ภายในสถานที่รวมตัวของเหล่าเทพชั้นสูง ไม่ว่าจะเป็นท้องพระโรงวังมหาเทพหรือพระราชวังแอสการ์ด เวลานี้ล้วนเต็มไปด้วยความสับสนวุ่นวายเพราะการหายตัวไปของผู้นำทั้งสอง
“ ท่านโอดินฉีกมิติเคลื่อนย้ายไปโลกมนุษย์แล้ว กระทั่งท่านโอซีริสกับเทพีอามาเทราสุเองก็จากไปด้วย อย่าบอกนะว่าเป็นเพราะมนุษย์คนนั้น”
“ บัดซบ! ดูคราบโลหิตบนพื้นนั่นสิ พวกเราไม่ได้ตาฝาด ราชันเทพโอดินจะต้องได้รับบาดเจ็บด้วยฝีมือมนุษย์แน่นอน ”
“ สัมผัสแบบนี้ อะไรกัน! แม้แต่องค์มหาเทพก็ยังเคลื่อนไหวด้วยตนเองงั้นหรือ อย่าบอกนะว่ามนุษย์คนนั้นจะสามารถสังหารเทพเจ้าผ่านทางร่างอวตารได้จริงๆ ”
เดิมทีบรรดาเทพเจ้าทั้งหลาย คิดว่ามนุษย์เป็นเพียงมดที่อยู่ในกรงหนาม ต่อให้ยื่นนิ้วเข้าไปแล้วถูกมดกัดบ้าง มันก็แค่แสบๆคันๆไม่นานก็หายดี
แต่ทว่า หากมดในกรงบางตัวเกิดมีพิษร้ายแรง จนถึงขนาดสามารถสังหารช้างได้ล่ะ ยังจะมีใครกล้าล้อเล่นกับชีวิตตนเองอีกไหม นี่ถือเป็นปัญหาสำคัญที่จะต้องตรวจสอบอย่างเร่งด่วน เพราะมันจะส่งผลกระทบต่อแผนการในอนาคตแน่นอน
ในเวลาเดียวกัน
จ้าวเทียนที่เพิ่งฟันกระบี่ออกไป ก็ส่ายหน้าเบาๆด้วยความผิดหวัง ดูเหมือนถ้าต้องการสังหารราชันเทพโอดิน โดยคิดจะอาศัยเพียงเคล็ดวิชาตัดชะตากรรมและความแข็งแกร่งของตัวเองคงไม่พอ
มันจะต้องใช้พลังพิเศษของอาวุธมารต้องห้ามเข้ามาเสริมด้วย จึงจะมีโอกาสปลิดชีพศัตรูได้สำเร็จ
เมื่อตัดสินใจได้ จ้าวเทียนก็ตบฟาดฝ่ามือเข้าใส่อกซ้ายตัวเอง แล้วพ่นเลือดสีแดงฉานใส่กระบี่ในมืออย่างไม่ลังเล ซึ่งนี่ก็คือแก่นโลหิตบริสุทธิ์จากหัวใจของเขาเอง
อั่ก! พร๊วด!
แวบ! วิ้งงงง!ๆ
กระบี่ทมิฬได้เปล่งแสงสว่างอันเจิดจ้าออกมา พร้อมเกิดท่วงทำนองเสียงมารอันลี้ลับ จากยุคบรรพกาลดังสะท้อนไปทั่วบริเวณ ส่งผลให้ผู้ที่ได้ยินตกอยู่ในภวังค์หลงลืมตนเองไปครู่หนึ่ง
บูมมม!
