จุติใหม่มหาเทพตี้เทียน นิยาย บท 61

บริษัทจ้าวหนิงจิวเวลรี่ในตอนนี้ เหมือนกับต้นไม้ใหญ่ที่ใกล้จะแห้งตายเต็มทีแล้ว เหมือนคำพังเพยที่ว่านกที่ดีย่อมรู้จักเลือกที่ทำรัง คนเก่งๆมีความสามารถก็เลยลาออกไปจนหมด

พนักงานที่ยังเหลืออยู่ตอนนี้ คือคนเก่าคนแก่ที่ยังผูกพันธ์กับบริษัทหรือไม่ก็เป็นพวกที่ไร้ความสามารถไม่มีที่ไป

สำหรับหงซิ่วเหมยหัวหน้าฝ่ายการเงินนั้น เธอจัดอยู่ในคนจำพวกแรก ด้วยความสามารถของเธอบริษัทชั้นนำทุกที่พร้อมอ้าแขนรับเธอทุกเมื่อ

แต่ตัวเธอนั้นเลือกที่อยู่ในบริษัทนี้ต่อไป เพราะมันเป็นน้ำพักน้ำแรงของเธอตลอดยี่สิบปีที่ผ่านมา ครั้งแรกที่บริษัทจ้าวหนิงจิวเวลรี่เปิดทำการ ตอนนั้นเธอเป็นเพียงเด็กฝึกงานเท่านั้น

หลังจากเรียนจบ เธอก็ได้สมัครเข้าทำงานที่นี่ต่อทันที ผ่านวันเวลาอันยาวนานไต่เต้าขึ้นมาเรื่อยๆจนกลายเป็นหัวหน้าฝ่ายการเงินที่มีลูกน้องสิบกว่าคน

เธอนั้นไม่ได้แต่งงานหรือให้กำเนิดลูกหลาน สำหรับเธอแล้วบริษัทแห่งนี้ก็คือลูกรักของเธอ ไม่ว่าจะลูกจะดีหรือเลวอย่างไร ไม่มีทางที่คนเป็นแม่จะทิ้งไปแน่

นี่เป็นสาเหตุที่เมื่อตระกูลซุยซื้อบริษัทนี้กลับมา เธอก็เข้ามารายงานตัวทันที

‘ ฉันยินดีที่จะร่วมหัวจมท้ายกับบริษัทจ้าวหนิงจิวเวลรี่จนถึงที่สุด ’

นี่เป็นความคิดที่เธอตัดสินใจเอาไว้ตั้งแต่ได้เข้าทำงานครั้งแรก แม้ว่าเวลาผ่านไปสถานการณ์ของบริษัทจะยิ่งเลวร้ายลง ตัวเธอก็ไม่เปลี่ยนความตั้งใจ

แต่ในวันนี้เธอกลับนั่งมองข้อมูลบนจอคอมพิวเตอร์ด้วยแววตาเศร้าโศก มันคือข้อมูลสถานะการเงินของบริษัทรวมทั้งหนี้สินทั้งหมด ซึ่งมันได้สร้างความผิดหวังให้เธอเป็นอย่างมาก ตระกูลซุยที่ซื้อบริษัทมา

ไม่ได้ลงมือพลิกฟื้นบริษัทอย่างที่เธอหวัง…

หากเป็นแบบนี้ต่อไป ภายในเวลาไม่ถึงเดือนบริษัทคงจะล้มละลายอีกครั้ง เพียงแต่ครั้งนี้อาจะต้องขายทรัพย์สินรวมทั้งที่ดินทั้งหมด

หรือว่าฉันคิดผิดมาตั้งแต่ต้น…

ในขณะที่เธอกำลังถอนหายใจอย่างสิ้นหวัง เสียงตะโกนของชายหนุ่มคนหนึ่งก็ดังขึ้น

“ ฉัน...จ้าวเทียนประธานบริษัทจ้าวหนิงจิวเวลรี่ จำใส่หัวไว้ซะ ”

!!

