ณ สำนักงานความมั่นคงแห่งชาติ
ตอนนี้เวลาผ่านไปเกือบ 30 นาทีแล้ว หลังจากที่หลินซิงเสวียนกับตุ๊กตาหมีตัวนั้นได้กลับไป แต่ชายสองคนที่อยู่ในห้องยังคงนั่งครุ่นคิดถึงเรื่องที่เกิดขึ้นด้วยสีหน้าเคร่งเครียด
“ ผู้อาวุโสต้วนมู่…คุณสัมผัสพลังของผู้อาวุโสหลินได้ไหม ” ท่านผู้นำถามขึ้นด้วยความกังวล
ตอนนี้เขาไม่ได้เป็นห่วงในความปลอดภัยของตระกูลหลินอีกแล้ว เพราะหลินซูซินไม่ใช่คนที่จะตัดสินใจทำอะไรโดยไม่มั่นใจ
ถ้าเธอบอกว่าสามารถจัดการพวกศัตรูที่จ้องจะเล่นงานตระกูลหลินได้ นั่นก็หมายความว่าเธอทำได้อย่างที่บอกจริงๆ แต่เขากลัวว่าปักกิ่งอาจจะเกิดการนองเลือดครั้งใหญ่ขึ้น
โดยเฉพาะตระกูลหลี่ที่เป็นเหมือนแกนนำของกลุ่มศัตรูของตระกูลหลิน…
“ ฉันจับสัมผัสพลังของเธอไม่ได้เลย…ตอนนี้เธอเหลือเพียงดวงวิญญาณเท่านั้น พลังปราณทั้งหมดสูญสิ้น ตามหลักแล้วเธอไม่น่าจะต่อสู้ได้อีก ”
“ ถึงแม้จะคิดแบบนั้น…แต่หากให้สู้กับเธอตอนนี้ ฉันก็มีความมั่นใจเพียงแค่ 5 ส่วนเพราะสัญชาตญาณของฉันสัมผัสถึงอันตรายจากเธอได้ ” ต้วนมู่เฉียนพูดขึ้นด้วยสีหน้าจริงจัง
ท่านผู้นำที่ได้ยินแบบนั้น สีหน้าของเขาก็เปลี่ยนเป็นตกตะลึง เพราะตามข้อมูลที่เขาได้รู้มา ต้วนมู่เฉียนเป็นยอดฝีมืออันดับ 1 ในประเทศมาตั้งแต่สมัยก่อนเปลี่ยนระบบการปกครอง
ย้อนไปตั้งแต่สมัยที่ท่านประธานเหมาก่อตั้งสาธารณรัฐประชาชนจีนเมื่อห้าสิบกว่าปีก่อน ต้วนมู่เฉียนก็ดำรงตำแหน่งผู้อาวุโสสูงสุดและผู้คุ้มกันลับของประเทศจีนมาโดยตลอด
ตอนนี้ตำแหน่งประธานาธิบดีได้เปลี่ยนมา 7 คนแล้ว แต่ต้วนมู่เฉียนก็ยังคงทรงอำนาจเช่นเดิม ตำแหน่งของเขาไม่มีใครสั่นคลอนได้
“ ผู้อาวุโสหลิน ก่อนหน้าที่จะเกิดเหตุการณ์เมื่อ 12 ปีก่อน เธอมีพลังฝีมืออยู่ในระดับไหนเหรอ ท่านพอจะบอกผมได้ไหม ” ท่านผู้นำถามขึ้น
ต้วนมู่เฉียนเงียบไปครู่หนึ่ง แววตาของเขาหวนรำลึกถึงอดีตที่ผ่านมา
“ เมื่อ 300 ปีก่อน…ตอนที่สำนักโบราณพวกนั้นปรากฏตัวขึ้นมาครั้งแรก เวลานั้นราชวงศ์ชิงอยู่ในช่วงที่จักรพรรดิองค์ใหม่เพิ่งขึ้นครองราชย์ ทำให้ไม่สามารถต่อต้านการโจมตีของพวกสำนักโบราณได้”
“ ตอนนั้นฉันได้รวบรวมยอดฝีมือในยุทธภพ ตั้งเป็นสมาพันธ์ชาวยุทธเพื่อร่วมมือกับทหารเข้าต่อสู้กับคนในสำนักโบราณ พวกเรานั้นได้เปรียบในเรื่องจำนวนคนที่มากกว่าอีกฝ่ายเป็นพันเท่า ”
“ แต่ผลการต่อสู้ในครั้งนั้นกลับไม่เป็นไปตามที่พวกเราวางแผนไว้ ศิษย์จากสำนักโบราณเพียงคนเดียวสามารถรับมือกับทหารนับร้อยพร้อมอาวุธได้สบาย ส่วนพวกผู้อาวุโสนั้นยังเหนือกว่าเป็นสิบเท่า ”
“ เพียงเวลาแค่ไม่ถึงเดือน เมืองต่างๆก็ถูกยึดครองจนหมดสิ้น ยกเว้นแต่เพียงเหมืองหลวง ตัวฉันเองก็ถูกสามเจ้าสำนักโบราณลอบโจมตีจนได้รับบาดเจ็บสาหัส ”
