จุติใหม่มหาเทพตี้เทียน นิยาย บท 371

ย้อนกลับไปเมื่อครึ่งวันก่อน ณ สุสานแห่งดวงดาวทิศบูรพา

สถานที่แห่งนี้อยู่ตรงชายขอบของจักรวาล ซึ่งเต็มไปด้วยเศษซากดวงดาวที่ตายแล้ว ในอดีตมันเคยเป็นสนามรบของเทพมารยุคบรรพกาล ในมหาสงครามเมื่อหนึ่งล้านปีก่อน

การต่อสู้ในครั้งนั้นรุนแรงเป็นอย่างมาก อารยธรรมมากมายถูกลบหายไป ดาราจักรนับร้อยดับสูญ มิติเวลาพังทลายจนถึงขนาดที่ผ่านเวลามาเนิ่นนาน ก็ยังไม่อาจฟื้นฟูกลับมาเป็นอย่างเดิม

ในยุคปัจจุบัน สุสานแห่งดาวได้ถูกใช้เป็นสถานที่ต่อสู้เพื่อขจัดความขัดแย้งของตัวตนระดับสูงในเอกภพ เพราะสามารถต่อสู้ได้เต็มที่โดยไม่ต้องกลัวผลกระทบที่จะเกิดขึ้น เนื่องจากทุกสิ่งทุกอย่างได้ถูกทำลายไปจนหมดแล้ว

“ ศิษย์พี่ใหญ่ คุณกลับไปเถอะ ครั้งนี้เป็นการตัดสินใจโดยพละการของฉันเอง โดยไม่ได้ผ่านการเห็นชอบจากท่านอาจารย์ มันจะทำให้คุณพลอยถูกลงโทษไปด้วยนะ ” คังหลินพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงจริงจัง เขาพยายามห้ามอีกฝ่ายหลายครั้งแล้ว แต่ก็ไร้ผล

“ ไม่ต้องพูดแล้ว คิดหรือว่าฉันจะปล่อยให้นายทำอะไรเสี่ยงๆตามลำพัง ” หลิวจงเสียนตอบออกมาด้วยท่าทีเฉยชา เขาสวมชุดเกราะสงครามสีดำดูน่าเกรงขาม เป็นสมบัติศักดิ์สิทธิ์ระดับสูงของสำนัก ซึ่งสืบทอดมานานหลายแสนปี ตั้งแต่ครั้งที่สำนักดาราสวรรค์ยังครองความยิ่งใหญ่

คังหลินที่ได้ยินแบบนั้นก็ได้แต่ถอนหายใจออกมา เป็นความผิดของเขาเองที่เล่าเรื่องทุกอย่างในโลกหมิงหลงให้หลิวจงเสียนฟัง

ทำให้อีกฝ่ายรู้สึกโกรธมาก กับการกระทำอันไร้ยางอายของสำนักจตุเทวะ และต้องการเข้าร่วมการต่อสู้ในครั้งนี้ด้วย

ตอนนี้ ร่างที่แท้จริงของหลินซินเยว่กำลังหลับใหลอยู่ในเขตหวงห้ามของสำนัก ส่วนจิตวิญญาณของเธออยู่บนโลกมนุษย์ ทำให้ทั้งสองคนสามารถหลบหนีออกมาได้อย่างราบรื่น

อันที่จริงพวกเขาก็ถูกผู้อาวุโสในสำนักพบตัวอยู่เหมือนกัน แต่เนื่องจากตำแหน่งตัวแทนเจ้าสำนักของหลิวจงเสียน จึงไม่มีใครกล้าทักท้วงอะไร

!!

“ มาแล้วงั้นรึ ”

สายตาของพวกเขาทั้งสองคนกวาดมองไปยังทิศทางหนึ่งพร้อมกัน

ครืนนน เพล้ง!

