บนรถม้าเสิ่นเยว่มองเฟิงฉิ้นหว่านด้วยความรู้สึกที่อัดแน่นไปด้วยความเจ็บปวด : นางทำเป็นเหมือนไม่รู้สึกอะไร แต่ผู้หญิงใสซื่อบริสุทธิ์คนหนึ่ง ต้องมาโดนคน......จะไม่เจ็บปวดได้อย่างไร
“คดีตระกูลเกามีใต้เท้าจ้าวเป็นคนตัดสิน พวกเรากลับไปพักผ่อนก่อนเถิด”
เฟิงฉิ้นหว่านแหงนหน้าขึ้นมาแล้วอมยิ้มพลางส่ายหัว “ท่านแม่ ข้าได้เดิมพันกับคนคนหนึ่งเอาไว้ และมีเวลาเพียงหนึ่งเดือนเท่านั้น ตอนนี้ผ่านมาสองวันแล้ว ข้าไม่อาจรอช้าได้อีก ข้าอยากพบเถ้าแก่ร้านที่ท่านพ่อดูแล”
เสิ่นเยว่มองเฟิงฉิ้นหว่านด้วยสีหน้าลังเล “พ่อของเจ้าเสียชีวิตไปอย่างกะทันหัน แม่เองก็ไม่รู้เรื่องกลยุทธ์การค้า เจ้า......เจ้าเองก็ไม่เคยสัมผัสมาก่อนเช่นกัน ตอนนี้หลายๆ คนจึงพากันหนีไปหมดแล้ว”
เมื่อก่อนนางไม่เพียงไม่เคยทำมาก่อนเท่านั้น แต่ยังถูกเลี้ยงดูราวกับดอกไม้อันบอบบาง ไม่ได้ออกไปปรากฏตัวข้างนอกเรือนเลยด้วยซ้ำ ถ้าเมื่อก่อนไม่เป็นเช่นนั้นและรู้จักออกไปข้างนอกมากกว่านี้ คงจะมีคนเต็มใจที่จะยื่นมือช่วยเหลือนางบ้าง
“ท่านแม่ คนจากไปทุกอย่างก็แปรเปลี่ยน ข้าเข้าใจเรื่องนี้ดี แต่แม้ว่าคนอื่นอาจจะหักหลังเรา แต่ท่านอาฉินไม่มีทางทำแบบนั้น เขาเป็นผู้ช่วยของท่านพ่อ หากมีเขาอยู่ ตระกูลเฟิงของพวกเราไม่มีทางมีปัญหาอย่างแน่นอน”
เมื่อนึกถึงฉินฮั๋วเหนียนขึ้นมา ในใจของเฟิงฉิ้นหว่านก็เริ่มเจ็บปวด
เมื่อชาติก่อนตอนที่เกิดเรื่องขึ้นกับนาง เสิ่นเยว่ใช้สมบัติของตระกูลเฟิงเข้าแลกกับความอิสระของนาง ทุกคนต่างรังเกียจ ดูถูกนาง มีเพียงท่านอาฉินเพียงคนเดียวที่ปฏิบัติกับนางเหมือนอย่างเดิม และยังบอกอีกด้วยว่า ความสกปรกอยู่ที่ใจคน ส่วนนางเป็นผ้าขาวบริสุทธิ์......
ทว่าภายหลังท่านอาฉินพยายามช่วยนางแก้แค้น และช่วยนางแย่งเอาสมบัติของตระกูลเฟิงกลับมา จึงแอบเข้าไปที่ตระกูลเกาเพียงคนเดียว สุดท้ายกลับโดนเกาหนานทำร้าย......
