การแสดงที่สุดแสนอลังการเช่นนี้ทำให้แขกทุกคนที่มาที่หอหญิงงามเมืองมองดูอย่างพออกพอใจ การแสดงหลังจากนั้นก็น่าตื่นตาตื่นใจเช่นกัน สิ่งเดียวที่ทำให้ผู้คนรู้สึกเสียดายก็คือชั้นสี่ของหอหญิงงามเมืองไม่ได้รับแขกเพิ่มอีก
ครึ่งชั่วยามต่อมา เหล่าบรรดาแขกก็ค่อย ๆ แยกย้ายกันไป ด้วยสีหน้าท่าทางที่ยังไม่เป็นที่สมใจ
หวางจื้อหยวนหันหน้ากลับมามองทางหอหญิงงามเมือง ใบหน้านั้นเผยรอยยิ้มอย่างภาคภูมิใจ
คนมากมายเช่นนี้ต่างพากันออกมาแล้ว มีเพียงแค่อานผิงอ๋อง และใต้เท้าจ้าวที่ยังคงอยู่ในหอเช่นเดิม ดูแล้วแม่นางเฟิงคงจะมีความสัมพันธ์ที่ดีมากกับทั้งสองคนจริงเสียด้วย เลือกขึ้นเรือลำนี้นับว่าถูกต้องแล้ว
ภายในหอหญิงงามเมืองบรรดาแขกต่างกลับไปกันจนหมด เฟิงฉิ้นหว่านเดินขึ้นไปที่ชั้นสองพร้อมกับรอยยิ้ม ทำความเคารพแล้วเอ่ยปากพูด “ทำให้อานผิงอ๋อง ต้องรอนานแล้ว ก่อนนี้ได้ยินพวกบ่าวพูดกันว่า ท่านอ๋องเชิญข้าถึงสามครั้งแล้ว เพียงแต่ข้าต้องอธิฐานให้ท่านพ่อผู้ล่วงลับ ไม่สะดวกที่จะออกจากเรือน ดังนั้นจึงไปปฏิเสธไป ขอท่านอ๋องโปรดอย่าได้ถือสา”
อานผิงอ๋อง ใบหน้าแต่งแต้มไปด้วยรอยยิ้ม “แม่นางเฟิงเกรงใจเกินไปแล้ว เพราะข้าเชิญเจ้าอย่างกะทันหันเกินไป เป็นการรบกวนแม่นางด้วย”
อีกด้านเห้อเหลียนฉางเซิงอุ้มปลาคราฟตัวอ้วนกลมเดินเข้ามาทางเฟิงฉิ้นหว่านพร้อมรอยยิ้มอันสดใส “พี่นาง”
เฟิงฉิ้นหว่านยิ้มตอบกลับไป นั่งลงตรงเก้าอี้ข้าง ๆ ช่วยรินชาให้อานผิงอ๋อง กับจ้าวยี่ “ไม่รู้ว่าท่านอ๋องเรียกหาข้ามีเรื่องอันใดหรือ?”
“ครั้งแรกที่ได้เจอแม่นางเฟิง เจ้ากำลังปล่อยเจ้าว่าวปักเป้าอยู่ริมทาง แต่พอเมื่อเจ้าเห็นข้ากับฉางเซิงแล้ว กลับตัดเชือกว่าวในทันที ในตอนนั้นข้าก็รู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติ ดังนั้นจึงได้ทำความเข้าใจเกี่ยวกับประเพณีภายในนครหลินผิง”
เฟิงฉิ้นหว่านเผยใบหน้าที่แต้มไปด้วยรอยยิ้มบาง ๆ “ที่แท้ก็เพราะเรื่องนี้นี่เอง ท่านอ๋องเข้าใจผิดแล้ว เชือกว่าวนั้นข้าไม่ได้ดึงให้มันขาด เพียงแต่ว่าเผลอทำขาดโดยไม่ทันระวังเท่านั้น เป็นเพียงแค่เรื่องบังเอิญ ขอท่านอ๋องอย่าได้เก็บมาใส่ใจ”
“แม่นางเฟิง คนซื่อสัตย์จะพูดแต่ความจริง ไม่พูดคดเคี้ยว ในตอนนั้นข้าอยู่ในรถม้ามองการกระทำของแม่นาง เชือกว่าวนั้นถูกดึงให้ขาด หรือถูกลมพัดจนขาด ความแตกต่างที่นั้นข้าสามารถแยกแยะมันได้อย่างชัดเจน”
อานผิงอ๋อง จ้องมองเฟิงฉิ้นหว่านด้วยความสังเกต แต่กลับเห็นเพียงรอยยิ้มบาง ๆ ของนาง ไม่สามารถรับรู้สิ่งใดแม้เพียงเพียงเล็กน้อยจากสีหน้าของนางได้เลย ทำให้ในใจของเขายิ่งเพิ่มความระมัดระวังมากกว่าเดิม
อายุยังน้อยแท้ ๆ แต่กลับเก็บซ่อนความรู้สึกได้ดีมากถึงเพียงนี้ แม่นางผู้นี้ต้องเป็นคนที่มีความคิดลึกซึ้งเป็นแน่
“ขอแม่นางเฟิงได้โปรดอธิบาย เหตุใดเมื่อเห็นข้าและฉางเซิง จึงได้ดึงเชือกว่าวนั้นจนขาด? หรือว่าเพียงแค่ช่วงเวลาสั้น ๆ ที่แม่นางเฟิงพบเจอข้า ก็รู้ได้ในทันทีว่าร่างกายของข้าและฉางเซิงย่ำแย่ยิ่งนัก?”
