” ฮ่องเต้แคว้นต้าหมิงตะโกนออกมาด้วยความเดือดดาล พระองค์ลุกขึ้นมาชี้หน้าด่าขุนนางทุกคนอย่างไม่ไว้หน้า
“ เรียนฝ่าบาท พวกกระหม่อมได้พยายามอย่างเต็มที่แล้ว แต่ตอนนี้เมืองไพลินพิสุทธิ์ได้กลายเป็นเขตหวงห้ามของสมาพันธ์บู๊ลิ้ม แม้แต่ประชาชนที่อยู่ในเมืองก็ถูกขับไล่ออกมาจนหมด ”
“ มันจึงเป็นเรื่องยากมาก ที่พวกเราจะส่งสายลับเข้าไปสืบหาสถานที่คุมขังขององค์หญิงจูม่านฉีด้านใน ” หัวหน้าองครักษ์กัดฟันออกมารายงานแทนขุนนางคนอื่นๆ
“ ไร้สาระ! เมืองแห่งนั้นเป็นของแคว้นเรา แบบแปลนการก่อสร้างทุกอย่าง ก็เป็นสิ่งที่เมืองหลวงจัดทำขึ้นมาทั้งนั้น ”
“ เราไม่เชื่อว่า มันจะไม่มีเส้นทางลับหรือประตูกลไกให้ลอบเข้าไปเลย ” ฮ่องเต้แคว้นต้าหมิงพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงจริงจัง
“ พระองค์ตรัสได้ถูกต้องแล้ว ทางลับนั้นมีจริงๆ แต่หลังจากที่ส่งคนเข้าไปแล้ว ก็ไม่เคยมีใครได้กลับออกมาอีกเลย ทำให้ตอนนี้ มียอดผู้สูญหายเกือบสองพันคนแล้วพะยะค่ะ ”
เมื่อได้ยินแบบนี้ ฮ่องเต้ก็ทรุดลงไปนั่งบนบัลลังก์อย่างอ่อนแรง พระองค์โบกมือห้ามเหล่าขันทีที่กำลังจะวิ่งเข้ามาดูแล แล้วพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงที่อ่อนลงกว่าเดิม
“ ส่งข่าวไปยังแคว้นต้าฉินหรือยัง เหตุผลที่องค์หญิงถูกจับตัวไป ทางนั้นเองก็มีส่วนด้วยเกินครึ่ง พวกเขาต้องรับผิดชอบในการช่วยเหลือพระธิดาของเรากลับมา ”
“ เรียนฝ่าบาท เมื่อสองวันที่ผ่านมาหลวงแคว้นต้าฉินได้ยกระดับการป้องกันบุคคลภายนอกขั้นสูงสุด ทั้งยังตัดขาดการเชื่อมต่อสื่อสารทุกเส้นทาง ทำให้ทูตของพวกเราไม่อาจเข้าไปได้เลย ” เสนาบดีฝ่ายซ้ายออกมารายงานเสียงดัง
แต่เมื่อเห็นโทสะของฮ่องเต้ที่กำลังจะปะทุขึ้นอีกครั้ง เขาก็รีบพูดขึ้นต่ออย่างร้อนรน
“ กระหม่อม ได้สั่งให้คนของเราดักรออยู่ด้านนอกเมืองแล้ว หากพบว่าฮ่องเต้แคว้นต้าฉินยกทัพออกมา จะรีบส่งข่าวออกไปทันที ”
“ เอาเถอะ ตอนนี้ก็ได้แต่ฝากความหวังไว้ที่ฮ่องเต้หนุ่มองค์นั้นแล้ว เราเชื่อในสายตาของพระธิดาของเรา ว่าคงมองคนไม่ผิด ” พูดจบฮ่องเต้แคว้นต้าหมิงก็สั่งให้ทุกคนออกไป พระองค์ต้องการครุ่นคิดเรื่องบางอย่างเพียงลำพัง
สถานการณ์ของแคว้นต้าหมิงในปัจจุบัน นับว่าตกอยู่ในช่วงเวลาวิกฤตอย่างแท้จริง นอกจากเมืองหลวงที่ยังอยู่ในการปกครองของราชวงศ์หมิง