พลังโกลาหลของจ้าวเทียนก็หลอมรวมเข้ากับอาวุธ ปรากฏเป็นเงากระบี่พุ่งทะลวงท้องฟ้าและขยายขนาดใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ
“ นี่มัน แย่แล้ว ” จ้าวเทียนสัมผัสได้ว่าพลังชีวิตและอายุขัยของตนถูกดึงดูดออกไปอย่างรวดเร็ว จนผิวหนังเริ่มเหี่ยวย่น เส้นผมเปลี่ยนเป็นสีขาวราวกับคนชรา
น่าเสียดายที่ตัวเขามีโอกาสเพียงครั้งเดียวเท่านั้น จึงไม่อาจยกเลิกกลางคันได้ หากหยุดไว้แค่นี้ทุกอย่างที่เสียสละไปก็จะสูญเปล่าทันที มันคือการแลกเปลี่ยนที่เท่าเทียม เพื่อให้ได้พลังในการสังหารราชันเทพผู้ยิ่งใหญ่
“ ให้ฉันช่วยไหม ” ลี่เหยาเหยาพูดขึ้นด้วยรอยยิ้ม ก่อนจะเดินเข้ามาสัมผัสฝ่ามือไปที่แผ่นหลังของจ้าวเทียน ช่วยถ่ายทอดพลังชีวิตอันบริสุทธิ์ให้
“ อาจารย์คะ หนูจะช่วยด้วย ” โม่ปิงหยูเองก็เข้ามาถ่ายทอดแก่นแท้ชีวิตให้จ้าวเทียนเช่นเดียวกัน และด้วยกลิ่นอายจิตวิญญาณโอสถจักรพรรดิของเธอ ก็ทำให้เขาฟื้นฟูรูปโฉมกลับมาเป็นหนุ่มอีกครั้ง
นอกจากนี้ ที่ด้านหลังของพวกเธอยังมีโม่ซินหยาน เฉินจิ้ง เจนนี่และเหล่าครึ่งอสูรสาวทุกคน ต่างพากันถ่ายทอดพลังชีวิตเข้าสู่ร่างของจ้าวเทียนเป็นทอดๆอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้เงากระบี่ขนาดยักษ์เพิ่มขนาดขึ้นเกือบสามเท่าในพริบตา
“ ช่างเป็นความกดดันที่รุนแรงจริงๆ เพียงแค่มองมันจากตรงนี้ ฉันก็รู้สึกสั่นสะท้านไปทั้งดวงวิญญาณเลยทีเดียว ” มอร์แกน เลอเฟย์พูดขึ้นด้วยความตกใจ เนื่องจากตัวเธอและสาวใช้คนอื่นๆสูญเสียพลังในโลกมิติมายามากเกินไปจึงไม่ได้เข้าร่วมด้วย
“ ใกล้แล้ว อีกเพียงนิดเดียวเท่านั้น ” จ้าวเทียนกัดฟันพูดขึ้น ก่อนที่จะพยายามยกกระบี่ขึ้นเหนือศีรษะช้าๆ ทำให้ภาพลวงตาของกระบี่ยักษ์เคลื่อนไหวตาม จนห้วงมิติบนท้องฟ้าฉีกขาดเป็นรอยแยกขนาดใหญ่
ใครก็ตามที่สัมผัสได้ถึงกลิ่นอายแท้จริงของกระบี่เล่มนี้ ย่อมต้องรู้สึกหวาดกลัวจนสุดขั้วหัวใจอย่างแน่นอน ไม่เว้นแม้แต่พวกราชันเทพโอดินที่เพิ่งจะฉีกมิติออกมา ด้านนอกระบบสุริยะของโลก
“ บัดซบ อาวุธระดับพระเจ้าที่มีทักษะต้องห้ามในการตัดวิญญาณ ไม่ใช่ว่ามันสมควรถูกทำลาย ไปตั้งแต่มหาสงครามเทพมารแล้วงั้นเหรอ ” เทพโอดินพูดขึ้นด้วยใบหน้าซีดขาว
ทันใดนั้น
“ จงถอยกลับไปซะ! ”
จักรพรรดินีหลินซินเยว่ปรากฏกายขึ้นจากความว่างเปล่า เพียงแค่สะบัดมือออกไปเบาๆ ค่ายกลเทวะบรรพกาลยี่สิบแปดดาราก็ปกคลุมฝ่ายตรงข้ามทั้งหมดเอาไว้