กำแพงมิติด้านหน้าพวกคังหลิน ถูกฉีกกระชากออกกลายเป็นช่องว่างสีดำขนาดใหญ่ จากนั้นชายวัยกลางคนในชุดคลุมสีทองก็ได้ก้าวออกมาช้าๆ พร้อมด้วยผู้ติดตามอีกเป็นจำนวนมาก

‘ ยี่สิบเจ็ดคน แถมยังเป็นเทพโลกาทั้งสิ้น ดูเหมือนพวกมันจะตีค่าฉันเอาไว้สูงมากเลยนะ ’

คังหลินจ้องมองศัตรูด้วยแววตาเย็นชา ฝ่ายตรงข้ามนั้นมีเทพโลกาขั้นแปดถึงสองคน ส่วนที่เหลือก็เป็นเทพโลกาตั้งแต่ขั้นสองถึงขั้นหก ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าคงยกกันมาทั้งสำนักแน่นอน

“ เหอะ…แค่เทพโลกาขั้นหกสองคนก็กล้ามาท้าทายสำนักจตุเทวะของฉันงั้นรึ ” ซือคงหยวนแค่นเสียงออกมาอย่างดูถูก ทีแรกเขาคิดว่าอีกฝ่ายจะขนกันมามากกว่านี้

“ แค่ฉันกับศิษย์พี่ก็พอแล้ว…เพราะเดิมทีเรื่องนี้มันก็เป็นปัญหาส่วนตัวระหว่างคุณกับฉัน ไม่นึกเลยว่าเทพโลกาขั้นแปดอย่างคุณจะหวาดกลัว ถึงขนาดระดมคนมามากมายขนาดนี้ ทำไมล่ะ ไม่มั่นใจว่าจะเอาชนะเทพโลกาขั้นหกได้งั้นเหรอ ” คังหลินพูดย้อนกลับไปอย่างเจ็บแสบ ทำให้อีกฝ่ายเลือดขึ้นหน้าด้วยความโกรธ

“ ไร้สาระ! เป็นแค่รุ่นเยาว์ไม่รู้ความ กล้ามาปากดีต่อหน้าผู้อาวุโสได้อย่างไร ” ผู้อาวุโสจางพูดขัดขึ้นมาทันที พร้อมกับสะบัดฝ่ามือออกไป

“ หัตถ์เมฆาสวรรค์! ”

เพล้ง!

กำแพงมิติด้านหน้าคังหลินพังทลาย ภาพลวงตาของฝ่ามือขนาดยักษ์ระเบิดเข้าใส่เขาจากระยะประชิด โดยไม่เปิดโอกาสให้ตั้งตัวได้ทัน

“ ไร้ยางอาย! ”

หลิวจงเสียนตวาดออกมาเสียงดัง พร้อมกับปรากฏตัวขวางการโจมตีเอาไว้ แล้วปล่อยหมัดตรงสวนกลับไปเต็มแรง นี่คือแก่นแท้แห่งหมัดขั้นสูง ที่หลอมรวมสรรพวิชาของสำนักดาราสวรรค์เอาไว้

เปรี้ยงงง! ตูมมม!

เสียงระเบิดดังสนั่นหวั่นไหว คลื่นพลังทำลายล้างจากการปะทะกันของทั้งสองกวาดออกไปทั่ว ภาพลวงตาของฝ่ามือขนาดยักษ์ถูกทำลายในทันที

แม้ทั้งสองฝ่ายจะมีขั้นพลังต่างกันถึงสองขอบเขต แต่ผู้อาวุโสจางเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านค่ายกล แตกต่างกับหลิวจงเสียนที่เป็นสายต่อสู้ขนาดแท้ ความแข็งแกร่งที่แท้จริงของเขาจึงสูงกว่าอีกฝ่ายมาก

อีกทั้งตัวของหลิวจงเสียนยังได้หลอมรวมกับแก่นแท้เลือดมังกร ที่ท่านอาจารย์มอบให้ถึงหนึ่งร้อยหยด ทำให้ต้นกำเนิดพลังโลกภายในของเขาในตอนนี้ เหนือไปกว่าอดีตนับสิบเท่า ต่อให้ฝ่ายตรงข้ามมีคนมากกว่านี้ก็ไม่กลัว

บูมมมม!