“ หลังจากที่พวกเราตั้งใจจะปกป้องเมืองหลวงจนตัวตาย หลินซูซินก็ปรากฏตัวขึ้น เธออาศัยตำแหน่งผู้นำของสี่ตระกูลใหญ่ ระดมยอดฝีมือระดับสูงหลายร้อยคน เข้าลอบโจมตีพวกสำนักโบราณ ”
“ ด้วยศาสตร์แห่งการทำนายของหลินซูซิน ทำให้พวกเรารู้ความเคลื่อนไหวทั้งหมดของศัตรูและเป็นฝ่ายไล่ต้อนพวกมันจนพ่ายแพ้ ครั้งนั้นพวกเราสามารถสังหารผู้อาวุโสระดับสูงในสำนักโบราณไปได้ถึง 10 คน ”
“ หากวัดกันที่ระดับฝีมือฉันเหนือกว่าเธออยู่เพียงเล็กน้อย แต่หากเธอต้องการกำจัดฉันจริงๆ มันก็ไม่ได้ยากสำหรับเธอเลย ”
“ หลังจากการต่อสู้ครั้งนั้น…เธอก็วางมือจากตำแหน่งหัวหน้าตระกูล แล้วเก็บตัวฝีกฝนมาตลอด 300 ปี ”
“ จนเมื่อฉันได้พบกับเธออีกครั้ง…พลังของเธอก็อยู่ห่างจากขอบเขตเซียนนภาในตำนานเพียงครึ่งก้าวเท่านั้น ” ต้วนมู่เฉียนอธิบายขึ้นด้วยท่าทีให้ความเคารพ
ตั้งแต่ที่เซียนนภาคนล่าสุดขึ้นสู่แดนสวรรค์ ตอนนี้ก็ผ่านมาได้กว่า 2,000 ปี แล้ว แต่ก็ยังไม่มีใครสามารถไปถึงขอบเขตนั้นได้อีกเลย
จนเมื่อเวลาผ่านไป…
ขอบเขตเซียนนภาก็กลายเป็นเพียงตำนานเท่านั้น…
เมื่อได้ฟังสิ่งที่ต้วนมู่เฉียนพูด ท่านผู้นำก็มีสีหน้าเคร่งเครียดทันที เพราะเขาเข้าใจความแข็งแกร่งของชายชราตรงหน้าดี
ในตอนที่เขาเพิ่งรับตำแหน่งประธานาธิบดี ต้วนมู่เฉียนเคยออกไปปฏิบัติภารกิจลับที่สนามรบในตะวันออกกลางครั้งหนึ่ง
ภาพที่ดาวเทียมสอดแนมถ่ายไว้ได้คือ เศษซากของรถถังนับสิบคันที่ถูกทำลายเป็นชิ้นๆ กับเลือดที่ไหลนองไปทั่วสนามรบ กองกำลังติดอาวุธของฝ่ายศัตรูนับพันพินาศสิ้นในวันเดียว
ถ้าหากสิ่งที่หลินซูซินพูดออกมาเป็นความจริง ว่าเธอสามารถฟื้นคืนพลังได้ครึ่งหนึ่งแล้ว พวกศัตรูที่กล้าท้าทายเธอคงจบไม่สวยแน่นอน
“ เราควรจัดการคนพวกนั้นก่อนที่เรื่องมันจะบานปลายไหม ” ท่านผู้นำถามขึ้น
“ คุณแค่ส่งคำเตือนไปก็พอ…ฉันจะเป็นคนดูแลเรื่องนี้เอง ” ต้วนมู่เฉียนตอบด้วยสีหน้ามั่นใจ
ด้วยกองกำลังพิเศษทั้ง 4 เขามีความมั่นใจว่าจะสามารถควบคุมสถานการณ์ได้ ในสมัยนี้ได้มีการค้นคว้าอาวุธเพื่อจัดการกับพวกที่อยู่ในขอบเขตเซียนโดยเฉพาะ
มันไม่ใช่ยุคที่ผู้ฝึกตนจะสามารถทำอะไรได้ตามใจอีกแล้ว…
“ แล้วเรื่องของชายหนุ่มคนนั้นล่ะ” ท่านผู้นำถามต่อ
“ สำหรับชายหนุ่มที่ชื่อ จ้าวเทียน…ฉันได้ตรวจสอบข้อมูลของเขามาซักพักแล้ว ผู้เชี่ยวชาญทางด้านจิตวิทยาของหน่วยพิเศษ ได้ทำการวิเคราะห์นิสัยของเขาออกมา ”
“ แม้วิญญาณดวงนี้จะไม่มีความประสงค์ร้าย แต่การที่มีมันอยู่ในร่างกาย ตัวนายเองจะอ่อนแอลงไปเรื่อยๆ จนตายในที่สุด ” จ้าวเทียนพูดด้วยท่าทีจริงจัง นี่เป็นเรื่องที่ร้ายแรงในระดับหนึ่ง
เพราะจากที่เขาสังเกตดูอีกฝ่ายเหลือเวลาอีกเพียง 2 เดือนเท่านั้น…