“ หยุดนางไว้! ”
มหาเทพอวี่หวงตะโกนเสียงดัง พร้อมกับปลดปล่อยค่ายกลเจ็ดดาวเหนือเทียนกังออกไปต้านทานฝ่ายตรงข้าม ส่งผลให้ม่านพลังค่ายกลยี่สิบแปดดาราถูกผลักดันกลับไป
“ ทัณฑ์มหาอสนีพิโรธ! ”
“ เก้าสุริยันผลาญโลกา! ”
ม้วนคัมภีร์สีทองถูกกางออกด้วยตัวมันเอง เกิดเป็นร่างเจตจำนงของมหาเทพอวี่หวง ขวางกั้นการโจมตีของกระบี่ยักษ์ที่สามารถแบ่งแยกฟ้าดินไว้
“ สรรพสิ่งทั้งมวล ล้วนต้องสยบให้ข้า ” มหาเทพอวี่หวงพูดเสียงเย็นชา และเมื่อฤทธานุภาพแห่งวาจาสิทธิ์ถูกใช้ออกไป ทุกชีวิตบนโลกก็ถูกบีบบังคับให้ต้องคุกเข่าลง มันเป็นความกดดันมหาศาลจากกฎเกณฑ์จักรวาล
ตุบ!ๆๆๆ
นอกจากจ้าวเทียนกับลี่เหยาเหยาที่ครอบครองอาวุธระดับพระเจ้า คนอื่นๆล้วนหมดสิ้นเรี่ยวแรงที่จะขัดขืน พากันถูกบีบบังคับให้คุกเข่าลงทีละคน
“ ข้าอยากจะรู้นัก ว่ายังจะมีใครช่วยเหลือพวกเจ้าได้อีกไหม ” มหาเทพอวี่หวงตรวจสอบแล้วว่าโฮ่วอี้ไม่ได้แฝงกายอยู่ในโลกใบนี้ จึงคิดจะกำจัดเสี้ยนหนามให้หมดสิ้นในคราวเดียว
แต่ทว่า
“ หึหึ เป็นแค่จักรพรรดิเทพยุคหลัง ยังกล้ามาโอหังต่อหน้าข้างั้นรึ ”
สิ้นเสียง เงาร่างเสวี่ยหลงก็ปรากฏขึ้นด้านหลังจ้าวเทียน ก่อนจะระเบิดจิตสังหารอันดุดัน ที่สั่นสะเทือนไปทั่วทั้งสวรรค์และปฐพี
นี่คือจิตสังหาร ที่เกิดจากการปลิดชีพจักรพรรดิเทพยุคบรรพกาลมานับสิบองค์ มันเต็มเปี่ยมไปด้วยความโกรธเกลียดเคียดแค้น ของดวงวิญญาณจอมราชันที่ถูกผนึกไว้
“ ฆ่า! ฆ่า! ฆ่า! ”
ทุกครั้งที่เสวี่ยหลงเอ่ยคำว่าฆ่าออกมา ร่างเจตจำนงของมหาเทพอวี่หวงสั่นสะท้านอย่างรุนแรง จนกระทั่งเมื่อครบสามคำ อานุภาพแห่งราชโองการจักรพรรดิก็อ่อนแอลงไปเกือบครึ่ง
“ จงตายซะ โอดิน! ”
ฉัวะ!
ในที่สุดกระบี่ของจ้าวเทียนก็ฟันลงมาแล้ว ด้วยเคล็ดวิชาตัดชะตากรรมและทักษะต้องห้ามตัดวิญญาณ มองเห็นประกายแสงสีดำทะลวงผ่านเจตจำนงมหาเทพอวี่หวง ตัดร่างอวตารของเทพโอดินขาดออกเป็นสองส่วน
ทันใดนั้น ราวกับกาลเวลาได้หยุดนิ่งลง ทุกสายตาที่เฝ้าสังเกตการณ์อยู่ทั้งบนแดนสวรรค์และโลกมนุษย์ ต่างจับจ้องไปที่จ้าวเทียนเพียงผู้เดียว
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: จุติใหม่มหาเทพตี้เทียน
ดีๆๆเดินเรื่องดี...
ต่อๆไป...
ขอบคุณทีมงานที่นำเรื่องดีๆมาลงให้อ่าน...