กว่าที่จ้าวเทียนจะกลับลงมาบนโลก สงครามแห่งข่าวสารระหว่างประเทศก็ได้จบลงเป็นที่เรียบร้อยแล้ว แน่นอนว่าผู้ชนะในท้ายที่สุดย่อมเป็นประเทศจีน
เรื่องนี้มันชัดเจนมาก จนแม้แต่ประเทศอเมริกาที่ชอบยุ่งเรื่องคนอื่น ยังเลือกที่จะเก็บตัวเงียบแสร้งเป็นมองไม่เห็น ไม่รับรู้อะไร
ดังนั้น ประชาชนทั่วทั้งโลก จึงจดจำชื่อของจ้าวเทียนเอาไว้ในฐานะตัวแทนของเทพเจ้าผู้ยิ่งใหญ่ในจักรวาล และยังยกให้ประเทศจีนขึ้นเป็นผู้นำ ในการควบคุมดูแลตัวตนระดับสูงที่ข้ามมิติมาบนโลก
ผลลัพธ์ที่ได้ เหนือความคาดหมายของจ้าวเทียนไปเยอะมาก การมาเยือนโลกมนุษย์ของจักรพรรดินีเทพหลินซินเยว่ ได้ทำลายความเย่อหยิ่งอวดดีของประเทศมหาอำนาจอื่นๆลงจนหมดสิ้น
เวลาประมาณสองทุ่ม
ภายในบ้านไม้หลังเล็กๆ ที่ถูกสร้างขึ้นตามรูปแบบในสมัยราชวงศ์ถัง สถานที่แห่งความทรงจำของต้วนมู่เฉียนกับเสี่ยวชิง
ครืนนน!
โฮ่วอี้ก้าวออกมาจากช่องว่างมิติด้วยสีหน้าเรียบเฉย ที่ด้านหลังเขายังมีคังหลินติดตามมาด้วย นี่เป็นร่างอวตารใหม่ของคังหลินที่เต็มเปี่ยมไปด้วยพลัง มีความแข็งแกร่งอยู่ในระดับเดียวกับพวกเทพโลกาที่จุติลงมาจากแดนสวรรค์คนอื่นๆ
“ คารวะท่านอาจารย์ ” ต้วนมู่เฉียนรีบกล่าวทักทายขึ้นทันที ทั้งเขาและเสี่ยวชิงได้มารออีกฝ่ายอยู่นานแล้ว
“ คารวะอาจารย์ปู่ ” จ้าวเทียนและพวกลี่เหยาเหยาเอง ก็อยู่ในบ้านหลังนี้เช่นเดียวกัน เพื่อมารอส่งต้วนมู่เฉียนออกเดินทาง
“ เตรียมตัวพร้อมแล้วใช่ไหม บางทีอาจจะต้องจากสถานที่แห่งนี้ไปนานหลายปี ตราบใดเจ้ายังไม่ผ่านเกณฑ์ที่ข้าตั้งไว้ จะไม่มีทางกลับมายังโลกมนุษย์ได้เป็นอันขาด ” โฮ่วอี้ถามศิษย์ตนด้วยสีหน้าจริงจัง
“ ท่านอาจารย์โปรดวางใจ ฉันได้ส่งมอบทุกสิ่งทุกอย่างให้กับผู้สืบทอดอย่างจ้าวเทียนไปหมดแล้ว ตอนนี้ขอเพียงมีเสี่ยวชิงอยู่ด้วย ต่อให้ต้องจากไปอย่างไม่มีวันหวนกลับ ก็ไม่เก็บเอามาใส่ใจแม้แต่น้อย ”
“ ดีมาก งั้นจงรับของสิ่งนี้ไปและรีบทำพันธสัญญาซะ ” โฮ่วอี้หยิบแตรเขาสัตว์สีดำส่งให้ต้วนมู่เฉียนโดยไม่ลังเล
!!
