.ในโลกของผู้ฝึกตนไม่ว่าจะเป็นผู้แข็งแกร่งหรืออ่อนแอ หากไม่ได้ฝึกฝนจิตใจจนละทิ้งกิเลสทั้งมวลเหมือนเหล่าพระโพธิสัตว์แล้ว ก็ล้วนแต่มีความโลภในทรัพยากรชั้นเลิศและทรัพย์สมบัติอันเหนือล้ำทั้งสิ้น
เพราะสิ่งเหล่านี้คือแรงผลักดันให้ผู้ฝึกตนสามารถทลายขีดจำกัด ปีนป่ายขึ้นสู่บัลลังก์แห่งจุดสูงสุดตามที่คาดหวัง
ซึ่งตั้งแต่อดีตถึงปัจจุบัน ก็ไม่รู้มีอัจฉริยะชื่อเสียงโด่งดังมากมายเท่าไหร่ ที่ประเมินความแข็งแกร่งตัวเองผิดพลาด แล้วตัดสินใจเดิมพันทุกสิ่งทุกอย่างเพื่อความทะเยอทะยานของตน
จนสุดท้าย ผู้ฝึกตนที่โง่เขลาเหล่านั้นก็ตกตายไปอย่างไร้ค่า เหมือนดาวหางที่เปล่งประกายบนขอบฟ้าได้เพียงครู่เดียว หาใช่ดวงตะวันที่เจิดจ้าตลอดกาล
‘ จิ้งจอกเฒ่าเซียวหมิงเทียน ช่างรู้จักฉวยโอกาสจริงๆ ’
หลินซินเยว่กวาดสายตามองไปรอบๆด้วยรอยยิ้มผ่อนคลาย หาได้มีท่าทีเกรงกลัวศัตรูกลุ่มใหม่ที่เข้ามารุมล้อมตัวเองแม้แต่น้อย ราวกับฝ่ายตรงข้ามเป็นเพียงอากาศธาตุไม่ควรค่าให้ใส่ใจ
“ มหาเทพอวี่หวง แล้วท่านล่ะ ไม่คิดจะลงมาร่วมสนุกด้วยงั้นรึ ” หลินซินเยว่จับจ้องไปทางห้วงอวกาศอันดำมืด ซึ่งอยู่ฝั่งตรงข้ามกับพวกราชันเทพโอดิน
สิ้นเสียง บรรยากาศโดยรอบก็แปรเปลี่ยนเป็นหนักอึ้ง ก่อนที่ความกดดันไม่ทราบที่มาจะเริ่มถาโถมเข้าใส่ผู้อยู่ในเหตุการณ์ทุกคน
แวบ!
ร่างของมหาเทพอวี่หวงปรากฏขึ้นจากความว่างเปล่า เขานั่งพิงอยู่บนบัลลังก์จักรพรรดิสง่างาม โดยมีแม่ทัพเทพเอ้อหลางเสินยืนอารักขาอยู่ด้านหลัง
“ จักรพรรดินีเทพหลินซินเยว่ไม่ต้องกังวล ข้าไม่เคยผิดคำพูดมาก่อน ”
“ หึหึ ท่านไม่ต้องการผิดคำพูด ก็เลยส่งคนอื่นมาทดสอบความแข็งแกร่งของข้าแทนสินะ ” หลินซินเยว่พูดขึ้นอย่างรู้ทัน ถ้ามหาเทพอวี่หวงไม่อนุญาต ย่อมไม่มีทางที่พวกเทพแอรีสจะกล้าสอดมือเข้ามาแน่นอน
“ ….. ” มหาเทพอวี่หวงยิ้มมุมปาก โดยไม่ได้ตอบอะไรกลับไป
หลินซินเยว่ที่เห็นอีกฝ่ายไม่ยอมหลงกลก็ถอนหายใจเบาๆ จากนั้นเธอก็เปลี่ยนเป้าหมายใหม่เป็นแม่ทัพเทพเอ้อหลางเสินทันที
“ เอ้อหลางเสิน สุนัขของเจ้าไปไหนเสียแล้วล่ะ ”
!!