เมื่อได้ยินชื่อฉินฮั๋วเหนียน เสิ่นเยว่จึงพยักหน้า “เจ้าพูดถูก เจ้าเพิ่งจะสละสมบัติของตระกูลเฟิง ท่านอาฉินจะต้องเป็นกังวลมากเช่นกัน”
เฟิงฉิ้นหว่านอ้าปาก คอของนางแห้งผาก “ท่านแม่ หากข้าต้องทำเรื่องพิเรนทร์หน่อย ท่านจะตำหนิข้าหรือไม่”
“เรื่องพิเรนทร์? เจ้าหมายถึงเรื่องอะไร” เสิ่นเยว่หันไปมอง ตอนนี้นางอ่านความคิดของเฟิงฉิ้นหว่านไม่ออกอีกต่อไปแล้ว
“ข้าไม่เคยทำการค้ามาก่อน มีหลายเรื่องที่ข้าไม่เข้าใจ แต่ข้าเข้าใจความคิดของคน ข้าต้องการแย่งกิจการของตระกูลกลับคืนมาภายในเดือนนี้ หากไม่สามารถเดินตามเส้นทางปกติได้ ข้าก็ต้องเดินทางลัด”
“ลูกจะทำยังไง”
“ท่านพ่อยกกิจการของตระกูลเฟิงทั้งหมดให้ลูก เหลือเพียงที่เดียวที่ยกให้ท่านอาฉิน”
“ยกให้ท่านอาฉิน......เจ้าหมายถึงหอหญิงงามเมืองรึ” เสิ่นเยว่เบิกตากว้าง จากนั้นจึงส่ายหน้า “เจ้าก็รู้ว่าที่นั่นเป็นสถานที่อย่างไร”
“ลูกรู้เจ้าค่ะ คือหอนางโลม”
“ในเมื่อเจ้ารู้แล้วทำไมต้องใช้สถานที่แบบนั้นด้วย”
“ท่านแม่ ข้าไม่บริสุทธิ์แล้ว ท่านแม่คิดว่าข้าสกปรกหรือไม่” เฟิงฉิ้นหว่านกัดริมฝีปากเบาๆ น้ำเสียงของนางสั่นเครือ
“จะคิดแบบนั้นได้อย่างไร เกาหวูต่างหากที่สารเลว”
“ผู้หญิงในหอหญิงงามเมืองพวกนั้นจำนวนมาก ไม่สิ ส่วนใหญ่แล้วน่าจะไร้หนทางอื่น หากสามารถมีหนทางใช้ชีวิตอย่างสงบสุขได้ ใครเลยจะยอมนั่งคุกเข่าขายเสียงหัวเราะให้บุรุษกันเล่า”
รถม้ามุ่งหน้าไปทางตรอกอานจู ก่อนจะไปหยุดอยู่ด้านหลังหอหญิงงามเมือง
ฉินฮั๋วเหนียนที่อยู่ด้านในหอหญิงงามเมือง เมื่อได้ยินลูกน้องรายงานก็ตกอยู่ในภวังค์อยู่นาน “เจ้าว่าอย่างไรนะ”
“ท่านฉิน ฮูหยินเสิ่นกับคุณหนูใหญ่มาที่นี่และตอนนี้รออยู่ด้านล่างตึกขอรับ”
ฉินฮั๋วเหนียนลุกขึ้นยืนแล้วคุกเข่าลงอีก เมื่อเห็นเสิ่นเยว่กับเฟิงฉิ้นหว่านรออยู่ที่ห้องโถงด้านล่าง ใบหน้าของเขาก็เคร่งเครียดขึ้น “ฮูหยิน คุณหนู เหตุใดถึงมาสถานที่แบบนี้ขอรับ”
เมื่อเฟิงฉิ้นหว่านเห็นท่าทางรีบร้อนของฉินฮั๋วเหนียน แววตาของนางจึงแสดงความเป็นกันเองออกมา “ท่านอาฉิน”
ฉินฮั๋วเหนียนรีบหันไปสั่งคนรับใช้ข้างกาย “ไปให้คนเฝ้าด้านนอกเอาไว้ ดูด้วยว่ามีใครเห็นหรือไม่ ไม่ว่าใครก็ห้ามเอาไปพูดจามั่วๆ เด็ดขาด”
“ขอรับ”
ฉินฮั๋วเหนียนมองใบหน้าของเสิ่นเยว่กับเฟิงฉิ้นหว่านอย่างระแวดระวัง และคิดจะให้คนรับใช้ยกน้ำชามาให้ แต่ก็รู้สึกว่าน้ำชาที่นี่ไม่สะอาดนัก แล้วจะให้พวกนางดื่มได้อย่างไร
“ฮูหยิน ถ้าอยากพบข้า ให้คนมาส่งข่าวก็ได้ ข้าจะรีบไปที่จวนทันที......”
“ท่านอาฉินเจ้าคะ ข้าเองที่อยากพบท่าน” เฟิงฉิ้นหว่านเอ่ย
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ชายาบุปผาซ่อนพิษ