ไม่รู้ว่าเพราะอะไรหลังจากที่หงซิ่วเหมยได้ยินคำพูดประโยคนั้น

ความคิดยุ่งเหยิงในหัวของเธอก็เหมือนถูกลมพัดปลิวไปไฟในตัวเธอที่กำลังจะดับลง มันก็ถูกคำพูดประโยคนี้ทำให้ลุกโชนขึ้นอีกครั้ง

‘ เขาบอกว่าชื่อจ้าวเทียนงั้นเหรอ…หรือว่าจะเป็นลูกชายของพี่ลั่วเฉิน ’

หงซิ่วเหมยรีบวิ่งไปที่ห้องของประธานทันที เธอต้องการจะไปเห็นกับตาตัวเอง ว่าคนที่พูดประโยคนี้ออกมาใช่คนเดียวกับที่เธอคิดหรือไม่

ตลอดเวลาที่ผ่านมายี่สิบปี เหตุผลที่บริษัทจ้าวหนิงจิวเวลรี่เติบโตขึ้นมาได้ถึงขนาดนี้นั้น เป็นเพราะความทุ่มเทของประธานจ้าวลั่วเฉิน หากไม่เกิดเหตุการณ์เมื่อหกเดือนก่อน บริษัทนี้คงจะเติบโตขึ้นอีกมาก

ความสัมพันธ์ระหว่างเธอกับครอบครัวของพี่ลั่วเฉินนั้นจัดว่าดีมาก แม้จะไม่ถึงขั้นสนิทสนม แต่ก็ดีกว่าพนักงานคนอื่นๆ

แม้แต่ตอนที่ลูกทั้งสองของพี่ลั่วเฉินเกิด เธอก็ยังได้อุ้มเป็นคนแรกในบริษัท

ตั้งแต่งานศพของพี่ลั่วเฉินผ่านไป เธอก็ไม่ได้เจอเด็กทั้งสองคนนั้นอีกเลย ไม่รู้ว่าพวกเขาจะเป็นอย่างไรบ้าง

ในเวลาเดียวกันหน้าห้องประธานบริษัท

จางสุยผิงได้จ้องมองไปที่จ้าวเทียนด้วยความโกรธแค้น เขาได้รับความช่วยเหลือจากเลขาส่วนตัวจนลุกขึ้นมายืนได้อีกครั้ง

“ แก…ฉันจำแกได้แล้ว แกคือลูกชายของจ้าวลั่วเฉิน ” จางสุยผิงพูดขึ้นด้วยเสียงสั่นเทา เขาได้ยินเรื่องที่เกิดจากตระกูลหลักมาแล้ว ว่าไอ้เด็กคนนี้มันได้รับการสนับสนุนจากตระกูลลี่

แต่ถึงเป็นแบบนั้น เขาก็ไม่กลัว…

“ อย่าอวดดีให้มันมากนัก…แกมันก็แค่โชคดีที่มีตระกูลลี่คอยช่วยเหลือ ”

“ ฉันจะบอกให้นะ ประเทศนี้มันมีกฎหมายคุ้มครองอยู่ คนในยุทธภพแบบพวกแกไม่สามารถใช้กำลังแก้ปัญหาได้ทุกเรื่องหรอกนะ ”

“ ตัวฉันเป็นคนธรรมดา ถ้าแกกล้าทำร้ายฉัน คนของฉันไม่มีทางปล่อยแกแน่ ถึงเวลานั้นฉันจะคอยดูใบหน้าสิ้นหวังของแก เวลาที่ต้องสูญเสียทุกอย่างเหมือนกับพ่อแก ”

เมื่อได้ยินสิ่งที่จางสุยผิงพูด สีหน้าของซุยลี่เหยาก็เปลี่ยนไป เธอก็จำสิ่งที่พ่อเธอเคยเล่าให้ฟังได้เช่นกัน

ถ้าเป็นปัญหาความแค้นที่เกิดขึ้นในยุทธภพ รัฐบาลจะยอมปิดตาข้างหนึ่ง แต่มันก็ต้องอยู่ในขอบเขตที่ไม่กระทบกับส่วนรวมหรือคนธรรมดา ไม่อย่างนั้นหน่วยพิเศษของทางการจะลงมือทันที

ในขณะที่เธอกำลังจะเข้าไปห้ามจ้าวเทียนไม่ให้ลงมือทำร้ายจางสุยผิง เด็กหนุ่มที่ยืนเงียบอยู่ด้านหลังมาตลอด ก็เริ่มเคลื่อนไหว

หวังซินหยางได้เดินเข้าไปหาจางสุยผิง ที่กำลังโกรธจนตัวสั่นด้วยท่าทีเฉยเมย สายตาของเขาหยุดดูบาดแผลของอีกฝ่ายอยู่ครู่หนึ่ง

“ ตามกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับคนของยุทธภพ…มาตราที่ 23 หากคนปกติได้แสดงท่าทีท้าทายหรือดูหมิ่น ก็สามารถตอบโต้ได้ในขอบเขตที่เหมาะสม ”