สถานที่แห่งอื่นได้ถูกควบคุมโดยสมาพันธ์บู๊ลิ้ม และกองทัพพันธมิตรของสามแคว้นใหญ่ไปเกือบหมดสิ้น
แคว้นต้าหมิง ได้ถูกเปลี่ยนให้เป็นสนามรบของกองกำลังทั้งสองฝ่ายไปเรียบร้อยแล้ว
ในเวลาเดียวกัน บริเวณด้านหน้าประตูเมืองหลวงแคว้นต้าฉิน
ขณะที่พวกจ้าวเทียนและกองกำลังผสมเจ็ดสำนักยกขบวนกันออกมา ก็ได้พบคณะทูตแคว้นต้าหมิง ทำให้รู้ข่าวการหายตัวไปขององค์หญิงจูม่านฉีได้ทันที
“ บัดซบ แม้แต่วิธีชั้นต่ำแบบนี้ก็กล้าใช้ออกมา ไอ้หยวนเทียนหลงนี่มันสารเลวจริงๆ ” คังหลินพูดขึ้นเสียงดังด้วยความโกรธ
“ แต่มันก็ใช้ได้ผลไม่ใช่เหรอ ดูเหมือนอีกฝ่ายจะตรวจสอบข้อมูลของพวกเรามาอย่างละเอียด ถึงได้เลือกใช้แผนการแบบนี้มาจัดการกับคุณ ” จ้าวเทียนพูดขึ้นด้วยสีหน้าจริงจัง
เรื่องที่คังหลินต่อสู้กับองค์ชายใหญ่ เพราะเรื่องขององค์หญิงแคว้นต้าหมิงไม่ใช่ความลับอะไร ขอเพียงส่งคนไปตรวจสอบดูสักหน่อยก็จะทราบได้อย่างชัดเจน
ต่อให้คังหลินจะไม่ได้รู้สึกอะไรกับจูม่านฉีเลย แต่ถ้าเธอต้องถูกจับตัวไปเพราะเขาเป็นต้นเหตุ ด้วยนิสัยของเขาแล้ว ไม่มีทางอยู่เฉยแน่นอน
“ คิดเอาไว้แล้ว ว่าทำไมเมื่อสองวันก่อน อีกฝ่ายถึงถอนกองกำลังที่ปิดล้อมเมืองหลวงกลับไป ที่แท้ก็เปลี่ยนเป้าหมายมาที่ฉันนี่เอง ”
“ ถ้าให้ฉันเดา ตอนนี้จูม่านฉีคงถูกกังขังเอาไว้ที่เดียวกับพวกหลวงจีนคิ้วขาวและตัวประกันคนอื่นๆ หยวนเทียนหลงวางกับดักล่อให้พวกเราเข้าไป เพื่อจัดการในคราวเดียว”
“ อาจิ้ง หวังซินหยางติดต่อมาว่ายังไงบ้าง ” จ้าวเทียนถามขึ้นด้วยสีหน้าจริงจัง
“ ไม่มีปัญหาครับบอส ก่อนหน้านี้หนึ่งชั่วโมง หวังซินหยางได้ส่งอุปกรณ์ทั้งหมดพร้อมกับเฮลิคอปเตอร์สิบลำ ไปลงจอดตรงพื้นที่รอบๆเมืองไพลินพิสุทธิ์เรียบร้อยแล้ว ”
“ ขอเพียงพวกเราส่งสัญญาณไป หน่วยรบทั้งสิบของพวกเรา จะเปิดใช้งานอุปกรณ์พวกนั้นทันที ” เฉินจิ้งพูดออกมาด้วยรอยยิ้มมั่นใจ
“ ดีมาก จุดอ่อนร้ายแรงของหยวนเทียนหลง ก็คือเขานอนหลับมานานเกินไป จนไม่ได้รู้เลยว่า เทคโนโลยีของโลกภายนอกได้ก้าวหน้าไปถึงไหนต่อไหนแล้ว ” จ้าวเทียนพูดขึ้นด้วยท่าทีผ่อนคลาย
“ ตามข้อตกลง ฝ่ายฉันจะดึงดูดความสนใจของศัตรูเอาไว้ ส่วนพวกนายก็ลอบเข้าไปช่วยตัวประกันใช่ไหม เอาล่ะ ตอนนี้ถึงเวลาแล้ว รีบเข้าไปสักทีสิ”
