ภายในห้องลับหลังตู้เก็บหนังสือ ตอนนี้เหลือจ้าวเทียนนั่งอยู่เพียงคนเดียว จ้าวหงเลี่ยงถูกคุมตัวออกไปแล้ว ด้านหน้าของจ้าวเทียนมีกระบี่หยางพิสุทธิ์ลอยอยู่อย่างสงบนิ่ง
ทันใดนั้นเขาก็ยื่นนิ้วออกไปสัมผัสกับตัวกระบี่เบาๆ เปลวเพลิงสีทองได้ถูกจุดขึ้นและเริ่มเผาไหม้อย่างช้าๆ
วิ้ง!
กระบี่หยางพิสุทธิ์สั่นสะท้านไม่หยุด เพราะในอาวุธระดับเทพทุกชิ้นนั้นจะมีจิตวิญญาณเป็นของตนเอง เมื่อมันรู้ว่าตนเองกำลังจะสลายไป จึงแสดงท่าทีไม่ยินยอมออกมา
“ ไม่ต้องกังวล…แกจะได้เกิดใหม่เป็นอาวุธคู่กายของฉัน ” จ้าวเทียนพูดออกมาเบาๆ
วิ้งๆ
เหมือนกระบี่หยางพิสุทธิ์จะสามารถรับรู้ได้ แต่มันก็ยังไม่ยินยอม
ครืนน
เปลวเพลงสีขาวได้ลุกโชนขึ้น มันพยายามจะขับไล่เปลวเพลิงสีทองของจ้าวเทียน
แต่เพราะระดับชั้นมันต่างกันเกินไป ความพยายามของมันจึงไร้ผล…
“ ในเมื่อแกเลือกแบบนี้…ก็จงสูญสลายไปซะ! ”
ฮูมมม!
วิ้งงง ฟุบ!
เพียงพริบตาเพลิงสุริยันของจ้าวเทียนก็ได้กลืนกินเปลวเพลิงสีขาว รวมทั้งจิตวิญญาณของกระบี่หยางพิสุทธิ์จนหมด
ตอนนี้ที่อยู่ตรงหน้าจ้าวเทียน มีเพียงก้อนโลหะหลอมเหลวสีเงินที่กำลังเปลี่ยนรูปร่างไปมา มันคือแกนหลักของวัตถุดิบที่จะใช้สร้างอาวุธระดับเทพ
วูป!
เพียงจ้าวเทียนโบกมือขึ้นเบาๆ สิ่งของอื่นๆก็ปรากฏขึ้นมา ได้แก่เศษผลึกดวงดาว แร่ล้ำค่าอีก 3-4 ชนิด พวกมันค่อยๆประสานเข้ากับโลหะสีเงินอย่างช้าๆ
จนกระทั่งผ่านไปประมาณ 10 นาที มันก็ได้หลอมรวมกันอย่างสมบูรณ์ กลายเป็นโลหะสีรุ้งทอประกายอย่างสวยงาม
“ กระบี่! ”
วูป!
กระบี่เวทของจ้าวเทียนปรากฏขึ้นทันที
“ ขั้นตอนสุดท้ายแล้ว…ฉันจะใช้เมล็ดพันธุ์สุริยันกลั่นหลอมกระบี่เวทขึ้นมาใหม่ เพื่อเลื่อนขั้นมันเป็นระดับเทพ ”
ครืนนน
จ้าวเทียนได้เรียกเมล็ดพันธุ์เซียนของตัวเองออกมา มันมีลักษณะคล้ายดวงอาทิตย์ขนาดเท่าผลส้ม
แต่ความร้อนที่มันปลดปล่อยออกมานั้นน่าหวาดกลัวเป็นอย่างมาก เพราะภายในเมล็ดพันธุ์เซียนของเขานั้น ได้ซ่อนพลังของระเบิดนิวเคลียร์สิบลูกเอาไว้
ฟูวว
กระบี่เวทและโลหะสีรุ้ง ได้ถูกดูดกลืนเข้าไปในเมล็ดพันธุ์ในพริบตาเดียว ตอนนี้มันกำลังถูกหลอมสร้างใหม่ด้วยเปลวเพลิงอันร้อนแรงที่มีอุณหภูมิเกือบล้านองศา
ขั้นตอนนี้จ้าวเทียนจำเป็นต้องใช้สมาธิเป็นอย่างมาก โดยที่ห้ามมีข้อผิดพลาดแม้แต่นิดเดียว
โดยเฉพาะขั้นตอนการขึ้นรูปใหม่ รูปร่างของกระบี่คู่กายในชาติที่แล้วได้ปรากฏขึ้นในความคิดเขาอย่างชัดเจน
“ กระบี่ราชันสวรรค์…กำเนิด! ”
วูป!
ตอนนี้เมล็ดพันธุ์สุริยันได้หายกลับเข้าไปอยู่ในร่างจ้าวเทียนอีกครั้ง เพราะมันได้ทำหน้าจนเสร็จสมบูรณ์แล้ว
ตรงหน้าของจ้าวเทียนได้มีกระบี่สองคมเล่มหนึ่งลอยอยู่
ตัวด้ามจับสีทองถูกแกะสลักด้วยลวดลายมังกรห้ากรงเล็บ ส่วนคมกระบี่นั้นยาวประมาณหนึ่งเมตร มันถอดแบบมาจากกระบี่คู่กายของเขาในอดีตไม่ผิดเพี้ยน
เมื่อมองไปที่กระบี่ตรงหน้า ตัวเขาก็เหมือนกับถูกดูดเข้าไปในโลกอีกโลกหนึ่ง หนึ่งกระบี่หนึ่งโลกาได้สร้างมรรคาจักรพรรดิอันยิ่งใหญ่
!!
