จุติใหม่มหาเทพตี้เทียน นิยาย บท 372

ภายในบ้านไม้หลังเล็กๆ ที่ถูกสร้างขึ้นตามรูปแบบในสมัยราชวงศ์ถัง ชายคนหนึ่งกำลังนั่งมองธงชาติสีแดงที่มีดาวห้าดวงปักอยู่ด้วยสีหน้าครุ่นคิด

เป็นเวลาเกือบสามวันแล้ว ที่ต้วนมู่เฉียนไม่ได้ขยับออกไปจากตรงนี้แม้เพียงสักก้าวเดียว จนทำให้ทุกคนที่มีความสัมพันธ์อันดีกับเขา อดที่จะเข้ามาถามไถ่ด้วยรู้สึกเป็นห่วงไม่ได้

“ ผู้อาวุโสจะไม่พักผ่อนสักหน่อยเหรอ ร่างกายคุณจะไม่ไหวเอานะ ” หวังฝูหมิงพูดขึ้นด้วยสีหน้ากังวล ถึงแม้ต้วนมู่เฉียนจะส่งมอบอำนาจทั้งหมดให้จ้าวเทียนไปแล้ว แต่ภายในใจของเขาก็ยังคงให้ความเคารพอีกฝ่ายเหมือนเดิม

ต้วนมู่เฉียนที่ได้ยินแบบนั้นก็นิ่งไปครู่หนึ่ง จากนั้นเขาก็ถอนหายใจออกมา แล้วถามขึ้นด้วยน้ำเสียงอ่อนล้า

“ นาย…หาตัวเสี่ยวชิงพบไหม ”

“ เอ่อ คือเรื่องนี้ ” หวังฝูหมิงมีท่าทีลำบากใจอย่างเห็นได้ชัด เขาพยายามตามหาทุกช่องทางแล้ว แต่ก็ยังไม่รู้ว่าผู้อาวุโสเสี่ยวชิงเธอหายไปไหน

“ งั้นเหรอ ไม่เจอสินะ ” ต้วนมู่เฉียนส่ายหน้าเบาๆด้วยความผิดหวัง เขารอพบเธอมาสามวันสามคืนแล้ว บ้านไม้หลังนี้ เป็นสถานที่แห่งความทรงจำ ที่พวกเขาเคยใช้ชีวิตอยู่ร่วมกันในฐานะสามีภรรยาตั้งแต่เมื่อสามร้อยปีก่อน

ซึ่งต้วนมู่เฉียนได้ส่งคนมาดูแลรักษามันเอาไว้เป็นอย่างดี ของใช้ทุกอย่าง ทั้งโต๊ะเก้าอี้ ตู้ เตียง ยังคงวางอยู่ตรงที่เดิม ไม่เคยถูกสลับเปลี่ยนหรือเคลื่อนย้ายมาก่อน เขาต้องการเก็บภาพความทรงจำที่งดงามเหล่านี้เอาไว้ให้นานที่สุด

‘ น่าเสียดาย…สตรีเพียงผู้เดียวที่ฉันรักกลับไม่ได้อยู่ตรงนี้ด้วย ’

ตลอดระยะเวลาสามวันที่ผ่านมา ต้วนมู่เฉียนเคยถามกับตัวเองหลายครั้ง ว่าหากย้อนเวลากลับไปได้ เขายังจะเลือกเสียสละความรักเพื่อส่วนรวมเหมือนเดิมหรือเปล่า

แต่คำตอบ มันก็ช่างตอกย้ำบาดแผลในใจทุกครั้งไป เมื่อได้เห็นธงสีแดงผืนนี้ และคิดถึงเหล่าผู้กล้ามากมายที่ยอมพลีชีพเพื่อปกป้องประเทศ

ภายในใจของเขาก็รู้ดี ว่าต่อให้ต้องเลือกใหม่อีกสักกี่ครั้ง เขาก็ยังคงทำเช่นเดิม เพื่อปกป้องประชาชนผู้บริสุทธิ์ เพื่อทำให้ประเทศไม่ต้องถูกกดขี่ข่มเหง ต่อให้ต้องเสียสละอะไรไป ก็ล้วนคุ้มค่าทั้งสิ้น

“ พรุ่งนี้แล้วสินะ…คงถึงเวลาที่ฉันต้องกลับไปแล้ว ” ต้วนมู่เฉียนพูดกับตัวเองเบาๆ

เขาลุกเดินไปที่โต๊ะไม้เก่าๆ ที่เคยใช้งานในอดีต ก่อนจะหยิบกระดาษสีเหลืองซีดแผ่นหนึ่ง ออกมาวางไว้บนตำแหน่งเดิมที่มันเคยอยู่