นัยน์ตาของอานผิงอ๋อง แฝงไปด้วยรังสีแห่งการบังคับกดขี่เล็กน้อย ไม่ง่ายเลยกว่าจะได้พบเฟิงฉิ้นหว่าน เขาต้องแน่ใจให้ได้ว่าการกระทำของเฟิงฉิ้นหว่านก่อนหน้านี้ ที่แท้แล้วเพื่อดึงดูดความสนใจจากพวกเขา หรือว่านางมองเห็นอะไรจริง ๆ?
เช่นนี้ จึงจะสามารถรู้ได้ว่าจะรับมือกับนางอย่างไร
“ท่านอ๋อง ฉิ้นหว่านเป็นเพียงแค่แม่หญิงจากตระกูลเล็ก ๆ เพียงเท่านั้น เหตุใดท่านจึงต้องทำให้ข้าต้องลำบากใจด้วย?”
“เพียงแค่อย่างฟังความจริงสักสองสามประโยคเท่านั้น จากคำพูดของแม่นางเฟิงมีสิ่งใดให้ทำบากใจหรือ?”
“บางครั้งความจริงเมื่อพูดออกไป ก็เป็นเรื่องง่ายที่จะทำให้เกิดภัยแก่ตัว เหตุผลเช่นนี้ท่านอ๋องย่อมรู้ดี” เฟิงฉิ้นหว่านเหลือบตามอง แววตามั่นคงไม่สั่นไหว สงบนิ่งเป็นที่สุด
“สุขภาพของฉางเซิงข้ารู้ดี และจะไม่พาลโมโหแม่นางเฟิงเพียงเพราะพูดความจริง” อานผิงอ๋อง ขมวดคิ้วจริงจังเป็นการรับประกัน
เฟิงฉิ้นหว่านยิ้มบาง ๆ พร้อมส่ายศีรษะไปมา ยังคงไม่ยอมพูดสิ่งใดไปมากกว่าเดิม
และในเวลานี้เอง เห้อเหลียนฉางเซิงค่อย ๆ เขยิบเข้ามาทางด้านข้างของเฟิงฉิ้นหว่าน กอดปลาคราฟในอ้อมกอดเอาไว้แน่น ค่อย ๆ ดึงชายเสื้อของเฟิงฉิ้นหว่านด้วยความระมัดระวัง
“พี่นางอย่าได้ถือสา ข้าไม่มีทางให้เสด็จพ่อทำให้ท่านลำบากใจ”
เฟิงฉิ้นหว่านชะงักไปเล็กน้อย จากนั้นก็เผยรอยยิ้มสดใสขึ้นทันที “ขอบคุณท่านชายน้อย”
อานผิงอ๋อง ส่ายหน้า พูดด้วยน้ำเสียงมั่นคง “นอกเสียจากข้าจะตายแล้ว ข้าไม่มีวันที่จะทำให้ฉางเซิงต้องตกอยู่ในอันตราย”
“ข้าเข้าใจแล้ว” เฟิงฉิ้นหว่านเหลือบตามองไปทางด้านนอก “เวลาล่วงเลยไปมากแล้ว หอหญิงงามเมืองควรปิดได้แล้ว”
อานผิงอ๋อง ขมวดคิ้ว “แม่นางเฟิง เจ้าถามคำถามมากมายเช่นนี้ เพียงเพื่อจะล้อข้าเล่นอย่างนั้นหรือ?”