“ หืม…นี่มันเป็นไปได้อย่างไร”
จ้าวเทียนรู้สึกตกใจมาก ในชาติก่อนนั้นตัวเขาก็หลอมอาวุธคู่กายของตนจากอาวุธเวทของสำนักเช่นกัน และก็ได้ยกระดับมันขึ้นมาเรื่อยๆ จากอาวุธเวทธรรมดาเป็นอาวุธเวทระดับเทพและอาวุธเวทระดับศักดิ์สิทธิ์
จนกระทั้งไปถึงขั้นสุดท้ายคืออาวุธเวทระดับเทพเจ้า…
ยิ่งเมื่อได้มาเห็นสภาพของจ้าวหงเลี่ยงก็ยิ่งเหมือนราดน้ำมันลงบนกองไฟ อารมณ์ของผู้อาวุโสต้วนมู่ตอนนี้เหมือนกับภูเขาไฟที่พร้อมจะปะทุทุกเมื่อ
“ พวกเขามาแล้ว ” ต้วนมู่เฉียนตอบ เพราะตอนนี้เขาได้ยินเสียงฝีเท้ากำลังเดินใกล้เข้ามาแล้ว
โดยปกติแล้วการใช้สัมผัสวิญญาณสอดส่องสถานที่ของคนอื่นนั้นถือเป็นการไม่ให้เกียรติและไร้มารยาทเป็นอย่างมาก พวกเขาจึงไม่มีใครคิดจะทำ
“ ขอโทษด้วย…ที่ต้องปล่อยให้รอนาน ”
หลินซิงเสวียนได้เดินอุ้มตุ๊กตาหมีนำเข้ามาก่อน ตามมาด้วยจ้าวเทียนและเหยียนซืออู่ ส่วนสองปีศาจสาวนั้นยืนคุมสถานการณ์อยู่ด้านนอก เพราะทางฝั่งต้วนมู่เฉียนได้นำกองกำลังพิเศษติดอาวุธสองร้อยคนมาด้วย
ซึ่งทางหลินซูซินก็ได้ระดมยอดฝีมือในตระกูลหลินมาเช่นกัน แต่มีเพียงแค่ห้าสิบคนเท่านั้น ซึ่งทุกคนล้วนอยู่ในขอบเขตผู้เชี่ยวชาญทั้งสิ้น
กองกำลังชุดนี้หลินซูซินเป็นคนฝึกฝนมาเองกับมือ ในช่วงเวลาสิบปีที่ผ่านมา
ทำให้การสนทนาในครั้งนี้เต็มไปด้วยความกดดัน ถ้าหากวัดกันที่จำนวนกองกำลังของทั้งสองฝ่ายนั้น ฝ่ายหลินซูซินเสียเปรียบอย่างเห็นๆ
แต่ในด้านคุณภาพนั้นก้ำกึ่งกัน เพราะแต่ละฝ่ายก็มีเซียนอยู่ห้าคน ซึ่งทางฝั่งของต้วนมู่เฉียนนั้นถ้าไม่รวมจ้าวหงเลี่ยงที่บาดเจ็บสาหัส ก็มีเซียนหน้าใหม่มาเพิ่มสองคน
เมื่อเหยียนซืออู่เห็นหนึ่งในสองเซียนที่มาใหม่ แววตาเขาก็เปลี่ยนเป็นเย็นชาทันที เพราะนั่นคือศัตรูเก่าของเขาเอง
โจวจือหยวนรองเจ้าสำนักหัวซาน…
“ เธอคงเป็นจ้าวเทียนใช่ไหม…นี่คงเป็นครั้งแรกที่เราพบกัน ฉันชื่อต้วนมู่เฉียนเป็นผู้บัญชาการสูงสุดของสี่กองกำลังพิเศษ เหตุผลที่ฉันมาในวันนี้ เชื่อว่าเธอก็คงรู้แล้ว ” ต้วนมู่เฉียนเป็นฝ่ายพูดนำขึ้นมาก่อน
เขามองไปที่ชายหนุ่มตรงหน้าด้วยแววตาเฉียบคม จากนั้นก็พูดต่อด้วยท่าทีกดดัน
“ เธอรู้ผลของการกระทำในวันนี้ไหม…ทั้งเรื่องปัญหาที่เธอก่อขึ้นตอนกลางวัน และเรื่องการทำร้ายผู้คุมกฎ”
สิ้นเสียงของต้วนมู่เฉียนสีหน้าของจ้าวเทียนก็เปลี่ยนเป็นเคร่งเครียด เขาไม่คิดว่าประโยคแรกของอีกฝ่ายจะบีบคั้นเขาแบบนี้
ที่จริงแล้วเรื่องนี้เขาเองก็มีส่วนผิดจริง เพราะไม่คาดคิดว่าการตัดสินใจสร้างเมล็ดพันธุ์เซียนของเขาจะมีผลกระทบเป็นวงกว้างขนาดนี้
แต่ถึงเป็นแบบนั้นก็ไม่น่าจะถึงขั้นต้องส่งคนมาจับกุมตัว และผู้ที่มายังมีจุดประสงค์อื่นแอบแฝง เหตุผลที่เขาขัดขืนก็เพื่อปกป้องตัวเองก็เท่านั้น
ในขณะที่จ้าวเทียนกำลังจะพูดบางอย่างออกไป หลินซูซินก็พูดขัดขึ้นมาก่อน
“ ต้วนมู่เฉียน…อย่าเสียเวลาเลยเข้าประเด็นเถอะ! ”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: จุติใหม่มหาเทพตี้เทียน
ดีๆๆเดินเรื่องดี...
ต่อๆไป...
ขอบคุณทีมงานที่นำเรื่องดีๆมาลงให้อ่าน...