จุติใหม่มหาเทพตี้เทียน นิยาย บท 449

ณ แดนสุขาวดีสถานที่บําเพ็ญเพียรของเหล่าพระโพธิสัตว์

ที่ด้านในเขตหวงห้ามลึกลงไปในบรรพตศักดิ์สิทธิ์ หลังจากเสร็จสิ้นการต่อสู้กับจ้าวเทียน ราชันวานรเห้งเจียก็ถอนจิตวิญญาณที่ใช้ควบคุมร่างอวตารกลับคืนมา พร้อมกับถอนหายใจเบาๆแล้วพูดขึ้น

“ ไม่นึกเลยว่าช่วงที่ข้าเก็บตัวแค่เจ็ดพันปี โลกมนุษย์จะให้กำเนิดยอดอัจฉริยะเช่นนี้ออกมา ด้วยอายุเพียงแค่ยี่สิบปีกลับสามารถเอาชนะร่างแยกของข้า รวมไปถึงเหล่าเทพเจ้าที่จุติลงไปได้ ”

ทันใดนั้น

ครืนนนน!

ก้อนศิลาขนาดใหญ่โตมโหฬารที่ตั้งอยู่ใจกลางเขตอาคมผนึกอันแข็งแกร่ง ก็ได้ปลดปล่อยพลังงานดำมืดอันแสนชั่วร้ายออกมาอย่างรุนแรง

มันได้เข้ากัดกร่อนม่านพลังศักดิ์สิทธิ์ที่ปกคลุมอยู่อย่างต่อเนื่อง เหมือนมีบางสิ่งที่อยู่ด้านในกำลังพยายามทลายผนึกเพื่อเป็นอิสระ

ต้องบอกเลยว่า คลื่นพลังงานอันชั่วร้ายนี้ทรงพลังยิ่งกว่าโลกแห่งมารเป็นอย่างมาก ขอเพียงผู้ที่อยู่ต่ำกว่าเทพโลกาขั้นเก้าหลงอยู่ภายในอาณาเขตของมัน ก็จะถูกครอบงำจนขาดสติเปลี่ยนเป็นมารร้ายที่รู้จักเพียงการทำลายล้างทันที นี่จึงเป็นเหตุผลที่บริเวณรอบๆนี้ มีเพียงราชันวานรเห้งเจียผู้เดียวรักษาการณ์อยู่

“ เหอะ! ช่างน่ารำคาญยิ่งนัก ”

เห้งเจียแค่นเสียงด้วยความหงุดหงิด ก่อนจะปลดปล่อยลำแสงห้าสีจากฝ่ามือเข้าปกคลุมก้อนศิลาเอาไว้ เพื่อสะกดข่มพลังแห่งมารอเวจีกลับคืนไป

บูมมมม!

ลำแสงห้าสีและพลังงานอันดำมืดได้ปะทะกันอย่างรุนแรง ทำให้เขตอาคมรอบๆสั่นสะเทือนเป็นระยะเวลาหนึ่ง ก่อนที่พลังงานดำมืดจะเป็นฝ่ายแพ้และถอยกลับเข้าไปอยู่ในก้อนศิลาเช่นเดิม

“ ไม่นึกเลยว่า เพราะการปรากฏตัวของจักรพรรดิเทพบรรพกาลโฮ่วอี้ จะทำให้เจ้าหายนะแห่งเอกภพนี่ ตื่นก่อนเวลาอันควรไปถึงหนึ่งแสนปี จนเดือดร้อนข้าและสามพระโพธิสัตว์ สูงสุดต้องผลัดกันมาสะกดมันไว้ ”

เห้งเจียบ่นออกมาด้วยความกลัดกลุ้ม ตัวเขาเพิ่งจะมีอิสระได้ไม่นาน ก็ได้รับภารกิจต้องมานั่งเฝ้าก้อนหินก้อนหนึ่งเป็นเวลาแสนปี สำหรับผู้ที่มีนิสัยไม่ชอบอยู่นิ่งแบบเขา มันไม่ต่างจากตกนรกทั้งเป็นจริงๆ

‘ หวังว่าเจ้าหนุ่มนั่นคงจะไม่ทำให้ข้าผิดหวังนะ เพราะสัมผัสได้ถึงพลังงานลึกลับอันกล้าแกร่งที่หลบซ่อนอยู่ในจิตวิญญาณของเขา ข้าจึงได้มอบพลังส่วนหนึ่งของตนเองให้ ถ้าหากเขาสามารถหลอมรวมมันได้สำเร็จ อีกไม่เกินหนึ่งพันปีพวกเราก็จะได้รับกำลังสำคัญที่ใช้กำจัดหายนะแห่งเอกภพได้ ’

นี่อาจจะเป็นสาเหตุที่ราชันวานรเห้งเจีย ได้แอบสืบค้นข้อมูลของจ้าวเทียนและทำการทดสอบเป็นการส่วนตัว เนื่องจากต้องการพันธมิตรอันแข็งแกร่งเพื่อที่จะทำภารกิจอันยาวนานของแดนสุขาวดีให้ลุล่วงไปในยุคสมัยนี้