เงาหมัดของหลิวจงเสียนได้ดูดกลืนคลื่นพลังที่หลงเหลือจากการปะทะ แล้วขยายขนาดขึ้นจนเทียบเท่ากับดาวเคราะห์ ปล่อยความกดดันมหาศาลถาโถมเข้าใส่กลุ่มคนตรงหน้าทั้งหมด เหมือนต้องการบดขยี้พวกเขาให้เป็นจุล

เนื่องจากยังไม่มีฝ่ายไหนใช้ร่างทิพย์ออกมา ทำให้สภาพของพวกสำนักจตุเทวะในตอนนี้เหมือนกับกลุ่มมด ที่กำลังจะถูกอุกกาบาตขนาดยักษ์พุ่งชนไม่มีผิด

“ ไร้สาระ! ”

ฉัวะ! บูมมมมมม!

ซือคงหยวนชักกระบี่ฟันออกไปด้วยสีหน้าเย็นชา นี่คือแก่นแท้แห่งกระบี่ขั้นสูงที่ถูกใช้โดยเทพโลกาขั้นแปด

ภาพลวงตาของกระบี่สีขาวได้ตัดเงาหมัดขนาดยักษ์ออกเป็นสองส่วน เกลียวคลื่นพลังที่กวาดออกไป ยังสลายผลกระทบจากการโจมตีออกไปจนหมดสิ้น

แต่ทว่า

สิ่งที่ถูกทำลายไปเป็นเพียงเปลือกนอกเท่านั้น ส่วนการโจมตีที่แท้จริงนั้นเป็นอณูแสงขนาดเล็กสีทองจำนวนนับไม่ถ้วนที่ก่อตัวเป็นรูปหมัด

เปรี้ยงงงง!

มันได้กระแทกเข้าใส่คมกระบี่ของซือคงหยวนเต็มแรง ทำให้แขนของเขาสะบัดกลับไปด้านหลังอย่างไม่อาจควบคุมได้ ท่ามกลางสายตาตกตะลึงของทุกคนที่ได้เห็น

‘ หืม นี่มัน…. ’

แววตาของซือคงหยวนสั่นไหวเล็กน้อย เขารู้สึกถึงความเจ็บปวดตรงง่ามมือได้อย่างชัดเจน แม้จะไม่เกิดบาดแผลฉีกขาดขึ้น แต่มันก็สร้างความตกตะลึงให้เขาเป็นอย่างมาก

ตัวตนระดับสูงเช่นซือคงหยวน แค่ลงมือหยั่งเชิงกันครั้งเดียว ก็สามารถคาดเดาถึงความแข็งแกร่งของฝ่ายตรงข้ามได้ ทำให้สัมผัสได้ว่าพลังของอีกฝ่ายนั้นทัดเทียมกับตน

‘ ไหนผู้อาวุโสจางบอกว่า อีกฝ่ายเป็นเพียงสำนักที่กำลังตกต่ำไม่ใช่หรือ แล้วทำไมถึงบ่มเพาะสุดยอดอัจฉริยะรุ่นเยาว์แบบนี้ออกมาได้ ’

‘ แม้แต่ลูกศิษย์ยังแข็งแกร่งขนาดนี้ แล้วถ้าอาจารย์ของพวกมันลงมือเองล่ะ พวกเราไม่จบสิ้นกันหมดหรอกเหรอ ฉันไม่น่าหลงเชื่อคำยั่วยุจากคนอื่นเลย ’

แต่ในขณะที่ซือคงหยวนยังกำลังนึกหาวิธีแก้ปัญหาแบบอื่นอยู่ ผู้อาวุโสจางที่อับอายเพราะการเสียหน้าก็ได้ทำเรื่องที่โง่เขลาออกไป

“ จะรอให้มันโจมตีเข้ามาอีกหรือยังไง รีบสังหารพวกมันซะ ”

ประโยคนี้ของผู้อาวุโสจาง ได้ปลุกสติฝ่ายของตนที่ยังไม่หายตกใจให้ตื่นขึ้นมารับความจริงอีกครั้ง

“ จริงด้วย ต้องรีบสังหารมันซะ ”

“ พวกเรามีเยอะกว่า อย่าไปกลัว! ”