นี่คือจดหมายที่เสี่ยวชิงทิ้งเอาไว้ ก่อนที่เธอจะจากไป ต้วนมู่เฉียนเก็บรักษามันเอาไว้เป็นอย่างดีและพกติดตัวตลอดเวลา มีแต่การทำแบบนี้ ถึงทำให้เขารู้สึกได้ว่าเธอยังอยู่ใกล้ๆเสมอ

“ อายุขัยของเสี่ยวชิงยืนยาวกว่าพวกเรามาก ถ้าพรุ่งนี้ฉันล้มเหลวและดับสูญไป นายจะต้องเผาบ้านหลังนี้พร้อมทั้งสิ่งของทุกอย่างทิ้งไปซะ ”

“ ฉันไม่อยากให้เธอต้องทนใช้ชีวิตอยู่ต่อไปด้วยความเจ็บปวด ปล่อยให้กาลเวลาทำให้เธอลืมฉันไปคงจะดีที่สุด ”

“ ไม่แน่ว่า เมื่อเวลาผ่านไปอีกสิบปี ร้อยปี หรือพันปี …เธออาจจะพบคนที่รักเธอด้วยใจจริง และไม่ทำให้เธอเจ็บปวดแบบฉันก็ได้ ” ต้วนมู่เฉียนพูดออกมาด้วยรอยยิ้มอ่อนโยน ซึ่งเป็นด้านที่เขาไม่เคยเปิดเผยมาก่อนตลอดสามร้อยปีที่ผ่านมา

“ ตกลง…ฉันจะทำตามที่คุณบอก ” หวังฝูหมิงรับคำอย่างจริงจัง เพราะนี่อาจเป็นสิ่งเดียวที่เขาทำเพื่ออีกฝ่ายได้

“ ดี…งั้นพวกเราก็กลับไปกันเถอะ ” ต้วนมู่เฉียนเดินไปตบบ่าอีกฝ่ายเบาๆ

แต่ก่อนที่จะออกจากห้องนี้ไป เขาก็เหลียวมองไปยังข้อความหนึ่งประโยคบนกระดาษแผ่นนั้นอีกครั้ง

‘ ฉัน…ไม่เคยเสียใจที่ได้รักคุณ ’

“ ถ้าหากพรุ่งนี้ ฉันรอดกลับมาได้ ขอสาบานด้วยจิตวิญญาณว่าจะต้องตามหาเธอให้เจอ และจะไม่มีวันปล่อยให้เธอต้องจากไปไหนอีกแล้ว พวกเราจะครองคู่อยู่ร่วมกันตราบจนสิ้นอายุขัย ” ต้วนมู่เฉียนพูดขึ้นด้วยสีหน้าอันเด็ดเดี่ยว เพื่อปลุกเจตจำนงแห่งการต่อสู้ของตนขึ้นมาอีกครั้ง

ตอนนี้เขามีผู้สืบทอดแล้ว จึงไม่ต้องฝืนทนอดกลั้นหัวใจของตนเองอีก หากฟ้าดินส่งเสริมให้เขาได้มีชีวิตอยู่ต่อไป ก็จะขอใช้ช่วงเวลาต่อจากนี้เพื่อคนรักบ้าง

แอ้ดด!

เสียงประตูไม้ปิดลง ก่อนที่จะมีชายชราคนหนึ่งนำแผ่นค่ายกลมาติดไว้ ทำให้บ้านทั้งหลังพร่าเลือนหายไปในอากาศ

นี่คือค่ายกลปกปิดระดับสูง ที่ช่วยปกป้องสถานที่แห่งความทรงจำของต้วนมู่เฉียนมาตลอดสามร้อยปี ซึ่งผู้ที่ได้รับอนุญาตให้เข้าไปก็มีเพียงเขากับเสี่ยวชิงเท่านั้น

“ สหาย ฉันขออวยพรให้นายประสบความสำเสร็จ ” ชายชราคนนั้นพูดขึ้นด้วยสีหน้าจริงจัง เขาเป็นยอดฝีมือจากพรรคมารที่หนีการตามล่าจากสมาพันพันธ์บู้ลิ้ม มาเมื่อสองร้อยปีก่อน

ต้วนมู่เฉียนสัมผัสได้ว่าชายชราคนนี้ไม่ใช่คนเลวร้าย จึงได้มอบสถานที่เร้นกาย ให้อีกฝ่ายใช้ชีวิตบั้นปลายอย่างสงบและคบหาเป็นสหายกัน