“ เธอเปลี่ยนไปมากเลยนะ…น้าจำแทบไม่ได้เลย ” หงซิ่วเหมยพูดออกมาด้วยความสงสัย มันเพิ่งผ่านไปเพียงไม่กี่เดือนเท่านั้น แต่เธอรู้สึกว่าจ้าวเทียนดูแตกต่างจากความทรงจำของเธอมากมาย

“ พอดีช่วงนี้ผมหันมาออกกำลังกายน่ะครับ…แต่ผมก็ไม่คิดนะว่าจะได้เจอน้าหงที่บริษัท คนมีความสามารถแบบน้าทำไมถึงยังอยู่ที่นี่เหรอครับ ” จ้าวเทียนถามกลับ

“ น้ารักที่นี่…ชีวิตของน้ายี่สิบปีเติบโตมาพร้อมกับบริษัทนี้ ถ้าไม่ถึงที่สุดจริงๆ น้าไม่ทิ้งมันไปไหนแน่ ”

“ ในเมื่อเธออยู่ที่นี่…ก็แสดงว่าเธอซื้อบริษัทคืนจากตระกูลซุยแล้วใช่ไหม ” หงซิ่วเหมยถามขึ้นอย่างมีความหวัง

“ ใช่แล้วครับ…ตอนนี้ผมได้มันคืนมาแล้ว น้าหงไม่ต้องห่วงนะครับ ผมจะทำให้บริษัทของเรากลับมายิ่งใหญ่อีกครั้ง ” จ้าวเทียนพูดขึ้นด้วยสีหน้ามั่นใจ

ตอนนี้เขามีทั้งเงินทุน มีทั้งคนที่มีความสามารถแบบหวังซินหยาง ไม่มีทางที่จะยอมปล่อยให้บริษัทที่พ่อสร้างขึ้นมาต้องจบไปแบบนี้แน่นอน

สำหรับในเมืองเทียนจินมันก็แค่จุดเริ่มต้นเท่านั้น ก่อนที่จะขึ้นไปแดนสวรรค์ เขาจะผลักดันให้บริษัทนี้กลายเป็นบริษัทชั้นนำของโลกให้ได้

“ ในเมื่อเธอพูดถึงขนาดนี้…งั้นน้าก็จะขออยู่ที่นี่เป็นกำลังให้เธอด้วย น้าอยากจะเห็นบริษัทของพวกเราฟื้นคืนชีพขึ้นมาอีกครั้ง ”

“ นี่คือข้อมูลทางการเงินทั้งหมดของบริษัทเราและบริษัทคู่แข่ง น้าได้ใช้เวลาตลอดช่วงที่โดนหยุดงาน วิเคราะห์ออกมาอย่างละเอียด เธอเอาไปดูสิ ”

เมื่อรับเอาเอกสารปึกหนึ่งมาจากน้าหง จ้าวเทียนก็ลองเปิดอ่านดูทันที

‘ นี่มัน…น้าหงอาศัยเพียงข้อมูลทางบัญชี แต่กลับวิเคราะห์ปัญหาที่บริษัทกำลังจะเจอในอนาคตได้ด้วย ’

“ ซินหยาง…นายลองอ่านดู ” จ้าวเทียนยื่นข้อมูลพวกนั้นให้หวังซินหยางเอาไปอ่าน ซึ่งอีกฝ่ายก็มีแววตาเปลี่ยนไปทันที

“ พี่โชคดีมากนะครับ…ที่น้าหงไม่ได้ลาออกไป ความสามารถระดับเธอที่อเมริกายังพบเจอได้ยากเลย ” หวังซินหยางบอกจ้าวเทียนตามตรง

เพราะจากบริษัทที่เขาเคยร่วมงานมา คนแบบน้าหงส่วนใหญ่จะพบได้ในบริษัทที่มีทุนจดทะเบียนหลักหมื่นล้านเท่านั้น

“ เอาล่ะ…งั้นเรื่องบริษัทคงต้องฝากนายแล้ว หลังจากที่จัดการเรื่องหมู่เกาะมรกตเรียบร้อย ฉันอาจจะต้องเก็บตัวฝึกวิชาซักพักนะ ” จ้าวเทียนพูดขึ้นด้วยสีหน้าจริงจัง

“ ไม่ต้องห่วงครับ…หลังจากที่ทีมงานของผมเดินทางมาถึงในวันพรุ่งนี้ ผมจะเริ่มทำตามแผนที่วางเอาไว้เลย ”

“ ผมคิดเอาไว้แล้วว่า…ก้าวแรกของการเปิดตัวบริษัทของพวกเราจะต้องเป็นที่ไหน หึหึ ”

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: จุติใหม่มหาเทพตี้เทียน