“ เราจะต้องแก้แค้นให้ศิษย์ในสำนักที่ตายไป ”

เสียงตะโกนปลุกใจดังขึ้นอย่างต่อเนื่อง พวกเขารู้ดีว่าหลิวจงเสียนแข็งแกร่งมาก แต่ถ้าต้องรับการโจมตีของพวกตนทั้งหมด รวมไปถึงเจ้าสำนักและผู้อาวุโสจางซึ่งเป็นเทพโลกาขั้นแปดพร้อมกัน อีกฝ่ายไม่มีทางต้านทานได้แน่นอน

วูป! ครืนนน!ๆๆๆๆๆๆ

เทพโลกกาทั้งยี่สิบหกคนได้ปลดปล่อยร่างทิพย์ออกมาพร้อมกัน เงาร่างขนาดมหึมาที่ใหญ่โตกว่าดวงอาทิตย์ปรากฏขึ้นอย่างต่อเนื่อง ปิดล้อมพวกหลิวจงเสียนเอาได้ตรงกลาง แล้วระดมการโจมตีเข้าใส่ทันที

เปรี้ยงง! ฉัวะ! ตูมมมมม!ๆๆๆๆ

ผู้ที่มาใหม่นั้น มีตั้งแต่เทพโลกาขั้นสี่ไปจนถึงขั้นที่แปด ซึ่งเป็นตัวแทนของสำนักต่างๆบนแดนสวรรค์ บางคนยังแข็งแกร่งยิ่งกว่าซือคงหยวนเสียอีก

“ เมื่อกี้มันเกิดอะไรขึ้น ”

หนึ่งในเทพโลกาขั้นแปดที่ทรงพลังที่สุดถามขึ้นด้วยสีหน้าจริงจัง สายตาเขากวาดมองไปทางพวกคังหลินก่อนเป็นอันดับแรก เหมือนรู้ว่าเป็นฝีมือของอีกฝ่าย

“ เอ่อ… ” คังหลินหน้าซีดลงทันที เพราะรู้ตัวว่าตนเองได้ก่อเรื่องใหญ่เข้าให้แล้ว

ครั้งนี้เขาแผ่นหยกดาราสวรรค์ ซึ่งเป็นสมบัติลับต้องห้ามของสำนักออกมาด้วย หากปล่อยให้ถูกแย่งชิงไป ต่อให้ยอมตายเพื่อชดใช้ความผิดก็คงไม่พอ

ดังนั้น เขาจึงฉวยโอกาสที่ฝ่ายตรงข้ามยังไม่ทราบสถานการณ์ เรียกแผ่นหยกสีดำทั้งหกแผ่นกลับมาอย่างแนบเนียน

วิ้งงง!

แหวนมิติของคังหลินเปล่งแสงสว่างจางๆ เป็นการบ่งบอกว่าเขาทำสำเร็จเรียบร้อยแล้ว

“ เรื่องนี้เป็นความขัดแย้งระหว่างสำนักดาราสวรรค์กับสำนักจตุเทวะ ต้องขออภัยด้วยถ้าทำให้พวกคุณได้รับผลกระทบ ” หลิวจงเสียนที่เงียบมาตลอดเป็นฝ่ายพูดขึ้นก่อน เขาก้าวออกมาข้างหน้าบดบังคังหลินเอาไว้ด้านหลัง

ซึ่งคำตอบของหลิวจงเสียน ก็ไม่ได้สร้างความพอใจให้พวกที่มาใหม่แม้แต่น้อย เพราะสิ่งที่พวกเขาต้องการรู้จริงๆ ก็คือสิ่งที่มันทำลายสุสานดวงดาวไปกว่าครึ่งคืออะไรมากกว่า

“ จับตัวพวกเขาไว้ก่อนก็แล้วกัน หลังจากนั้นก็ค่อยสอบสวนไปทีละคน ” มีคนเสนอความคิดขึ้น ซึ่งก็ได้รับความเห็นชอบจากทุกฝ่ายทันที

แต่ทว่า

แวบ!

