จุติใหม่มหาเทพตี้เทียน นิยาย บท 448

ภายในอารามเก่าแก่บนยอดเขาสูง เมื่อแสงแดดยามเย็นสาดส่องลงมากระทบใบหน้า ก็ทำให้เด็กสาวที่กำลังอยู่ในห้วงนิทราเริ่มฟื้นคืนสติ

สำหรับจ้าวหยูเหมยที่เพิ่งจะเผชิญเรื่องเลวร้ายมา การหลับใหลในครั้งนี้นับว่ายาวนานกว่าทุกครั้ง และยังทำให้เธอได้พบกับความสงบอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน

เหมือนร่างกายของเธอถูกโอบอุ้มไปด้วยพลังงานอันบริสุทธิ์ที่แสนอบอุ่น คล้ายกลับได้อยู่ในครรภ์มารดาตอนเป็นทารก

“ ฉัน…อยู่ที่ไหน ” อาจเป็นเพราะยังฟื้นคืนสติไม่เต็มที่ เลยทำให้ความทรงจำของจ้าวหยูเหมยไม่ค่อยประติดต่อนัก

จากนั้นเธอก็กวาดสายตามองไปรอบๆตัวอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนลุกพรวดขึ้นมาหันมองรอบด้านด้วยความหวาดกลัว

“ คุณตาล่ะ คุณตาอยู่ที่ไหน แล้วคนพวกนั้น… ”

“ โปรดอย่าวิตกไปเลย ตอนนี้สีกาอยู่ในสถานที่ปลอดภัยแล้ว ”

เสียงอันอ่อนโยนที่ดังขึ้นในความคิด พร้อมกับแสงสีทองแสนอบอุ่น ทำให้จิตใจที่กำลังหวาดระแวงของจ้าวหยูเหมยรู้สึกผ่อนคลายอย่างรวดเร็ว

‘ ไม่ซิ เดี๋ยวก่อนนะ! ที่แห่งนี้มีฉันอยู่คนเดียวไม่ใช่เหรอ ’

เธอจำได้ว่าตอนที่กวาดตามองดูรอบๆ ก็พบเพียงกระถางธูปสำริดสีดำกับพระพุทธรูปสีทองขนาดใหญ่ที่ตั้งอยู่กลางห้องเท่านั้น ไม่มีบุคคลอื่นแน่นอน แล้วเสียงที่เธอได้ยินมันมาจากไหนกัน

“ เอ่อ…คุณเป็นคนช่วยหนูออกมาจากคนพวกนั้นเหรอ แล้วคุณตาของหนูล่ะ เขาเป็นอย่างไรบ้าง ” จ้าวหยูเหมยถามขึ้นด้วยน้ำเสียงสั่นสะท้าน ถึงแม้จะยังรู้สึกหวาดกลัวอยู่บ้าง แต่ก็สัมผัสได้ว่าฝ่ายตรงข้ามไม่ได้มีเจตนาร้าย

“ อาตมาขอแสดงความเสียใจด้วย ที่สามารถช่วยสีกาออกมาได้เพียงผู้เดียว แต่สีกาไม่ต้องเป็นกังวล ฝ่ายตรงข้ามไม่กล้าสังหารตัวประกันแน่นอน ”

เสียงปริศนาดังขึ้นในความคิดจ้าวหยูเหมยอีกครั้ง แต่คราวนี้เธอเริ่มสัมผัสได้ถึงความเชื่อมโยงบางอย่าง จึงกวาดตามองไปทางพระพุทธรูปตรงกลางห้องทันที

‘ อารามแห่งนี้ดูเก่าแก่โบราณเป็นอย่างมาก ซึ่งก็เต็มไปด้วยฝุ่นหนาจับเป็นชั้นๆ พร้อมกับใยแมงมุมเกี่ยวโยงไปทั่ว แสดงให้เห็นว่าขาดการดูแลมาเนิ่นนาน ’

‘ มีเพียงพระพุทธรูปสีทองเท่านั้น ที่ดูเหมือนจะถูกสร้างขึ้นใหม่ ทั้งยังเปล่งประกายระยิบระยับเหมือนแสงดาว เสียงที่ฉันได้ยินจะต้องเกี่ยวข้องกับของสิ่งนี้แน่ๆ ’

จ้าวหยูเหมยเดินเข้าไปสังเกตดูพระพุทธรูปสีทองใกล้ๆด้วยความอยากรู้อยากเห็น จนผ่านไปครู่หนึ่งเมื่อไม่พบถึงความผิดปกติ จึงคิดจะลองเอื้อมมือไปสัมผัสดู

แต่ทว่า

แวบ!

ก่อนที่มือของเธอจะแตะโดนพระพุทธรูป รัศมีสีทองก็ระเบิดออกมาเสียก่อน จากนั้นดวงตาของพระพุทธรูปก็ลืมขึ้นช้าๆ และจ้องมองมายังเธอด้วยความสงบ

“ พระพุทธรูปมีชีวิตงั้นเหรอ… ” จ้าวหยูเหมยอ้าปากค้างด้วยความตกใจ ถึงแม้เธอจะเคยพบเห็นเรื่องราวเหนือธรรมชาติมาบ้างตลอดระยะเวลาที่ได้อาศัยอยู่กับครอบครัว แต่ตัวเธอเองก็ไม่ได้เลือกเข้าสู่วิถีแห่งการฝึกตน จึงเป็นเหตุผลที่รู้สึกไม่คุ้นชินเท่าไหร่

‘ เดี๋ยวนะ พระพุทธรูปพูดได้ คงไม่ใช่ว่า…. ’

