หยุนชวนครุ่นคิดอย่างละเอียด จึงเอ่ยปากพูดว่า : “ตอนที่แม่นางเฟิงไปถึงเรือนจำ เพื่อที่จะไปสอบสวนฉือเหลียนผู้นั้น ฉือเหลียนรู้สึกแปลกใจอย่างยิ่ง แม่นางเฟิงพูดอย่างตรงไปตรงมาว่า เมื่อเข้ามาในเรือนจำแล้ว จะไม่ปล่อยให้ฉือเหลียนออกไปได้อีก”
ฟู่ลั่วเฉินขยับดวงตาเบา ๆ : “ฉือเหลียนเชื่อหรือ ?”
“ไม่เชื่อแน่นอน ฉือเหลียนผู้นั้นกล่าวว่าแม่นางเฟิงนั้นสามหาว พูดถึงเพียงภูมิหลังของตระกูลฉือ กล่าวว่าจะต้องส่งคนมาช่วยเขาอย่างแน่นอน อีกทั้งเขายังพูดอีกว่า ถ้าหากแม่นางเฟิงยอมปล่อยเขาไปตอนนี้ จากนั้นก็ปรนนิบัติเขาอย่างดีสักครั้ง เขาก็จะไม่ถือสาเรื่องในอดีต แต่ถ้าไม่ รอให้คนของตระกูลฉือมาถึง เขาจะให้แม่นางเฟิงต้องชดใช้อย่างแน่นอน”
ตาอันเฉียบคมของฟู่ลั่วเฉินหรี่ลง : “ปรนนิบัติ ?”
“ขอรับ ข้าน้อยเฝ้ามองอยู่ข้าง ๆ ฉือเหลียนผู้นั้นบ้าตัณหายิ่งนัก ไร้ยางอายสิ้นดี อยู่ในเรือนจำแท้ ๆ ยังทำท่าทีหื่นกระหายอยู่อีก” แววตาของหยุนชวนแสดงความรังเกียจออกมา
“จากนั้นล่ะ ?”
“ไม่รู้ว่าแม่นางเฟิงใช้วิธีการใด ฉือเหลียนผู้นั้นจึงล้มลงไปบนพื้นไม่อาจขยับเขยื้อนได้ จากนั้นแม่นางเฟิงก็ป้อนยาเขา แล้วหยิบขวดน้ำผึ้งใบเล็ก ๆ ออกมา ทาลงบนใบหน้า คอ และมือของฉือเหลียนทันที จากนั้นหนูและแมลงสาบจำนวนมาก ก็วิ่งเข้าใส่ฉือเหลียนผู้นั้น......”
เมื่อพูดถึงตรงนี้ หยุนชวนก็รู้สึกเสียวสันหลังขึ้นมา ภาพนั้นช่างติดตายิ่งนัก ตอนนี้เมื่อย้อนนึกถึง ก็ยังทำให้รู้สึกขนลุกได้
“ฉือเหลียนผู้นั้นตกใจจนไม่อาจควบคุมตนเองได้ พยายามดิ้นรนเพื่อจะหนี แต่กลับถูกแม่นางเฟิงเหยียบแขนเอาไว้ ฉือเหลียนดูเหมือนรูปร่างแข็งแรงกำยำ แต่กระดูกกลับอ่อนปวกเปียกเหมือนดินเหนียว แม่นางเฟิงเหยียบเพียงเบา ๆ แขนของฉือเหลียนก็หักแล้ว สุดท้าย ทั้งเรือนจำก็ได้ยินเสียงร้องอย่างน่าเวทนาของฉือเหลียน
หยุนชวนรู้สึกเสียวสันหลัง ถึงแม้จะรู้สึกหวาดกลัวอยู่ในใจ แต่ก็รู้สึกชื่นชมเฟิงฉิ้นหว่านในเวลาเดียวกัน
“ท่านชาย ท่านคงไม่รู้ว่าปกติแล้วในเรือนจำ มักจะมีคนร้องครวญครางและตะโกนร้องทุกข์อยู่เสมอ แต่วันนี้เมื่อได้เห็นวิธีการของแม่นางเฟิง นักโทษเหล่านั้นต่างตกใจจนตัวสั่น แอบอยู่ในมุมราวกับนกกระทา”
ดวงตาของฟู่ลั่วเฉินเป็นประกาย : “ด้วยเหตุนี้ ฉือเหลียนจึงยอมสารภาพแล้ว ?”
