เฟิงฉิ้นหว่านแสดงทีท่าเช่นนี้ ทำให้ในใจของอานผิงอ๋อง ยิ่งสลักลึกไปด้วยความโกรธา แต่โดยไม่รอให้เขาได้เอ่ยปาก เห้อเหลียนฉางเซิงก็เอื้อมมือมากอดแขนเขาไว้
“เสด็จพ่อ เวลาก็ดึกมากแล้ว พี่นางควรกลับไปพักผ่อนแล้ว พวกเราไปเถิด ไม่ต้องยื้อเวลาอีกต่อไปแล้ว”
อานผิงอ๋อง ไม่อาจทำใจดุลูกชายตัวน้อยของตนได้ จำได้เพียงจ้องเขม็งไปทางเฟิงฉิ้นหว่าน จากนั้นก็ดูแลเห้อเหลียนฉางเซิงให้เดินลงไปชั้นล่าง
จ้าวยี่เดินตามหลังอยู่สองก้าว “แม่นางเฟิง เรื่องในวันนี้เจ้าค่อนข้างประมาททีเดียว”
“ขอบคุณใต้เท้าจ้าวที่เตือน แต่ใจข้ารู้ดีว่าสิ่งใดเหมาะสม”
จ้าวยี่พยักหน้า “เจ้าสามารถระดมเงินเพื่อการกุศลให้แก่ชาวบ้านภายในนครหลินผิง น้ำใจนี้เป็นสิ่งที่ควรยกย่องยิ่ง ข้าจะจำใส่ใจเอาไว้”
“ฉิ้นหว่านเพียงแค่เริ่มเท่านั้น อย่างอื่นยังจำเป็นต้องอาศัยเหล่าแขกที่มาหอหญิงงามเมืองในวันนี้”
“เอาเป็นว่า เจ้าก็ต้องระวังด้วยเอาไว้บ้าง” จ้าวยี่พูดจบ ก็หมุนตัวเดินลงไปชั้นล่าง
เฟิงฉิ้นหว่านยืนอยู่หน้าประตูทางเข้าหอหญิงงามเมือง มองรถม้าทั้งสองคันค่อย ๆ หายไปในความมืด
ฉินฮั๋วเหนียนยืนอยู่ด้านข้าง พูดขึ้นมาด้วยความกังวล “คุณหนู ตอนที่อานผิงอ๋อง กลับไปสีหน้าดูเหมือนว่าจะโมโหมากอยู่ ไม่เป็นไรแน่หรือ?”
“ไม่เป็นไร”
“ก่อนหน้านี้คุณหนูจงใจปล่อยเจ้าว่าวปักเป้าที่ริมทาง ก็เพื่อดึงดูดความสนใจจากอานผิงอ๋อง เหตุใดวันนี้เขามาหาถึงที่แล้ว แต่คุณหนูกลับไม่พูดสิ่งใดสักคำ?”
“ท่านอาฉิน ท่านมองอานผิงอ๋อง เป็นเช่นไร?” เฟิงฉิ้นหว่านไม่ตอบแต่ถามกลับ
“ก่อนหน้านี้ก็เคยได้ยินเขาว่ากันถึงชื่อเสียงของท่านอ๋องผู้นี้ ที่เลื่องลือกันมากที่สุดก็คือเขารักลูกชายตัวน้อยของเขายิ่งชีพ ส่วนเรื่องอื่น ๆ นั้นก็มีการพูดคุยกันถึงแต่ในด้านดี ไม่เคยได้ยินเรื่องไม่ดีแต่อย่างใด”
“เช่นนั้น ท่านคิดว่าอานผิงอ๋อง ท่านนี้จะยินยอมปล่อยให้ลูกชายตัวน้อยของตนตายไปหรือไม่?”