“ท่านอ๋องเข้าใจผิดแล้ว ฉิ้นหว่านเป็นเพียงแค่หญิงธรรมดาคนนึงเท่านั้น เหตุใดจึงกล้าล้อเล่นกับท่านอ๋อง?” อานผิงอ๋อง ในใจเป็นไปด้วยความโกรธปะทุขึ้นมา ขมวดคิ้วเตรียมจะระเบิดออกมา
เห้อเหลียนฉางเซิงรีบวิ่งมาข้างกายอานผิงอ๋อง หัวของปลาคราฟตัวอ้วนกลมที่อยู่ในอ้อมกอดนั้นชนเข้ากับร่างกายของอานผิงอ๋อง “เสด็จพ่อ พี่นางคือเด็กผู้หญิง จะทำให้นางขวัญเสียไม่ได้”
อานผิงอ๋อง มองไปทางสายตาของเฟิงฉิ้นหว่านทั้งยังเพิ่มการประเมินมากขึ้นอีก หากไม่ได้แน่ใจแล้วว่าเฟิงฉิ้นหว่านไม่เคยมีปฏิสัมพันธ์โดยลำพังกับฉางเซิงมาก่อน เขาคงจะต้องสงสัยว่าหญิงผู้นี้ได้ใช้มนต์คาถาใดทำให้คนหลงหรือไม่?
ด้วยนิสัยของฉางเซิง ถึงแม้จะอ่อนโยน แต่หลายปีมานี้ถูกทรมานจากอาการเจ็บป่วย ก็ทำให้ความคิดความอ่านของเขาเมื่อเทียบกับเด็กธรรมดาทั่วไปแล้วค่อนข้างจะเย็นชากว่ามาก
เขาชอบยิ้ม แต่น้อยครั้งนักที่จะเผยรอยยิ้มต่อคนแปลกหน้า แม้กระทั่งคนสนิทที่อยู่ภายในจวนอ๋องก็มีเพียงแค่เขากับพี่นางไม่กี่คนเท่านั้น กับคนอื่น ๆ นั้นมักจะไม่ยินยอมเข้าหาด้วยรอยยิ้มที่สบายใจเช่นนี้
แต่วันนี้ ฉางเซิงพบหน้ากับเฟิงฉิ้นหว่านเพียงแค่สองครั้งเท่านั้น แต่กลับเริ่มเข้าไปพูดคุยกับนาง ช่างเป็นเรื่องประหลาดเสียจริง
สายตาของเฟิงฉิ้นหว่านมองไปบนร่างของเห้อเหลียนฉางเซิง ไม่นานจากนั้น ก็เอ่ยปากพูด “เห็นแก่ท่านชายน้อย ฉิ้นหว่านบังอาจเตือนท่านอ๋องสักเรื่อง ความคิดทำร้ายคนไม่ควรมี ความคิดป้องกันตัวไม่ควรไม่มี คำพูดนี้ไม่ใช่แค่พูดลอย ๆ เท่านั้น จำเป็นต้องทำให้มันเป็นเรื่องจริงด้วย”
อานผิงอ๋อง แววตาสั่นไหว “แม่นางเฟิง คำพูดนี้หมายถึงสิ่งใดกันแน่? นี่เกี่ยวกับที่แม่นางดึงเชือกว่าวขาดอย่างไร?”
สีหน้าของเฟิงฉิ้นหว่านเย็นชาขึ้นมา “ท่านอ๋อง ตัวตนของท่านถึงแม้จะสูงศักดิ์ แต่กับข้าไม่เคยรู้จักกันมาก่อนเลย เป็นเพียงคนแปลกหน้าคนหนึ่งเท่านั้น ข้าทำได้เพียงเอ่ยปากพูดเตือนได้ถึงเท่านี้ และเห็นแก่ท่านที่ติดตามใต้เท้าจ้าวมาถึงที่นี่ หากมิเช่นนั้น แม้แค่คำเดียวข้าก็จะไม่พูด วันนี้เวลาล่วงเลยไปมากแล้ว หอหญิงงามเมืองควรส่งแขกได้แล้ว ท่านอ๋อง ใต้เท้าจ้าว เชิญเถิด”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ชายาบุปผาซ่อนพิษ