มหานครโตเกียว เมืองหลวงของประเทศญี่ปุ่น มีระบบการปกครองแบบพิเศษซึ่งรวมการปกครองในรูปแบบจังหวัดและเมืองไว้ด้วยกัน ถือเป็นเขตเมืองเศรษฐกิจที่ใหญ่ที่สุดในโลก โดยมีประชากรอาศัยอยู่อย่างหนาแน่นเป็นจำนวนถึง 35ล้านคน
เมื่อเทียบกับพื้นที่ซึ่งมีอยู่จำกัด จึงไม่แปลกที่พื้นที่ส่วนใหญ่จะเต็มไปด้วยโครงการคอนโดขนาดใหญ่หรือตึกสูงระฟ้า เพื่อให้เพียงพอต่อความต้องการเข้าอยู่อาศัย
แน่นอนว่า สถานทูตสาธารณรัฐประชาชนจีนเองก็ตั้งอยู่ในเมืองนี้เช่นกัน ทั้งยังครอบครองพื้นที่มากกว่าประเทศอื่นหลายสิบเท่า ทั้งยังสร้างอิงตามรูปแบบคฤหาสน์จีนโบราณ
มีลักษณะใหญ่โต โอ่อ่างดงาม สอดคล้องกับหลักฮวงจุ้ย แตกต่างจากหมู่ตึกระฟ้าที่มองเห็นอยู่รอบด้านอย่างชัดเจน
ถึงแม้ก่อนหน้านี้ ประเทศจีนกับประเทศญี่ปุ่นจะเกิดข้อพิพาทขึ้นมากมาย ทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศไม่ค่อยดีนัก แต่นั่นก็กลายเป็นเรื่องในอดีตไปแล้ว
เพราะนับตั้งแต่สมาพันธ์เซียนถูกก่อตั้งขึ้น และเปิดเผยความแข็งแกร่งที่แท้จริงออกไปสู่โลกภายนอก รัฐบาลแต่ละประเทศก็รีบยื่นข้อเสนอขอเป็นพันธมิตรอย่างนอบน้อม ตราบใดที่ไม่คิดใช้มาตรการรุนแรง เรื่องอื่นพวกเขาพร้อมยอมอ่อนข้อให้ทั้งหมด
ด้วยเหตุนี้เอง สถานทูตจีนที่ตั้งอยู่ในแต่ละประเทศจึงถูกปรับปรุงใหม่ทั้งหมด ให้เป็นสาขาใหม่ของสมาพันธ์เซียน เขตพื้นที่พิเศษปกครองตนเอง
ไม่ขึ้นตรงกับรัฐบาลของประเทศนั้นๆ เพื่ออำนวยความสะดวกแก่กองกำลังจำนวนหลายร้อยคนที่ต้องมาประจำการ
ณ ห้องประชุมสถานทูตจีนประจำประเทศญี่ปุ่น
ภายในห้องขนาดใหญ่ที่ได้รับการคุ้มกันอย่างแน่นหนา จ้าวเทียนและหญิงสาวทั้งสี่คนนั่งจิบน้ำชาอยู่ตรงโต๊ะรับแขกอย่างใจเย็น โดยมีคนกลุ่มหนึ่งกำลังทำความเคารพด้วยความนอบน้อม
พวกเขา คือเจ้าหน้าที่ระดับสูงของหน่วยข่าวกรอง และผู้อาวุโสขอบเขตเซียน ที่ถูกส่งตัวให้มาจับตาดูความเคลื่อนไหวของศัตรู
“ รายงานความคืบหน้า เรื่องที่ฉันให้ไปสืบมาซิ ” จ้าวเทียนพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงจริงจัง
“ เรียนท่านผู้นำ จากการสืบสวนดูเหมือนเทพสึคุโยมิจะหายสาบสูญไปตั้งแต่เมื่อสิบเอ็ดวันก่อน ทำให้ฝ่ายตรงข้ามต้องระดมพลค้นหาอย่างเอาเป็นเอาตาย เกิดความปั่นป่วนวุ่นวายไปทั่ว ”
“ สิบเอ็ดวันงั้นเหรอ งั้นก็คงเป็นช่วงเวลาที่ฉันเริ่มต้น กวาดล้างผู้ก่อการร้ายพอดีเลยสินะ หรือนี่จะเป็นฝีมือของเขาจริงๆ ” จ้าวเทียนพูดกับตัวเองเบาๆ แต่เพราะทุกคนในห้องต่างก็เป็นผู้ฝึกตนระดับสูง จึงสามารถได้ยินอย่างชัดถ้อยชัดคำ
“ นายจะทำยังไงต่อไปเหรอ ” ลี่เหยาเหยาถามขึ้นด้วยความเป็นห่วง เธอกลัวว่าจ้าวเทียนจะบุกเข้าไปแก้แค้นในถิ่นของศัตรูตามลำพัง
“ ไม่ต้องกังวล ฉันไม่ทำอะไรวู่วามหรอก ตอนนี้พวกเราเป็นพันธมิตรในนามกันอยู่ ยังไม่ถึงเวลาจะต้องมาแตกหัก อีกอย่างเรื่องนี้ก็มีจุดที่น่าสงสัยมากเกินไป คล้ายกับมีคนพยายามจัดฉากให้เกิดความเข้าใจผิดขึ้น ”
“ ฉันเห็นด้วยนะ นี่มันผิดปกติมาก เพราะจากที่นายเล่ามามือสังหารคนนั้นใช้อาวุธประจำตัวของเทพสึคุโยมิมาโดยตลอด เหมือนเจตนาเปิดเผยตัวตนให้เรารู้ตั้งแต่ต้น” กงเสี่ยวเหมยออกความเห็น