“ อาตมาคือพระอมิตาพุทธแห่งแดนสุขาวดี ไม่ใช่ภูตผีตามที่สีกาเข้าใจหรอก นี่เป็นเพียงการส่งผ่านจิตวิญญาณลงมาสถิตยังพระพุทธรูปเพื่อใช้ในการสื่อสารเท่านั้น เพราะโลกมนุษย์ไม่อาจรองรับกายทิพย์ของอาตมาได้ ” พระพุทธรูปทองคำพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน ราวกับอ่านใจของเธอออก

เมื่อถูกเปิดโปงความคิดในใจ ใบหน้าของจ้าวหยูเหมยก็เปลี่ยนเป็นสีแดงก่ำด้วยความเขินอาย แต่เธอก็ฉลาดพอที่จะเปลี่ยนประโยคสนทนา เป็นการซักถามเรื่องราวทั้งหมดที่เกิดขึ้นแทน

ซึ่งอีกฝ่ายก็ตอบออกมาตามตรงแบบพอสังเขป ทำให้เธอรู้สึกดีใจมากที่ได้รู้ว่าจ้าวเทียนกำลังจะมารับตนเองกลับไป

ในเวลาเดียวกัน

การต่อสู้ระหว่างจ้าวเทียนกับพญาวานรเห้งเจียได้ข้ามผ่านสองพันกระบวนท่าไปเรียบร้อยแล้ว ทั้งสองฝ่ายได้รุกรับกันด้วยความรวดเร็ว จนเกิดเป็นภาพติดตาจำนวนมากซ้อนทับกันถี่รัว

เปรี้ยง!ๆๆๆๆๆๆๆ ตูม!ๆๆๆๆ

เพียงเสี้ยววินาทีที่ผ่านพ้น ก็เกิดเสียงระเบิดอากาศจากการปะทะกันของกระบี่ราชันสวรรค์และกระบองกายสิทธิ์หลายสิบครั้ง ส่งผลให้พื้นหินแตกลึกเป็นทางยาว ก่อนจะถูกพลังงานบางอย่างซ่อมแซมกลับคืนมาอีกครั้ง

เพราะกฎเกณฑ์ที่ตั้งไว้ ว่าจะไม่สร้างความเสียหายให้สภาพแวดล้อมโดยรอบ ทำให้ทั้งสองฝ่ายต้องควบคุมการโจมตีอย่างแม่นยำ

เปรี้ยง! อั่ก!

ถึงแม้จ้าวเทียนจะสามารถใช้ด้ามกระบี่กระแทกใส่ เพื่อเบี่ยงวิถีกระบองในเสี้ยววินาทีสุดท้าย จนมันถากสีข้างของเขาไปเล็กน้อย

แต่ความเสียหายที่ได้รับกลับรุนแรงเป็นอย่างมาก จนมองเห็นบาดแผลฉีกกว้างเป็นทางยาว และกระดูกซี่โครงที่แตกหักไปถึงสามซี่ได้อย่างชัดเจน

‘ ถึงคราวฉันบ้าง! ’

แววตาของจ้าวเทียนเปลี่ยนเป็นดุดันในพริบตา เหตุผลที่เขาใช้ด้ามกระบี่ป้องกันก็เพื่อให้สามารถโจมตีสวนกลับอีกฝ่ายได้

ไม่ใช่แค่เห้งเจียที่หวังตัดสินผลแพ้นะในครั้งนี้ แต่จ้าวเทียนก็ตัดสินใจจบการต่อสู้ให้เร็วเช่นเดียวกัน

“ กระบี่สรรพสิ่ง! ”

การโจมตีครั้งนี้ได้หลอมรวมแก่นแท้แห่งกระบี่ทั้งสองชาติภพของจ้าวเทียน เสริมด้วยขอบเขตฟ้าดินแห่งกระบี่ในตำนาน มันได้ผสานเป็นหนึ่งเดียวสรรพสิ่งทั้งมวลและหายไปจากสายตาของเห้งเจียในเสี้ยววินาที

ฉัวะ!

กระบี่นี้เหมือนข้ามผ่านมิติและกาลเวลา เกิดเป็นเส้นแสงสีขาวทะลวงเข้าใส่กลางหน้าผากของพญาวานรอย่างแม่นยำ จนร่างของเขาสั่นสะท้านอย่างรุนแรง

“ ฮา ฮา ช่างเป็นกระบี่ที่เฉียบคมนัก สมแล้วที่ไอสามตาต้องจุติลงมาจัดการกับเจ้าด้วยตนเอง ” เห้งเจียพูดขึ้นอย่างชื่นชม ทั้งที่กระบี่ของจ้าวเทียนยังคงเสียบคาอยู่กลางหน้าผาก

“ คุณเองก็แข็งแกร่งสมดังคำล่ำลือเช่นเดียวกัน หากนี่เป็นร่างจริงของคุณ ผลลัพธ์คงไม่ง่ายดายถึงเพียงนี้ ” ถึงแม้จ้าวเทียนจะพูดออกไปแบบนั้น แต่เขาก็มั่นใจว่าในระดับพลังเท่าเทียมกันตนเองก็ไม่พ่ายแพ้แน่นอน

“ ครั้งนี้เจ้าทำให้ข้าสนุกมาก และเพื่อเป็นการชดเชยที่ทำให้เจ้าเสียเวลา ข้าจะมอบของกำนัลให้เจ้าซักหน่อยก็แล้วกัน ”

สิ้นเสียง ร่างของเห้งเจียก็แปรเปลี่ยนเป็นเส้นขนสีทอง ลอยสงบนิ่งอยู่ตรงหน้าจ้าวเทียนเหมือนต้องการให้เขารับเอาไว้

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: จุติใหม่มหาเทพตี้เทียน