“แน่นอนว่าไม่” ฉินฮั๋วเหนียนพูดด้วยน้ำเสียงมั่นใจ
“คุณหนูอาจจะไม่รู้ อานผิงอ๋อง กับชายาอ๋องของตนคือคู่สามีภรรยาวัยเยาว์ ความรักนั้นมากเกินปกติ แต่ว่าชายาอ๋องกลับเสียชีวิตไปในขณะที่คลอดลูกชายตัวน้อย เรียกได้ว่าเป็นการเอาชีวิตแลกชีวิตก็ว่าได้ ดังนั้นอานผิงอ๋อง จึงรักและเอาใจใส่ลูกชายน้อยของเขาอย่างมาก อานผิงอ๋อง มีสถานะเป็นถึงท่านอ๋องคนหนึ่ง เหตุใดจึงมีขบวนผู้ค้าตามหลังมากมายเช่นนั้น นั่นก็เพื่อตามหาหมอที่มีชื่อเสียง รวบรวมยาสมุนไพร อีกทั้งเพื่อหาเงินไปรักษาลูกชายตัวน้อยของเขา เขาสูญเสียเงินไปมากถึงเพียงนั้น จะเป็นไปได้อย่างไรที่จะทนมองลูกชายของตนต้องตายไปต่อหน้า?”
“เมื่อครู่ข้าก็ได้ถามอานผิงอ๋อง แล้ว เขาบอกข้าว่าต่อให้ตัวเขาเองต้องตายไป ก็จะไม่มีทางยอมให้ลูกชายตัวน้อยต้องไปเสี่ยง ข้ามองดูก็ไม่เหมือนว่าจะโกหก”
“หากเป็นเช่นนั้น เพียงแค่คุณหนูแสดงออกว่ามีหนทางช่วยรักษาท่านชายน้อยผู้นั้น อานผิงอ๋อง จะต้องมองคุณหนูว่าเป็นแขกคนสำคัญ ถึงเวลาอย่าว่าแต่หนทางทำมาค้าขาย ต่อให้คุณหนูจะร้องขอสิ่งที่มากกว่านั้น เขาก็ต้องรับปากแน่นอน”
“ช่วยรักษาเห้อเหลียนฉางเซิง แน่นอนว่าสามารถแลกกับความราบรื่นในเส้นทางการค้า แต่มันก็หยุดอยู่เท่านั้น เมื่อก่อนสิ่งที่ข้าต้องการก็คือเส้นทางในการค้า แต่วันนี้ได้พบกับอานผิงอ๋อง แล้ว อยู่ดี ๆ ข้าก็รู้สึกว่าสามารถวางแผนบางอย่างเพื่อจะให้ได้สิ่งที่มากกว่านั้นได้”
แววตาของเฟิงฉิ้นหว่านค่อย ๆ มุ่งมั่นขึ้นมาทันที
ดูสถานการณ์ในตอนนี้ อานผิงอ๋อง ยินยอมที่จะส่งสละชีวิตของตัวเอง แต่จะไม่ยอมส่งเห้อเหลียนฉางเซิงเข้าไปในเมืองหลวง แต่ในที่สุดเห้อเหลียนฉางเซิงก็ได้เข้าไปในเมืองหลวงแล้ว นั่นก็หมายความว่าทางฝั่งอานผิงอ๋อง ต้องมีเรื่องใหญ่อะไรเกิดขึ้นแน่นอน
แต่เรื่องที่ว่านั้นมีรายละเอียดอย่างไร ในตอนนี้นั้นนางก็ยังหาต้นตอไม่พบ
แต่นางสามารถแน่ใจได้ว่า เมื่อนางช่วยอานผิงอ๋อง ได้แล้ว หลีกเลี่ยงฉากการตายที่เศร้าสลดของเห้อเหลียนฉางเซิง เช่นนั้นนางก็สามารถสร้างหนทางที่ราบเรียบในตงเหว้ยได้!
ฉินฮั๋วเหนียนเห็นสีหน้าของเฟิงฉิ้นหว่านที่กำลังครุ่นคิด ก็พลันรู้สึกไม่รู้ว่าตนจะสามารถช่วยสิ่งใดได้บ้าง จึงทำได้แค่เพียงยืนอยู่ข้าง ๆ อย่างเงียบเชียบเท่านั้น
เวลาผ่านไปสักพักใหญ่ เฟิงฉิ้นหว่านจึงออกมาจากภวังค์ “ท่านอาฉิน เมื่อครู่ข้าเผลอคิดไปไกล เหตุใดท่านจึงไม่เรียกข้าเล่า?”