“ แล้วตอนนี้ อีกฝ่ายพบตัวเทพสึคุโยมิหรือยัง ” จ้าวเทียนหันไปถามหน่วยข่าวกรองอีกครั้ง
“ ทางเราเองก็ไม่แน่ใจเหมือนกันครับ ถึงเทพสึคุโยมิจะยังไม่ปรากฏตัวออกมา แต่พวกญี่ปุ่นได้สั่งให้หยุดทำการค้นหาแล้วตั้งแต่เมื่อวาน อีกทั้งยังเริ่มตรวจสอบค้นหาตัวสายลับของเราที่แฝงตัวอยู่อย่างจริงจัง ”
ได้ยินแบบนั้น สีหน้าของจ้าวเทียนก็เปลี่ยนเป็นเคร่งเครียดทันที การที่อีกฝ่ายหยุดทำการค้นหา บทสรุปมีเพียงสองอย่าง หนึ่งคือพบตัว สองคือพบศพ
“ ถ้าเป็นไปตามที่ฉันคิดจริงๆ เห็นทีพวกเราจะเจอปัญหาใหญ่เข้าแล้ว ”
ในเวลาเดียวกัน
ภายในสถาบันสอนดนตรีชั้นนำของเมืองปักกิ่ง เด็กสาวหน้าตางดงามกำลังซ้อมเล่นเปียโนด้วยความขยันขันแข็ง ท่ามกลางสายตาชื่นชมของอาจารย์และแขกรับเชิญผู้มีชื่อเสียงในวงการดนตรีอีกห้าคน
เด็กสาวคนนี้ก็คือ จ้าวหยูเหมย ซึ่งเป็นน้องสาวแท้ๆของจ้าวเทียน เธอตัดสินใจทำตามความฝันในการเป็นนักดนตรีระดับโลก แตกต่างจากคนอื่นๆในครอบครัวที่เลือกเข้าสู่เส้นทางของผู้ฝึกตน
“ เธอช่างมีพรสวรรค์จริงๆ สมกับที่ลี่เหยาเหยาเป็นคนรับรองด้วยตัวเอง ” หนึ่งในแขกรับเชิญพยักหน้าเบาๆ เขาเป็นโปรดิวเซอร์ใหญ่ที่เคยปั้นศิลปินที่มีชื่อเสียงมามากมาย
คลื่นพลังที่เหยียนซืออู่ปล่อยออกมาโดยไม่ตั้งใจ บดขยี้กระจกหนาของห้องเก็บเสียงจนกลายเป็นฝุ่นผงร่วงลงไปบนพื้น
ภายในห้องตอนนี้ ได้ปรากฏชายหนุ่มผมทองตาสีฟ้ายืนอยู่ด้านหลังจ้าวหยูเหมย เขามีรูปร่างสูงใหญ่สวมชุดสูทสีดำเข้ารูป มือข้างหนึ่งวางอยู่บนศีรษะของเด็กสาว เจตนาข่มขู่เหยียนซืออู่อย่างชัดเจน
“ คุณตาคะ หนู… ” จ้าวหยูเหมยตกใจจนพูดไม่ออก
เมื่อจู่ๆทุกคนในห้องก็ล้มลงหมดสติ จากนั้น ก็มีคนปรากฏตัวขึ้นที่ด้านหลังและจับศีรษะของเธอไว้ ทำให้ร่างกายแข็งทื่อไม่อาจขยับได้แม้แต่ปลายนิ้ว
“ หยูเหมยไม่ต้องกลัว ไม่ว่ายังไงตาจะต้องปกป้องหนูให้ได้ ” เหยียนซืออู่พูดขึ้นด้วยสีหน้าจริงจัง ทั้งที่ในใจเขารู้สึกกดดันเป็นอย่างมาก
‘ นี่มัน หรือจะเป็นการเคลื่อนย้ายผ่านมิติ ชายคนนี้เป็นพวกที่จุติลงมาจากแดนสวรรค์งั้นเหรอ ’
ที่เขาคิดแบบนั้น ก็เพราะอีกฝ่ายสามารถลักลอบเข้ามาในอาณาเขตสัมผัสวิญญาณของเขาได้อย่างง่ายดาย โดยที่เขาเองก็ไม่รู้สึกตัวเลยแม้แต่น้อย
“ ถ้าอยากให้นางมีชีวิต ก็จงตามข้ามาแต่โดยดี ”
พูดจบ ชายหนุ่มผมทองก็เปิดช่องว่างมิติ แล้วคว้าตัวจ้าวหยูเหมยหายเข้าไปทันที ซึ่งเหยียนซืออู่เองก็พุ่งตามอีกฝ่ายเข้าไปแบบไม่ลังเลเช่นเดียวกัน ก่อนที่ช่องว่างมิติจะหายไป
ผ่านไปครู่หนึ่ง
ชายชราเครายาวก็ได้ปรากฏตัวขึ้น ตรงจุดที่ประตูมิติหายไป เขาทำจมูกฟุดฟิดเหมือนกำลังสูดดมอะไรบางอย่าง ก่อนจะพูดขึ้นด้วยรอยยิ้มเย็นชา
“ ไม่ผิดแน่ เป็นกลิ่นอายของไอ้สามตาจริงๆ ที่แท้แกก็หนีข้ามาอยู่ที่นี่เอง หึหึ ”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: จุติใหม่มหาเทพตี้เทียน
ดีๆๆเดินเรื่องดี...
ต่อๆไป...
ขอบคุณทีมงานที่นำเรื่องดีๆมาลงให้อ่าน...