ณ พระราชวังต้องห้ามโลกทิพย์อสูร สถานที่แห่งนี้ได้รับการคุ้มกันอย่างแน่นหนา เนื่องจากเป็นที่ตั้งของศาลบูชาบรรพชนของตระกูลจักรพรรดิ จึงมีเพียงสมาชิกในราชวงศ์เท่านั้นถึงได้รับอนุญาตให้เข้ามาได้
ในเวลาปัจจุบัน จักรพรรดิโลกอสูรเซียวหยูพร้อมด้วยฮองเฮาและองค์ชายรัชทายาท ได้พากันมานั่งคุกเข่ารอคอยอยู่ด้านหน้าตำหนัก เป็นเวลาเกือบสองชั่วโมงด้วยความคาดหวัง
ราวกับว่าขอเพียงให้ผู้ที่อยู่ด้านในยอมปรากฏกายออกมา ต่อให้พวกเขาต้องคุกเข่าต่อไปอีกสามวันสามคืนก็ยอม
“ องค์จักรพรรดิเสด็จกลับไปเถิดพะยะค่ะ หากพระบิดาของพระองค์ไม่ประสงค์จะพบหน้าผู้ใดจริงๆ ต่อให้คุกเข่าต่อไปก็ไร้ประโยชน์ ” ขันทีชราชุดดำพูดขึ้นด้วยใบหน้าไร้อารมณ์ แม้คำพูดจะดูสุภาพอ่อนน้อม แต่น้ำเสียงแสดงออกชัดเจนว่าไม่ค่อยพอใจนัก
ชายชราผู้นี้ถูกเรียกว่าเซียวกงกง เป็นขันทีคนสนิทของอดีตจักรพรรดิพระองค์ก่อน การที่ขันทีคนหนึ่งสามารถใช้แซ่เดียวกับราชวงศ์ ทำให้คาดเดาได้ไม่ยากว่าจะต้องมีความเป็นมาไม่ธรรมดา
ขุนนางน้อยใหญ่เวลาพบหน้าเซียวกงกง จึงต้องแสดงการคารวะอย่างนอบน้อมทุกครั้ง เพราะแม้แต่จักรพรรดิองค์ปัจจุบัน ยังต้องเรียกอีกฝ่ายเป็นผู้อาวุโสทุกคำเวลาสนทนาด้วย
“ ผู้อาวุโส นี่เสด็จพ่อคิดจะนิ่งเฉยทนดูราชวงศ์ของพวกเราต้องประสบหายนะจริงๆรึ ” จักรพรรดิเซียวหยูกัดฟันพูดขึ้นด้วยสีหน้าเคร่งเครียด
ตั้งแต่ผู้นำตระกูลมู่กับกลุ่มมือสังหารขาดการติดต่อไป จักรพรรดิเซียวหยูก็สัมผัสได้ถึงลางสังหรณ์อันเลวร้ายทันที ทางเดียวที่จะรอดจากวิกฤตการณ์ครั้งนี้ได้ มีแต่ต้องขอความช่วยเหลือจากขุมกำลังที่อยู่เบื้องหลังราชวงศ์ผ่านทางพระบิดาตนเองเท่านั้น
‘ บัดซบ ใครเล่าจะคิดว่าเทพโลกาขั้นสูงตั้งเจ็ดคน จะไม่อาจสังหารผู้ฝึกตนระดับต่ำคนเดียวได้ ซ้ำร้ายยังกลับกลายเป็นฝ่ายถูกจัดการซะเองอีก ’
นี่ถือเป็นเรื่องที่ทำให้จักรพรรดิเซียวหยูรู้สึกกดดันมาก เพราะแผนการที่วางเอาไว้อย่างดีต้องมาสะดุดลงตั้งแต่ขั้นแรกไม่พอ ยังจะมาสูญเสียผู้ช่วยคนสำคัญและแพะรับบาปไปอีกด้วย
“ เหอะ! องค์จักรพรรดิกล้าตรัสออกมาเช่นนี้ได้อย่างไร ในเมื่อต้นเหตุของปัญหาทุกอย่างก็เกิดขึ้น ก็มาจากตัวพระองค์เองทั้งนั้น ” เซียวกงกงพูดตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงเย็นชา