“ นี่มัน อเวจีคร่ำครวญ! ” คังหลินร้องออกมาอย่างตกใจ
เขาไม่คิดมาก่อนว่าอาจารย์ปู่จะมอบของสำคัญเช่นนี้ให้กับต้วนมู่เฉียน มันคืออาวุธระดับพระเจ้าของเทพอสูรบรรพกาล ย่อมไม่มีทางที่มนุษย์จะจะใช้งานได้อยู่แล้ว
บอกได้เลยว่า ขอเพียงต้วนมู่เฉียนสัมผัสมันเมื่อไหร่ ดวงวิญญาณของเขาก็จะถูกครอบงำด้วยความบ้าคลั่ง เปลี่ยนเป็นสัตว์ร้ายในคราบมนุษย์ สูญสิ้นความเป็นคนไปในพริบตา
“ อาจารย์ปู่ เรื่องนี้… ”
จ้าวเทียนต้องการจะขัดขวาง แต่เมื่อเห็นโฮ่วอี้ส่งสายตากลับมาก็หยุดลงในทันที เขารู้ว่าโฮ่วอี้ต้องมีจุดประสงค์บางอย่างและไม่มีทางทำร้ายต้วนมู่เฉียนแน่นอน
ในเวลาเดียวกัน เมื่อแตรเขาสัตว์สีดำปรากฏขึ้นตรงหน้าต้วนมู่เฉียน คลื่นพลังงานสีแดงฉานเหมือนโลหิตก็ระเบิดออกมา ทำให้ภาพสรรพสิ่งรอบกายของเขาเปลี่ยนไปทันที
ต้วนมู่เฉียนรู้สึกเหมือนตนเอง หลงเข้าไปอยู่ใจกลางสนามรบสงครามเทพมาร รอบด้านเต็มไปด้วย เสียงขู่คำรามดังก้องฟ้า โลหิตสาดกระจาย เศษชิ้นเนื้ออวัยวะปลิวว่อนไปทั่ว
ทำให้กลิ่นอายแห่งความตายและจิตสังหารอันบ้าคลั่ง เริ่มครอบงำสติของเขาอย่างรวดเร็ว
กรอดดด!
สีหน้าของต้วนมู่เฉียนเปลี่ยนแปลงไม่หยุด ร่างกายของเขาสั่นสะท้านอย่างรุนแรงจนต้องพยายามกัดฟันอดทนความกระหายเลือดของตนเอง เอาไว้สุดความสามารถ
บูมม!
เจตจำนงอันแรงกล้าและจิตวิญญาณอันไม่ยอมแพ้ของต้วนมู่เฉียน ระเบิดออกมาในเสี้ยววินาทีสุดท้าย ก่อนที่สติสัมปชัญญะของเขากำลังจะหายไป ทำให้สามารถกลับมาควบคุมร่างกายได้อีกครั้ง
แฮ่ก! ๆๆ
ต้วนมู่เฉียนในสภาพใบหน้าซีดขาว เหงื่อออกโซมกาย ถูกเสี่ยวชิงรีบเข้ามาประคองตัวเอาไว้ด้วยความเป็นห่วง
“ ว่าอย่างไร เจ้ากล้ารับมันไปหรือไม่ ” โฮ่วอี้ถามขึ้นด้วยน้ำเสียงเย็นชา ทำให้บรรยากาศภายในห้องเปลี่ยนเป็นหนักอึ้งอย่างเห็นได้ชัด
โดยเฉพาะผู้มีความสัมพันธ์อันดีกับต้วนมู่เฉียน ที่เริ่มไม่มั่นใจแล้วว่าโฮ่วอี้ต้องการจะทำอะไรกันแน่
ขนาดไม่ทันสัมผัสยังส่งผลกระทบถึงเพียงนี้ หากต้วนมู่เฉียนทำพันธสัญญากับแตรอเวจีคร่ำครวญจริงๆ จะไม่กลายเป็นคนวิปลาส สติฟั่นเฟือนไปเลยเหรอ
“ เฉียนเกอ พวกเรา… ”
ยังไม่ทันที่เสี่ยวชิงจะพูดจบ ต้วนมู่เฉียนก็บีบมือเธอไว้แน่นแล้วส่ายหน้าเบาๆ พร้อมพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงจริงจัง
“ ตั้งแต่คืนนั้น ฉันก็ได้ตัดสินใจแล้วว่าจะละทิ้งความเป็นมนุษย์ไปซะ เพื่อแลกกับโอกาสที่จะได้ใช้ชีวิตอยู่กับเธอต่อไป ไม่ว่าต้องแลกมาด้วยสิ่งใดล้วนคู่ควร ”
“ เพราะฉะนั้น เธอต้องเชื่อมั่นในเจตจำนงและจิตวิญญาณของฉัน ว่าจะไม่มีวันพ่ายแพ้ต่อสิ่งใดเด็ดขาด ”