“ หลินซินเยว่! นี่เจ้า ” เอ้อหลางเสินใบหน้าแดงก่ำด้วยความโกรธ
เรื่องที่ร่างอวตารของเห่าฟ้าถูกจ้าวเทียนสังหารบนโลกมนุษย์ จนต้องสูญเสียดวงวิญญาณไปครึ่งหนึ่งทั่วทั้งแดนสวรรค์ต่างรู้ดี กล้าถามมาแบบนี้แสดงว่าอีกฝ่ายมีเจตนากระตุ้นโทสะเขาชัดๆ
“ หยุด! ”
มหาเทพอวี่หวงพูดออกมาเพียงคำเดียว ก็ทำให้เอ้อหลางเสินที่กำลังจะอาละวาดสงบนิ่งลงทันตาเห็น
“ อืม ช่างเป็นสุนัขที่เชื่อฟังจริงๆ ไม่แปลกใจเลยที่ท่านมักพาไปไหนต่อไหน ”
“ พอได้แล้ว เลิกยั่วโมโหคนของข้าซักที ตอนนี้ท่านควรให้ความสนใจกับคู่ต่อสู้ที่ยืนอยู่ตรงหน้ามากกว่านะ ” มหาเทพอวี่หวงพูดขึ้นด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ แต่แววตาเขาแสดงออกชัดเจนว่ากำลังไม่พอใจ
“ คู่ต่อสู้? ท่านหมายถึงผู้ใดกัน ” หลินซินเยว่แกล้งมองผ่านพวกเทพแอรีสไปราวกับพวกเขาไม่มีตัวตน ขณะที่ร่างแยกของเธอก็แอบเตรียมการบางอย่างโดยไม่มีผู้ใดสังเกตเห็น
“ ไม่เห็นพวกข้าอยู่ในสายตางั้นรึ ดีมาก อยากรู้นักว่าเจ้าจะทำเป็นแสแสร้งต่อไปได้อีกนานซักเท่าไหร่กัน ” เทพแอรีสพูดขึ้นด้วยความโกรธ เทพสงครามผู้ยิ่งใหญ่อย่างเขาไม่เคยโดนมองข้ามขนาดนี้มาก่อน
“ เหอะๆ แอรีส แม้แต่ศิษย์ของข้าเจ้ายังเอาชนะไม่ได้เลย ถือสิทธิ์อะไรมาท้าทายข้าผู้เป็นอาจารย์ ”
“ บัดซบ ถ้าร่างจริงของข้าจุติลงไปบนโลกมนุษย์ได้ คิดหรือว่าข้าจะพ่ายแพ้ให้กับมนุษย์ชั้นต่ำแบบนั้น ” เทพแอรีสตะโกนออกมาอย่างเดือดดาล เนื่องจากเรื่องนี้ถือเป็นความอัปยศที่สุดตั้งแต่เขาถือกำเนิดมา
“ ยอมรับออกมาแล้วสินะ ว่าในขอบเขตพลังเดียวกันเจ้าไม่สามารถต่อกรกับศิษย์ของข้าได้ ”
“ นี่เจ้า! ” เทพแอรีสกัดฟันแน่นไม่ให้เผลอหลุดปากออกมา ในเมื่อรู้ตัวว่าคงเถียงสู้อีกฝ่ายไม่ได้ บางทีการเงียบเอาไว้ก็เป็นทางออกที่ดีที่สุด
ทันใดนั้นเอง
วูป!
โฮกกก!
ราชันมังกรทองม้วนตัวขดเป็นก้อนกลมเพื่อปกป้องเจ้านายไว้ด้านใน อาศัยเกล็ดอันหนาแข็งแกร่งและเลือดเนื้อของตนต้านทานการโจมตีทั้งหมดเอาไว้
เปรี้ยงง!ๆๆๆๆ ตูม!ๆๆๆๆๆๆ ครืนนน!
เพียงการโจมตีของห้าผู้ยิ่งใหญ่มาถึง ลำตัวของมังกรทองก็แทบจะขาดออกเป็นส่วนๆ นี่ยังไม่รวมเจ็ดพระโพธิสัตว์และสัตว์พาหนะคู่กายอีก ดังนั้นเมื่อทุกอย่างจบลงมังกรทองก็ถูกบดขยี้เป็นจุลไปเรียบร้อย
แต่ทว่า
ท่ามกลางเศษซากมังกรทองที่กำลังจะสลายตัวไป หลินซินเยว่และร่างแยกของเธอก็ได้หยิบสิ่งของบางอย่างออกมา แล้วสะบัดมือส่งพวกมันออกไปยังตำแหน่งที่กำหนดไว้อย่างแม่นยำ
นี่คือ…กระบี่สำริดสีดำจำนวนยี่สิบแปดเล่ม ที่ถูกจารึกไว้ด้วยอักขระเทพบรรพกาล พวกมันได้ปักตรึงห้วงอวกาศรอบนอกปิดล้อมศัตรูทั้งหมดเอาไว้
“ กระบี่พวกนี้ หรือว่า…แย่แล้วพวกเจ้ารีบถอยกลับมาเร็ว ”
มหาเทพหวี่หวงรีบตะโกนขึ้นอย่างร้อนรน หากไม่ติดเรื่องข้อตกลง เขาคงทะยานเข้าไปกระชากตัวพวกเทพแอรีสกลับมาเองแน่นอน
“ เหอะ มันสายไปแล้ว ” หลินซินเยว่แค่นเสียงเย็นชา พร้อมทั้งวาดฝ่ามือออกไปเบื้องหน้าทันที
วิ้งงงง!
พริบตานั้นเอง จุดแสงจำนวนนับไม่ถ้วนที่เกิดจากการสลายตัวของมังกรทอง ก็ได้เชื่อมโยงกับกระบี่สำริดยี่สิบแปดเล่ม เปลี่ยนเป็นตาข่ายฟ้าดินขนาดยักษ์ผนึกกักขังศัตรูทั้งหมดไว้ด้านใน
“ กลิ่นอายแบบนี้ไม่ผิดแน่ นี่นางถึงกับกล้านำค่ายกลยี่สิบแปดดาราที่แท้จริงออกมาจากสำนักเลยงั้นเหรอ ” แม่ทัพเทพเอ้อหลางเสินพูดขึ้นด้วยความหวาดกลัว ก่อนที่จะนึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้
“ ไม่ซิ เดี๋ยวก่อน ตามที่ข้ารู้มาค่ายกลนี้ไม่สามารถเคลื่อนย้ายได้ไม่ใช่เหรอ มิเช่นนั้นสำนักดาราสวรรค์คงกลายเป็นขุมกำลังอันดับหนึ่งไปนานแล้ว ”
ไม่ใช่แค่เอ้อหลางเสินคนเดียวที่ตกใจ แม้แต่มหาเทพอวี่หวงก็ยังมีสีหน้ามองคล้ำลงอย่างเห็นได้ชัด หลินซินเยว่ทำในสิ่งที่แม้แต่บรรพจารย์ผู้ก่อตั้งของสำนักดาราสวรรค์ยังทำไม่ได้ ได้อย่างไรกัน
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: จุติใหม่มหาเทพตี้เทียน
ดีๆๆเดินเรื่องดี...
ต่อๆไป...
ขอบคุณทีมงานที่นำเรื่องดีๆมาลงให้อ่าน...