“ ขอบคุณมาก ไว้ตอนฉันกลับมา พวกเราค่อยมาดื่มกันสักสามวันสามคืนเป็นยังไง ” ต้วนมู่เฉียนตอบกลับไปด้วยรอยยิ้ม จากนั้นทั้งคู่ก็หัวเราะออกมาพร้อมกัน

“ ได้…ถึงแม้ฉันจะไม่ได้แตะต้องสุรามาสองร้อยปีแล้ว แต่ถ้านายต้องการ ฉันจะดื่มเป็นเพื่อนนายจนสมใจเอง ”

“ พูดได้ดี…ตั้งแต่รู้จักกันมา เพิ่งมีวันนี้แหละที่นายกล่าววาจาได้สมกับเป็นผู้เป็นคนขึ้นมาบ้าง ” ต้วนมู่เฉียนหยอกล้ออีกฝ่าย ก่อนจะพูดขึ้นมาต่อด้วยน้ำเสียงจริงจัง

“ เฒ่ามู่ ตอนนี้สมาพันธ์บู๊ลิ้มไม่คงอยู่อีกต่อไปแล้ว ถ้าพรุ่งนี้ฉันไม่กลับมา นายก็ออกไปใช้ชีวิตตามที่นายต้องการเถอะ ไม่จำเป็นต้องปกป้องสถานที่แห่งนี้อีก ”

ในขณะที่จ้าวเทียนยังนึกลังเลอยู่นั่นเอง ประตูมิติตรงตู้หนังสือก็เปิดออก พร้อมกับเสียงของหลินซินเยว่

“ เข้ามาสิ”

!!

คังหลินที่เห็นแบบนั้นก็ยิ้มออกมาอย่างดีใจ และรีบพุ่งตัวแซงหน้าจ้าวเทียนเข้าไปทันที

แต่ทว่า

เปรี้ยง!

ร่างของคังหลิน ถูกซัดกระเด็นทะลุหน้าต่างออกไปกระแทกกำแพงด้านนอกอย่างหมดท่า ในสภาพขาชี้ฟ้าหน้าทิ่มดิน

“ ฉันหมายถึง…แค่จ้าวเทียนคนเดียวเท่านั้น ” เสียงอันเย็นชาของหลินซินเยว่ดังออกมาจากช่องว่างมิติ ทำให้จ้าวเทียนยิ้มแบบฝืนๆ และล้มเลิกความตั้งใจที่จะพูดช่วยให้คังหลินทันที

‘ ครั้งนี้ท่านอาจารย์น่าจะโกรธมากจริงๆ ฉันอย่าเอาตัวเข้าไปเสี่ยงด้วยจะดีที่สุด ’

จนกระทั่ง เมื่อเห็นจ้าวเทียนเข้ามาแล้ว หลินซินเยว่ก็ปิดประตูมิติทันที จากนั้นเธอก็พูดขึ้นด้วยสีหน้าจริงจัง

“ พรุ่งนี้ เธอจะไปเป็นผู้พิทักษ์ประตูเซียนให้ต้วนมู่เฉียนใช่ไหม ”

จ้าวเทียนที่ได้ยินแบบนั้น ก็หยักหน้าออกมาเบาๆ เรื่องนี้เขารับปากต้วนมู่เฉียนไปแล้ว อีกทั้งมันยังก็เป็นประโยชน์ต่อตัวเขาเองด้วย

“ ฉันรู้ดีว่า ถึงห้ามไปก็ไม่มีประโยชน์ ต่อให้รู้ว่ามันอันตรายมาก เธอก็ยังคงไปอยู่ดี ” หลินซินเยว่พูดขึ้นพร้อมกับถอนหายใจ จากนั้นเธอก็หยิบถุงไหมสีแดงอันเล็กๆยื่นให้จ้าวเทียน

“ ท่านอาจารย์ สิ่งนี้คือ… ”

“ จงเปิดมันออก ในยามที่กำลังจะเผชิญอันตรายถึงชีวิตเท่านั้น แต่ถ้าเลือกได้ก็จงอย่าใช้มันจะดีที่สุด เพราะมันจะทำให้เกิดปัญหามากมายตามมาแน่นอน ” หลินซินเยว่พูดเน้นย้ำด้วยสีหน้าเคร่งเครียด

“ ตกลง…ท่านอาจารย์โปรดวางใจ ถ้าไม่ถึงที่สุดจริงๆฉันจะไม่เปิดมัน ”

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: จุติใหม่มหาเทพตี้เทียน