‘ เฮ้อ…ถ้าให้เลือกได้ ข้ายอมไปนั่งสนทนาธรรมกับท่านอาจารย์สิบวันสิบคืน ยังดีกว่าจะต้องมานั่งเป็นลิงเฝ้าศาลเจ้าอยู่ที่นี่ล่ะนะ ’

หลังจากถอนหายใจยาวด้วยความเบื่อหน่าย เขาก็เอนกายพิงกระบองของตน แล้วหลับตาเฝ้ารอการประทุของพลังมารอเวจีครั้งต่อไป

เพราะสถานที่แห่งนี้ถูกตัดขาดจากพลังงานแห่งจักรวาล ทั้งยังถูกสะกดด้วยเขตแดนผนึกจำนวนมากเพื่อไม่ให้หายนะแห่งเอกภพฟื้นฟูความแข็งแกร่งขึ้นมาได้

จึงเป็นสาเหตุ ที่ผู้เฝ้ารักษาการณ์เองก็ไม่สามารถฝึกตนบำเพ็ญเพียรได้เช่นเดียวกัน ดังนั้นมันจึงกลายเป็นภารกิจที่น่าเบื่อเป็นอย่างมาก

ในเวลาเดียวกัน

จ้าวเทียนกำลังยืนอยู่ด้านหน้าอารามบนยอดเขา พร้อมกับมองดูเส้นขนสีทองบนฝ่ามือตนเองด้วยความรู้สึกที่บอกไม่ถูก

คงเป็นเพราะเล็งเห็นถึงข้อนี้…เห้งเจียจึงมอบสิ่งที่จ้าวเทียนไม่อาจปฏิเสธได้มาให้

เมื่อก้าวเข้ามาในอาราม สิ่งแรกที่จ้าวเทียนได้พบก็คืออ้อมกอดอันอบอุ่นและใบหน้าเปื้อนน้ำตาของน้องสาวตน

สงสัยว่าเรื่องที่เพิ่งพานพบมา คงจะสร้างความสะเทือนใจให้กับเธอเป็นอย่างมาก ดังนั้นเสี้ยววินาทีที่ได้เห็นหน้าพี่ชายอันเป็นที่รัก จึงโผเข้าไปกอดด้วยเรี่ยวแรงทั้งหมดที่มี

“ ไม่เป็นไรแล้วนะ พี่อยู่ตรงนี้แล้วจะไม่มีใครมาทำร้ายน้องได้อีก ” จ้าวเทียนพูดปลอบโยนน้องสาวด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน เขาใช้นิ้วชี้ปาดหยดน้ำตาออกจากแก้มเนียนนุ่มของเธอ พร้อมทั้งลูบหลังเบาๆ

“ ฮือๆ พี่คะ หนูเห็นคนพวกนั้นทำร้ายคุณตาหลายครั้ง พวกเราจะต้องรีบช่วยคุณตากลับมานะคะ ” จ้าวหยูเหมยรีบพูดออกมาอย่างร้อนรน พร้อมทั้งเล่าเรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้นให้ฟัง รวมไปถึงบทสนทนาและการกระทำทุกอย่างของฝ่ายตรงข้ามอย่างละเอียด

คงเป็นความพิเศษของครอบครัวนี้ ทำให้จ้าวหยูเหมยเองก็มีความสามารถในการจดจำเช่นเดียวกับจ้าวเทียน แม้จะไม่ถึงขั้นเป็นความทรงจำแบบภาพถ่ายก็ตามที

“ พี่เข้าใจแล้ว เรื่องของคุณตาน้องไม่ต้องเป็นห่วง พี่สัญญาว่าจะต้องช่วยเหลือท่านกลับให้ได้แน่นอน ” จ้าวเทียนพูดขึ้นด้วยสีหน้าจริงจัง

ก่อนจะยิ้มอ่อนออกมา เมื่อเห็นว่าน้องสาวกอดตัวเองแน่นเหมือนลูกลิงไม่ยอมปล่อย จนต้องยอมแพ้และเดินลากเอาเธอไปด้วย

“ ยินดีที่พบ ศิษย์หลักแห่งสำนักดาราสวรรค์เอย ”

“ คารวะผู้อาวุโส ทางฉันต้องขอขอบคุณมากสำหรับความช่วยเหลือในครั้งนี้ ” จ้าวเทียนโค้งคำนับอย่างนอบน้อม ตั้งแต่ที่ได้ขึ้นไปบนแดนสวรรค์ ตัวเขาก็โน้มเอียงไปทางเต๋ามากกว่าพุทธ จึงทำความเคารพพระโพธิสัตว์ท่านนี้แบบเป็นกลาง

“ นั่นเป็นเพียงเรื่องเล็กน้อยเท่านั้น ขอประสกไม่ต้องใส่ใจ ”

สิ้นเสียง ก็มีแสงสีทองอันเจิดจ้าระเบิดออกมาจากพระพุทธรูป เพื่อชักนำจิตวิญญาณของจ้าวเทียนไปยังสถานที่แห่งหนึ่ง…

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: จุติใหม่มหาเทพตี้เทียน