ร่างของพวกคังหลินก็ได้หายไปจากตรงนั้นแล้ว เพราะช่วงเวลาที่หลิวจงเสียนดึงดูดความสนใจให้ คังหลินก็ได้เปิดใช้สมบัติศักดิ์สิทธิ์เคลื่อนย้ายกลับไปสำนักทันที

“ บัดซบ! พวกมันหลบหนีจากเขตแดนปิดกั้นของฉันได้ยังไง ” เทพโลกาขั้นแปดคนหนึ่งตะโกนออกมาด้วยความโกรธ

“ พวกเราประมาทเกินไป ยังไงซะอีกฝ่ายก็มาจากสำนักดาราสวรรค์ ย่อมเชี่ยวชาญเรื่องพวกนี้อยู่แล้ว ช่างเถอะ ที่ตรงนี้ยังเหลืออีกคน รีบจับตัวไว้ก่อนก็แล้วกัน” เทพโลกาขั้นแปดอีกคนพูดขึ้น พร้อมกับผนึกร่างของซือคงหยวนเอาไว้ทันที

อย่างน้อย พวกเขาก็น่าจะได้ข้อมูลอะไรจากอีกฝ่ายบ้าง…

เวลาปัจจุบัน มิติลับในคฤหาสน์ดาราสวรรค์

หลังจากกลับออกมาจากโลกหมิงหลง หลินซินเยว่ก็เรียกตัวจ้าวเทียนมาพบอย่างเร่งด่วน ซึ่งเขาเองก็รีบแยกตัวจากคนอื่นแล้วล่วงหน้ากลับมาก่อน เพราะรู้ว่ามันคงเป็นเรื่องสำคัญ ถึงทำให้ท่านอาจารย์ร้อนใจขนาดนี้

และเมื่อได้รู้เรื่องราวทั้งหมดแล้ว มันก็ได้ทำให้จ้าวเทียนหน้าเปลี่ยนสีทันที พร้อมกับถามขึ้นด้วยความกังวล

“ ซือคงหยวน คงไม่ได้บอกเรื่องที่เกิดขึ้นในโลกหมิงหลงออกไปใช่ไหม ”

“ บอกซิ…และไม่ใช่แค่เรื่องสมบัติลับนิกายจูเซียนอย่างเดียว ยังรวมไปถึงเบาะแสสิ่งสืบทอดของมหาเทพผู้สร้างผานกู่อีกด้วย ” หลินซินเยว่พูดขึ้นด้วยสีหน้าเคร่งเครียด เวลานี้แผนการที่เธอวางเอาไว้ได้ถูกลูกศิษย์ตัวดีทำให้วุ่นวายไปหมด แถมอีกฝ่ายยังพยายามหลบหน้าเธออีกต่างหาก

“ นี่มัน…หรือว่าตอนนี้อีกฝ่ายจะเริ่มลงมือแล้ว ” สิ่งที่จ้าวเทียนกังวลที่สุดก็คือการแทรกแซงจากสำนักอื่นๆบนแดนสวรรค์

“ เท่าที่อาจารย์สัมผัสได้ตอนนี้ มีผู้จุติลงมาบนโลกมนุษย์แล้วเจ็ดคน ซึ่งน่าจะเป็นตัวแทนของสำนักระดับสูงที่ทราบข่าวก่อน แต่คงอีกไม่นานก่อนที่เรื่องนี้จะกระจายออกไปเป็นวงกว้าง ”

“ และเมื่อไหร่ที่สำนักชั้นยอดอีกหกสำนักเคลื่อนไหว เวลานั้น… ” พูดมาถึงตรงนี้หลินซินเยว่ก็เงียบไปทันที เพราะทั้งเธอและจ้าวเทียนต่างก็รู้ดี ว่าสถานการณ์ในตอนนี้เลวร้ายลงเพียงใด

“ เห็นที ฉันคงต้องเชิญผู้อาวุโสอ๋าวเฟิงและเทพมังกรคนอื่นๆ มาดื่มชาพร้อมกันซักครั้งแล้วสินะ ”

จบภาค2..

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: จุติใหม่มหาเทพตี้เทียน