“ ผม…ผมให้พี่ทำแบบนั้นไม่ได้ ” หวังซินหยางตอบเสียงสั่นเทา ในความคิดเขาขัดแย้งกันเอง
“ นาย…รู้อยู่นานแล้วใช่ไหม แต่ที่ไม่ลงมือทำอะไรเพราะเป็นวิญญาณคนที่นายรู้จักงั้นเหรอ ” จ้าวเทียนพูดด้วยท่าทางเข้าใจ
“ เมื่อสามเดือนก่อน…ผมถูกนักฆ่าจากองค์กรที่เป็นศัตรูของปู่ลอบสังหาร เหตุการณ์ครั้งนั้นทำให้ผู้คุ้มกันส่วนตัวของผมเสียชีวิต เขายอมสู้จนตัวตายเพื่อถ่วงเวลาให้ผมหนีออกไป ”
“ หลังจากที่พ่อแม่ขอวผมเสียไปเมื่อ 8 ปีก่อน พี่หวังเปินก็ปกป้องดูแลผมเหมือนน้องชายแท้ๆ ตอนที่ผมตามคนมาช่วยได้สำเร็จ นักฆ่าคนนั้นได้ดึงเอาดวงวิญญาณของพี่หวังเปินออกมาแล้ว ”
“ เขากำลังใช้วิธีบางอย่างเพื่อกลืนกินดวงวิญญาณเพื่อเพิ่มพลังให้ตัวเอง แต่เพราะถูกขัดจังหวะกลางคัน ทำให้พิธีกรรมไม่สำเสร็จและหลบหนีออกไป ”
“ ส่วนสาเหตุที่ดวงวิญญาณของพี่หวังเปินเข้ามาอยู่ในร่างของผมนั้น ก็เป็นฝีมือของนักฆ่าคนนั้นเอง เขาทิ้งคำพูดเอาไว้ว่าจะมารับดวงวิญญาณนั้นไปจากผมในอนาคต ” หวังซินหยางพูดขึ้นสีหน้าหวาดกลัว
ภาพบอดี้การ์ดหลายสิบคนนอนจมกองเลือดยังติดตาเขาอยู่จนทุกวันนี้ เหตุผลที่ปู่ของเขาต้องการให้เขามาอยู่กับพวกจ้าวเทียนก็เพราะเพื่อความปลอดภัย
จ้าวเทียนหันไปมองชายหนุ่มที่นั่งด้านข้างด้วยความรู้สึกเห็นใจ เขาไม่ได้โกรธที่ผู้เฒ่าหวังต้องการให้เขาเป็นผู้คุ้มให้หลานชาย
ชะตากรรมของหวังซินหยางนั้นเลวร้ายกว่าตัวเขามาก ต้องพบเจอและใช้ชีวิตอยู่ด้วยความหวาดกลัวมาตั้งแต่เด็ก หากให้เขาเดาพ่อแม่ของอีกฝ่ายก็คงถูกลอบสังหารเช่นกัน
“ ฉันมีวิธีช่วยดวงวิญญาณที่อยู่ในตัวนาย…แต่คงต้องรอให้เรื่องที่ทะเลสาบมรกตเรียบร้อยเสียก่อน ส่วนตัวนายก็ย้ายเข้ามาอยู่ที่ห้องข้างๆฉันก็แล้วกัน” จ้าวเทียนพูดขึ้นอย่างมั่นใจ
เมื่อได้ยินแบบนั้นหวังซินหยางก็รู้สึกดีใจและโล่งใจในเวลาเดียวกัน ตอนที่บอกความจริงออกไปเขากลัวว่าจ้าวเทียนจะไม่พอใจที่เขานำเอาปัญหามาให้
เขาถึงขั้นเตรียมเสนอผลประโยชน์มากมายเอาไว้ต่อรอง แต่คิดไม่ถึงเลยว่าจ้าวเทียนจะรับปากอย่างง่ายดายแบบนี้ ทั้งยังมีวิธีช่วยเหลือดวงวิญญาณของพี่หวังเปินอีกด้วย
สายตาที่หวังซินหยางมองจ้าวเทียนนั้นเปลี่ยนไปทันที จากครั้งแรกที่เพียงต้องการได้รับความคุ้มครองจากอีกฝ่ายเท่านั้น
แต่ตอนนี้มันเต็มไปด้วยความเคารพและความเชื่อใจ…
“ ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป…ผมจะถือว่าพี่เป็นพี่ใหญ่ของผม หากมีอะไรที่ผมสามารถช่วยเหลือพี่ได้ ผมจะทำโดยไม่มีข้อแม้เด็ดขาด”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: จุติใหม่มหาเทพตี้เทียน
ดีๆๆเดินเรื่องดี...
ต่อๆไป...
ขอบคุณทีมงานที่นำเรื่องดีๆมาลงให้อ่าน...