“ การจะสังหารเขาในอนาคต หากไม่ใช่จักรพรรดิเทพลงมือเอง ก็ต้องใช้อาวุธระดับพระเจ้าเท่านั้น ส่วนศัตรูของพวกเจ้าที่อยู่บนโลกมนุษย์ นี่ไม่จำเป็นต้องกล่าวถึงเลย ”
พูดมาถึงตรงนี้ โฮ่วอี้ก็เจตนาส่งสายตาไปทางจ้าวเทียนเล็กน้อย เป็นการสื่อความหมายว่า
‘ เห็นหรือยัง เป็นผู้สืบทอดของข้านั้นดีขนาดไหน ทั้งสมบัติล้ำค่าและเคล็ดวิชาขั้นสุดยอด มีให้ไม่อั้นเลยนะ สนใจจะย้ายมาทางนี้หรือเปล่าล่ะ ’
จ้าวเทียนที่เห็นแบบนั้นก็พูดไม่ออก ได้ยิ้มแบบฝืนๆออกมา
เขารู้สึกได้ตั้งแต่แรกแล้วว่าโฮ่วอี้มีเจตนารับตนเองเป็นผู้สืบทอด ต้องยอมรับเลยว่า ถ้าเขาไม่ได้รับแก่นแท้ดวงตะวันมาจากเทพธิดาซวนเฉวียน ก็คงรู้สึกหวั่นไหวเหมือนกัน
เพราะมหาเทพหมื่นตะวันได้ดับสูญไปนานแล้ว แต่โฮ่วอี้ยังมีชีวิตอยู่ การมีผู้แข็งแกร่งเช่นนี้คอยสนับสนุนเบื้องหลัง จะทำให้เส้นทางในอนาคตสะดวกสบายถึงเพียงไหน
“ เอ่อ…แล้วเรื่องขั้นตอนต่อไปการหลอมโลหิตละครับ ” จ้าวเทียนถามเปลี่ยนประเด็น
“ ขั้นต่อไปงั้นรึ ข้าจะพาต้วนมู่เฉียนไปพบสหายเก่าที่โลกทิพย์แห่งมาร เพื่อขอรับการสืบทอดโลหิตและฝึกฝนอยู่ที่นั่น จนกว่าเขาจะพร้อมสำหรับการหลอมรวมวิญญาณ ซึ่งมันก็อาจจะใช้เวลานับปีหรือแค่ไม่กี่เดือน ขึ้นอยู่กับตัวเขาเอง ”
“ อย่างที่ข้าได้เคยบอกไป เผ่ามารในตอนนี้ไม่เหมือนอดีต มีทังดีและไม่ดีปะปนกันไปเช่นเดียวกับมนุษย์ ดังนั้นพวกเจ้าไม่ต้องเป็นห่วง ”
“ ส่วนเรื่องอายุขัย เมื่อต้วนมู่เฉียนหลอมกระดูกเสร็จสิ้น เขาก็จะได้รับอายุขัยเพิ่มมาสิบปี มันเพียงพอให้ผ่านอีกสองขั้นตอนที่เหลือไปได้แน่นอน ”
“ เอาล่ะ ตอนนี้ถึงเวลาที่ต้องจากกันแล้ว ขอให้พวกเจ้าทั้งหมดจงถนอมตัวให้ดี ”
สิ้นเสียง โฮ่วอี้ก็เปิดช่องว่างมิติไปที่โลกแห่งมาร จากนั้นก็คว้ารังไหมของต้วนมู่เฉียนใส่เข้าไป พร้อมกับเสี่ยวชิงที่ติดตามเข้าไปติดๆ
ส่วนโฮ่วอี้ ก่อนที่เขาจะก้าวเข้าไปในช่องว่างมิติ ก็ได้มอบลูกเกาทัณฑ์สีทองสองดอกให้จ้าวเทียนและคังหลิน
“ จงรับไว้ หากมีอะไรเกิดขึ้นให้เจ้าบดขยี้มัน แล้วข้าจะมาช่วยให้เร็วที่สุด ”
นี่เป็นการสื่อความหมายอย่างชัดเจน ว่าเห็นแก่หน้าบุตรสาวตน เขาจะยอมลงมือช่วยเหลือศิษย์หลักของเธอเพียงสองครั้งเท่านั้น
ซึ่งถ้าให้พูดกันตามตรง โฮ่วอี้กับพวกเจ้าเทียนไม่ได้มีความสัมพันธ์ลึกซึ้งอะไรแม้แต่น้อย ทั้งสองฝ่ายเพิ่งเจอหน้ากันได้ไม่กี่วัน และมีเวลาอยู่ด้วยกันไม่กี่ชั่วโมงเท่านั้น
เลยไม่แปลก…ที่จะรู้สึกเหมือนมีกำแพงบางๆขวางกั้นพวกเขาเอาไว้
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: จุติใหม่มหาเทพตี้เทียน
ดีๆๆเดินเรื่องดี...
ต่อๆไป...
ขอบคุณทีมงานที่นำเรื่องดีๆมาลงให้อ่าน...