“เปล่าขอรับ คาดว่าฉือเหลียนเองกรู้ดีว่า หากสารภาพเรื่องนี้ออกไป เขาไม่มีทางรอดแน่นอน ดังนั้นเขาจึงไม่ยอมเปิดปาก จากนั้นแม่นางเฟิงจึงลงมือกับเขาต่อ ใช้เขาเพื่อล่องู แมลง หนู และแมลงสาบในเรือนจำออกมาเป็นระยะ ๆ ฉือเหลียนย่อมไม่ยอมแพ้เช่นนี้แน่นอน เขาพูดว่าตระกูลฉือจะต้องช่วยเขาทวงคืนความยุติธรรม จากนั้นแม่นางเฟิงก็นำจี้หยกออกมา แล้วแกว่งไกวด้านหน้าเขา ฉือเหลียนผู้นั้นก็หยุดนิ่งในทันที ตะโกนด่าตระกูลเกาอยู่พักใหญ่ จากนั้นจึงสารภาพทุกอย่างออกมา”
“จี้หยก ? เห็นชัดเจนหรือไม่ว่าเป็นจี้หยกอะไร ?”
“เป็นจี้หยกสลักลายกิเลน สีโปร่งใส น่าจะมีราคาไม่น้อย แต่ด้านบนไม่มีเครื่องหมายอะไรแม้แต่น้อย และไม่อาจมองออกถึงที่มาที่ไปได้”
“จี้หยก ตระกูลเกา ?” ฟู่ลั่วเฉินใช้ความคิดอย่างรวดเร็ว “เมื่อนำสองสิ่งนี้มาเชื่อมโยงเข้าด้วยกัน คิดว่าน่าจะหมายถึงเดิมทีจี้หยกเป็นของตระกูลเกา แต่ตอนนี้มาปรากฏอยู่ในมือของเฟิงฉิ้นหว่าน ทำให้ฉือเหลียนคิดว่าตระกูลเกายอมสารภาพแล้ว จึงได้ก่นด่าออกมาไม่หยุด”
“แต่ตอนนี้เกาหนานยังไม่พูดอะไรเลยสักนิด ? อีกทั้งสภาพของเขาก็ดูแย่ลงเรื่อย ๆ”
“เกาหนานจะพูดหรือไม่ไม่สำคัญ ขอแค่ฉือเหลียนเข้าใจว่าเขาสารภาพก็พอแล้ว” เบื้องหลังตระกูลเกาและตระกูลฉือต่างก็คือองค์ชายสาม หากตระกูลเกาสารภาพ ย่อมไม่ช่วยปิดบังให้ตระกูลฉืออย่างแน่นอน ถึงขั้นอาจโยนความผิดให้กับตระกูลฉือเสียด้วยซ้ำ เมื่อประกอบกับที่ถูกเฟิงฉิ้นหว่านทรมานด้วยการวางยา จึงรู้ว่าไม่อาจหนีพ้น ทำให้ฉือเหลียนยอมรับชะตากรรมในที่สุด”
“เป็นเช่นนี้นี่เอง แม่นางเฟิงช่างฉลาดจริง ๆ” หยุนชวนรู้สึกโล่งใจ
“ความฉลาดของนางยังมีอีกมากนัก !” ฟู่ลั่วเฉินครุ่นคิดอย่างละเอียด รู้สึกว่าการเดินทางมาหลินผิงครั้งนี้ต้องไม่สงบอย่างแน่นอน “ก่อนหน้านี้บรรดาคนที่เข้าไปยังชั้นสี่ของหาหญิงงามเมือง เจ้าจดจำไว้หมดแล้วหรือ ?”