“ไม่อยากจะขัดจังหวะการใช้ความคิดของคุณหนู”
“มีเรื่องบ้างเรื่องที่ในตอนนี้ข้ายังคิดไม่ตก ดังนั้นจึงอยากลองครุ่นคิดดูก่อน รอข้าคิดออกแล้ว จะต้องบอกท่านอาฉินตามจริงแน่”
“คุณหนูมีแผนการของตนเอง ไม่บอกข้าก็ไม่ได้เป็นไร เพียงแค่คุณหนูต้องระวังความปลอดภัย ถึงอย่างไรอานผิงอ๋อง ท่านนั้นมองดูแล้วอารมณ์ไม่ได้ร้ายเท่าใดนัก แต่ท้ายที่สุดแล้วก็ยังเป็นบุคคลที่ครอบครองอำนาจความเป็นความตายอยู่ดี”
“ข้ารู้”
หยุนซวนรีบเผยรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ออกมาทันที “เมื่อครู่ท่านชายยังบอกว่าไม่รีบอยู่เลย?”
“ฟู๋โป๋?” แววตาของฟู่ลั่วเฉินมองออกไปทางหน้าประตู
หยุนซวนรีบยื่นจดหมายไปให้ฟู่ลั่วเฉินถึงมือด้วยความเคารพ จากนั้นก็หันหน้าไปมองทางประตูด้วยความระมัดระวัง เมื่อพบว่ามันมีเพียงความว่างเปล่า ก็อดไม่ได้ที่จะเบิกตาโพล่ง “ท่านชายแกล้งข้าอีกแล้ว!”
ฟู่ลั่วเฉินเปิดจดหมายออก จากนั้นก็พลิกกระดาษสองใบขึ้นมาอย่างลวก ๆ นัยน์ตาฉายแววเย็นชาขึ้นมาทันที เป็นลายมือของจ้าวยี่ทั้งหมด
หยุนซวนก็ยังคงถามต่อโดยที่ยังไม่รู้ตัวว่าชีวิตใกล้จะสิ้นสุดอยู่ล่อมร่อ “ท่านชาย ใช่แม่นางเฟิงหรือไม่?”
ฟู่ลั่วเฉินไม่ได้สนใจเขา ก้มหน้าก้มตาอ่านเนื้อความในจดหมาย
เมื่ออ่านแล้วหัวคิ้วก็ขมวดเข้าหากันโดยไม่รู้ตัว
“เรื่องของอานผิงอ๋อง ก่อนหน้านี้เคยตรวจสอบมาก่อนหรือไม่?”
เมื่อหยิบเรื่องจริงจังขึ้นมาพูด หยุนซวนก็รีบทำสีหน้าเคร่งขรึมขึ้นมาทันที “ก่อนนี้ท่านชายเคยตรวจสอบแล้วมิใช่หรือ? อานผิงอ๋อง ผู้นี้นอกจากคลุกคลีอยู่ในวงการค้าขาย มีชื่อเสียงโด่ดเด่นแล้ว สิ่งเดียวที่เขาสนใจคือลูกชายของเขาเท่านั้น”
“ก่อนนี้เฟิงฉิ้นหว่านตั้งธงว่าจะทำการค้ากับตงเหว้ย วันนี้อานผิงอ๋อง อยู่ที่หลินผิง นางต้องไม่ปล่อยโอกาสเช่นนี้ไปแน่ แต่เขากลับทำตรงกันข้าม……”
หยุนซวนยืนอยู่อีกด้านรู้สึกถึงความสับสนเล็กน้อย พร้อมกับกระพริบตาไปมา “ท่านชาย หรือว่าแม่นางเฟิงจะก่อเรื่องอะไรขึ้นอีกแล้ว?”
ฟู่ลั่วเฉินวางจดหมายในมือไว้อีกด้านหนึ่ง จากนั้นไม่นาน จึงได้นำจดหมายนั้นเผาไฟทิ้ง ลุกขึ้นและเดินออกไปทางด้านนอก “เตรียมตัวเก็บข้าวของ”
หยุนซวนฉายแววตาเป็นประกายขึ้นมา “ท่านชาย ท่านจะกลับไปที่หลินผิงใช่หรือไม่?”
คำที่ว่า ‘วันเดียวไม่เจอหน้าก็รู้สึกเหมือนสามปี’ เป็นดังนั้นจริง ๆ เสียด้วย ท่านชายเพิ่งจะกลับมาได้ไม่กี่วัน ตอนนี้ก็แทบจะอดใจรอที่จะกลับไปแทบไม่ไหวแล้ว?
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ชายาบุปผาซ่อนพิษ