“ เหอะ! นายเรียกการส่งทหารไปตายอย่างไร้ประโยชน์นี่ว่าเป็นการดึงดูดความสนใจเหรอ ” คังหลินรู้สึกโกรธมาก ที่อีกฝ่ายมองเห็นชีวิตคนเป็นของเล่นแบบนี้
“ มันก็ช่วยไม่ได้นี่ พวกฉันต้องออมแรงเอาไว้ จนกว่ากองกำลังหลักของตำหนักเทวะจะปรากฏตัว แล้วก็อีกอย่าง ในเมื่อนายเป็นคนเสนอเงื่อนไขออกมาเอง ว่าไม่ให้สังหารคนของวัดเส้าหลินและพรรคกระยาจก ”
“ ดังนั้น ไม่ต้องให้พวกฉันลงมือน่ะ ดีแล้ว คนฝ่ายของฉันออมมือไม่ค่อยจะเป็นหรอกนะ ถ้าไม่พอใจก็ส่งคนออกไปช่วยพวกเขาสิ ” ทูตกระเรียนพูดออกมาด้วยน้ำเสียงเย้ยหยัน
เขาไม่ใส่ใจชีวิตของชาวพื้นเมืองพวกนี้อยู่แล้ว เรื่องอะไรจะต้องไปเพิ่มความยุ่งยากให้ตัวเองด้วย
‘ ยังไงซะ สุดท้ายก็ต้องสู้กันเองอยู่ดี ให้พวกแกไปสิ้นเปลืองพลังกันเองก็แล้วกัน ’
จ้าวเทียนที่เห็นแบบนั้นก็ถอนใจออกมา เขานึกแล้วว่าพวกที่มาจากสำนักจตุเทวะไม่มีคนดีสักคน หากเผลอเมื่อไหร่อีกฝ่ายก็พร้อมจะแทงข้างหลังทันที
“ เหยาเหยา ปิงหยู คงต้องให้เธอสองคนจัดการแล้ว ช่วยสนับสนุนทหารพวกนั้นที พยายามยื้อการต่อสู้เอาไว้ให้ได้นานที่สุด ”
“ ตกลง นายเองก็ระวังตัวด้วยนะ ” ลี่เหยาเหยาพูดขึ้นด้วยความเป็นห่วง เธอรู้ดีว่าอีกเดี๋ยวจ้าวเทียนจะต้องไปท้าสู้กับผู้นำของฝ่ายตรงข้าม
“ ไม่ต้องเป็นห่วง ฉันไม่มีทางปล่อยให้เกิดเหตุการณ์แบบนั้นซ้ำสองแน่ ” จ้าวเทียนพูดขึ้นด้วยสีหน้าจริงจัง เขาส่งสัญญาณให้เฉินจิ้งกับเจนนี่ตามไปคุ้มครองพวกเธอด้วย
หลังจากที่พวกลี่เหยาเหยาเข้าร่วมการต่อสู้แล้ว คังหลินก็หันไปพูดกับจ้าวเทียน
“ เรื่องช่วยคนปล่อยให้เป็นหน้าที่ของพวกฉันเอง ไปจัดการธุระของนายเถอะ ถ้ามีโอกาสก็สังหารมันไปเลยก็ได้ จะได้เก็บอาวุธลับของเราไว้ใช้กับศัตรูพวกอื่น ”
ขณะพูด คังหลินก็เจตนามองไปทางพวกทูตมังกรทองเล็กน้อย ทำให้จ้าวเทียนพยักหน้าออกมา
วูป!
ร่างของจ้าวเทียนเคลื่อนย้ายเหมือนผ่ามิติ มาปรากฏตัวที่ความสูงเกือบหมื่นเมตรเหนือเมืองไพลินพิสุทธิ์
“ หยวนเทียนหลง ถึงเวลาตัดสินของพวกเราแล้ว ไสหัวออกมาซะ! ”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: จุติใหม่มหาเทพตี้เทียน
ดีๆๆเดินเรื่องดี...
ต่อๆไป...
ขอบคุณทีมงานที่นำเรื่องดีๆมาลงให้อ่าน...