“ขอรับ จำไว้หมดแล้วขอรับ”
“ส่งคนไปแอบสืบดูว่า หลังจากพวกเขากลับไปแล้วทำอะไรบ้าง อีกอย่างพรุ่งนี้ให้จับตาดูพวกเขาตั้งแต่เช้าตรู่ ทันทีที่พวกเขาเข้าไปในหอหญิงงามเมือง ให้กลับมารายงานข้าทันที”
“ท่านชาย ท่านว่าแม่นางเฟิงพูดอะไรกันแน่ ? คนพวกนี้หลงเชื่อแล้วจริง ๆ หรือ ? พวกเขาต่างเป็นพ่อค้าหัวใสมิใช่หรือ ? หรือว่าจะถูกหลอกง่ายดายเช่นนี้ ?”
“จะถูกหลอกง่ายดายหรือไม่ ต้องดูว่าคนที่หลอกพวกเขาคือใคร”
เมื่อคิดถึงตรงนี้ ฉินฮั๋วเหนียนก็รู้สึกประหม่าขึ้นมาในทันที
“เปล่า” เฟิงฉิ้นหว่านรีบส่ายหัว “ใต้เท้าจ้าวให้คนส่งข้ากลับจริง ๆ คงเป็นเพราะคนส่งข่าวพูดไม่ชัดเจน ข้าจึงคิดว่าที่ท่านอาฉินกลับไปที่หองามเมืองเพราะเกิดเรื่องขึ้น”
“เป็นเช่นนี้นี่เอง”
เพิ่งจะพูดจบ นางลี่ก็เดินขึ้นมาด้านบนอย่างรวดเร็ว : “ท่านชายน้อย ท่านฉิน นายท่านหวางมารออยู่ด้านล่างแล้ว บอกว่าต้องการขอพบท่านชายน้อย”
เฟิงฉิ้นหว่านลุกขึ้นและจัดแต่งเสื้อผ้า : “เชิญนายท่านหวางขึ้นมาด้านบน ข้าจะรอเขาอยู่ที่ชั้นสี่”
“เจ้าค่ะ”
เฟิงฉิ้นหว่านเพิ่งจะนั่งลงอย่างสงบที่ชั้นสี่ หวางจื้อหยวนก็รีบเดินเข้ามาทันที หลังจากเข้ามาแล้ว ก็ยกมือขึ้นคารวะเฟิงฉิ้นหว่าน : “ขอบคุณท่านชายฉินที่ชี้แนะ นับเป็นบุญคุณใหญ่หลวงยากจะตอบแทน”
เฟิงฉิ้นหว่านรีบลุกขึ้นเพื่อจะหลีกเลี่ยง ไม่กล้ารีบการคารวะในครั้งนี้ : “นายท่านหวางกำลังทำอะไร ?”
“ต้องขอบคุณคำชี้แนะของท่านชายฉิน ข้าถึงได้รู้ว่า อนุที่ข้าเพิ่งรับเข้ามานั้นมีเจตนาร้าย ! ถ้าหากไม่ใช่เพราะท่านชายฉินช่วยเตือนสติ เกรงว่าข้าคงถูกปิดหูปิดตา ถึงขั้นว่าในอนาคตตระกูลหวางอาจทายาทสืบสกุลจริง ๆ”
“ข้าก็เป็นเพียงผู้ส่งสารเท่านั้น นายท่านหวางไม่จำเป็นต้องเก็บไปใส่ใจ”
หวางจื่อหยวนยกมือขึ้นคารวะไปทางทิศเหนืออีกครั้ง : “ต้องขอบคุณนายท่านด้วย”
ตอนนี้เขาเชื่อเชื่อถือนายท่านที่เฟิงฉิ้นหว่านพูดถึงอย่างสนิทใจ เขารู้ว่า นอกจากเขาแล้ว คนอื่น ๆ ที่เข้ามาในหอหญิงงามเมือง ต่างก็ได้รับคำเตือนไม่มากก็น้อย คนที่สามารถกุมข้อมูลของคนมากมายเอาไว้ในมืออย่างไม่สะทกสะท้านเช่นนี้ นอกจากนายท่านที่อยู่ในเมืองหลวงเหล่านั้นแล้ว ยังมีใครมีกลอุบายเช่นนี้อีก ?
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ชายาบุปผาซ่อนพิษ