ทั้งที่ตนเองกับอดีตจักรพรรดิเคยห้ามปรามไว้แล้ว อีกฝ่ายก็ยังกล้าแอบกระทำโดยไร้ซึ่งความเกรงกลัว แต่พอถึงตอนเกิดปัญหาที่แก้ไขไม่ได้ขึ้นจริงๆ ก็รีบพาครอบครัวมาคุกเข่าร้องขอความเมตตา แบบนี้มันดูง่ายดายเกินไปหรือเปล่า
“ เรียนเซียวกงกง นี่เป็นความคิดหลงผิดชั่ววูบแล้วทำไปโดยพลการของบิดาผู้เยาว์เอง ผ่าบาทไม่ได้รู้เห็นด้วย ขอท่านได้โปรดให้ความเห็นใจด้วยเถิด ” ฮองเฮารีบขอร้องอ้อนวอนทั้งน้ำตา
แม้เธอจะรู้ว่า ที่บิดายอมทำตามค่ำสั่งสามีทุกอย่างก็เพื่ออนาคตของตัวเธอเอง แต่ในเมื่อเรื่องมันมาถึงขั้นนี้แล้ว ก็จำเป็นต้องโยนความผิดทั้งหมดให้บิดาที่เสียชีวิตไป เพื่อรักษาอำนาจวาสนาและศักดิ์ฐานะของบุตรชายเอาไว้
“ ทุกอย่างที่ฮองเฮาพูดมานั้นเป็นความจริงทุกประการ ข้าไม่เคยออกคำสั่งให้ผู้นำตระกูลมู่ลงมือกับองค์หญิงทั้งสองเลยแม้แต่ครั้งเดียว นั่นเป็นการตัดสินใจโดยพลการของเขาเองทั้งสิ้น ” จักรพรรดิเซียวหยูรีบพูดเสริมขึ้น พร้อมทั้งส่งสัญญาณบางอย่างให้บุตรชายตนเอง
“ ท่านปู่กงกง ได้โปรดช่วยเหลือพระบิดากับพระมารดาด้วย หลังจากนี้ข้าจะตั้งใจศึกษาเล่าเรียนกับท่านให้ดี ไม่แอบหนีไปเที่ยวไหนอีกแล้ว” องค์ชายน้อยคลานเข้ามากอดขาเซียวกงกง แล้วพูดขอร้องอ้อนวอนอย่างน่าสงสาร
“ นี่พวกเจ้า… ” เซียวกงกงเกร็งขาค้างไว้ นึกคำด่าไม่ออกแม้แต่คำเดียว อีกฝ่ายต้องการใช้ความบริสุทธิ์ไร้เดียงสาขององค์ชายให้เป็นประโยชน์ชัดๆ
ทันใดนั้น
“ พอแล้ว จะทำสิ่งใดก็หัดคำนึงถึงศักดิ์ศรีของราชวงศ์บ้าง ”
ชายชราผมขาวสวมชุดคลุมสีม่วงปักลายทอง เดินเปิดประตูตำหนักออกมาด้วยท่าทีเคร่งเครียด ราวกับทนความไร้ยางอายของจักรพรรดิเซียวหยูไม่ไหวอีกต่อไป
นี่คืออดีตจักรพรรดิเซียวหมิงเทียน ซึ่งได้ชื่อว่ามีพระปรีชาสามารถที่สุดในรอบสามแสนปีของราชวงศ์กิเลนเนตรเพลิงสวรรค์ นอกจากจะเป็นอัจฉริยะทางด้านการต่อสู้แล้ว ยังโดดเด่นในเรื่องการปกครองและการสร้างสายสัมพันธ์กับขุมกำลังอื่นๆอีกด้วย
“ คารวะ พระบิดา! ”
ทั้งจักรพรรดิเซียวหยูและฮองเฮาพูดขึ้นพร้อมกัน ภายในใจก็อดรู้สึกยินดีมิได้ ที่แผนการทรมานสังขารเพื่อเรียกคะแนนเห็นใจของพวกตนสำเร็จ
“ เสด็จปู่ ” องค์ชายน้อยร้องเรียกเสียงดัง พร้อมกับรีบวิ่งโผเข้าไปกอดชายชราโดยไม่ต้องให้ใครมาสั่ง เพราะสำหรับเด็กชายวัยเยาว์อย่างเขา ชายชราที่อยู่ตรงหน้าทั้งรักและเอ็นดูตามใจยิ่งกว่าบิดามารดาตัวเองเสียอีก
“ ใช่จริงๆด้วย ข้าจดจำรูปลักษณ์อันโดดเด่นของนางได้แม่นยำ ว่าแต่แทนที่จะเก็บตัวฝึกฝนเตรียมรับศึกมหาเทพอวี่หวงอยู่ในสำนัก นางกลับมาปรากฏตัวที่ดาราจักรห่างไกลเพราะเหตุใดกัน ”
“ อืม ดูเหมือนจุดหมายปลายทางของนางน่าจะเป็นโลกทิพย์สัตว์อสูรนะ ข้าคิดว่าอาจกำลังจะมีเรื่องน่าสนใจเกิดขึ้นแน่ๆ พวกเรารีบตามไปดูเถอะ ”
การเดินทางหลินซินเยว่ไม่ได้ปิดบังร่องรอยของตนเองแม้แต่น้อย มันจึงดึงดูดความสนใจของเหล่าผู้ฝึกตนจำนวนมาก
ตั้งแต่ราชันผู้ปกครองดาราจักรอันยิ่งใหญ่ ไปจนถึงจักรพรรดิแห่งดวงดาว ล้วนเกิดความสงสัยใคร่รู้จนต้องแอบติดตามมาสังเกตการณ์ทั้งสิ้น
ยังไม่หมดเพียงเท่านี้ เพราะเมื่อเวลาผ่านไปข่าวลือก็ได้แพร่กระจายออกไปเป็นวงกว้าง จนแม้แต่ผู้ยิ่งใหญ่แห่งแดนสวรรค์หลายท่าน ก็ยังส่งผ่านเจตจำนงมาตรวจสอบดู แน่นอนว่าหนึ่งในนั้นจะต้องมีคู่ปรับคนสำคัญอย่างมหาเทพอวี่หวงอยู่ด้วย
“ เหอะ กล้าปิดกั้นห้วงมิติเวลาไว้ ไม่ให้ข้าเข้าไปยังโลกทิพย์ของพวกเจ้างั้นรึ ” หลินซินเยว่แค่นเสียงเย็นชา จากแดนสวรรค์ข้ามผ่านห้าดาราจักรใหญ่เธอใช้เวลาเดินทางแค่ไม่ถึงครึ่งชั่วโมง ไม่นึกเลยว่าฝ่ายตรงข้ามยังจะสามารถเตรียมตัวป้องกันได้ทัน
“ เปิดออกให้ข้า! ”
ฉัวะ!
หลินซินเยว่ใช้ดรรชนีกระบี่กรีดไปที่ห้วงอวกาศด้านหน้าอย่างรวดเร็ว จนเกิดเป็นรอยแยกสายหนึ่ง มองเห็นดวงดาวสีแดงสว่างไสวขนาดใหญ่หลบซ่อนอยู่ด้านใน
ครืนน!
สัญลักษณ์รูปยี่สิบแปดกลุ่มดาวปรากฏขึ้นซ้อนทับกับรอยแยก นี่คือตราผนึกแห่งกฎเกณฑ์ระดับสูง ที่ทำให้รอยแยกไม่อาจซ่อมแซมตัวเองได้ภายช่วงระยะเวลาหนึ่ง
“ จักรพรรดิเซียวหยู! ข้าให้เวลาเจ้าสามลมหายใจ จะยอมโผล่หัวออกมาเองดีๆหรือจะให้ข้าลากเจ้าออกมาจากในกระดอง จงเลือกเอา ”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: จุติใหม่มหาเทพตี้เทียน
ดีๆๆเดินเรื่องดี...
ต่อๆไป...
ขอบคุณทีมงานที่นำเรื่องดีๆมาลงให้อ่าน...