การกระทำที่เกิดขึ้นอย่างฉับพลันของเฟิงฉิ้นหว่านทำให้ฟู่ลั่วเฉินสังเกตเห็น: “เป็นอะไรไป?”
เฟิงฉิ้นหว่านหันกลับมา หลบตาลงแล้วคลี่ยิ้มบางๆ : “ท่านชาย ไม่ทราบว่าท่านชายเย่ที่ท่านพูดถึงเมื่อครู่ ใช่เย่ลั่วหาน......แห่งจวนกั๋วกงหยูหรือไม่”
เย่ลั่วหาน เรียกแทนตัวเองว่าเฉิงเหวย บุตรชายคนโตของท่านจวนกั๋วกงหยู
ฟู่ลั่วเฉินเลิกคิ้วขึ้นขมวด: “เจ้ารู้จัก?”
เฟิงฉิ้นหว่านพยายามข่มน้ำเสียงให้นิ่งสงบ แต่เขายังคงฟังออกว่าน้ำเสียงของนางเคล้าไปด้วยความดีใจ
เมื่อครู่ตนบอกว่าจะไป เฟิงฉิ้นหว่านเองก็พูดรั้งตามมารยาท ไม่มีความผิดหวังแม้แต่น้อย เวลานี้ได้ยินชื่อของเย่ลั่วหาน ก็ดีใจอย่างเหลือล้น?
“ฉิ้นหว่านใช้ชีวิตอยู่ในนครหลินผิงมาโดยตลอด ย่อมไม่มีโอกาสได้รู้จักท่านชายเย่ แต่ว่าเคยได้ยินชื่อเสียงของท่านชายเย่ ท่านชายเย่มากความสามารถ ได้ยินว่าอายุเพียงหกขวบก็แต่งกลอนได้แล้ว อายุสิบสองมีความรู้เปี่ยมล้น อายุสิบห้าเข้าร่วมการสอบขุนนาง เป็นจอหงวนคนใหม่ในปีนั้น ทำให้ฝ่าบาทชื่นชมไม่หยุด”
“เจ้ารู้จักเขาดีเหลือเกิน” น้ำเสียงของฟู่ลั่วเฉินเยือกเย็น เปลวไฟแห่งความขุ่นเคืองก่อตัวขึ้นในใจ
“ท่านชายเย่มีชื่อเสียงเลื่องลือ คาดว่าสตรีมากมายล้วนรู้ดี ไม่รู้ว่าตอนนี้ท่านชายเย่ถึงที่ใดแล้ว? ได้ยินว่าเขาสุขภาพไม่ดี ข้าพอจะมีความรู้ด้านการแพทย์อยู่บ้าง......”
“เจ้าจะไปแล้วไม่ใช่หรือ?”
“หื้ม?”
“ข้ายังมีเรื่องสำคัญต้องจัดการ เจ้าออกไปก่อนเถอะ” ฟู่ลั่วเฉินพูดจบ ก็เหยียดกายลุกขึ้น แล้วเดินไปที่ห้องหนังสือ
เฟิงฉิ้นหว่านยืนนิ่งอยู่ที่เดิม หลังจากผ่านไปครู่หนึ่ง ทำได้เพียงข่มความร้อนใจไว้ ทำความเคารพแล้วเดินออกไป
นางทำสีหน้านิ่งสงบ หลังจากเดินออกนอกสวนและขึ้นไปบนรถม้า นางเพิ่งจะเผยความกังวลที่แท้จริงออกมา
“ไปหอหญิงงามเมือง”
“ขอรับ”
รถม้าขับเคลื่อนไปด้านหน้าช้าๆ ทว่าความคิดของเฟิงฉิ้นหว่านกลับไกลออกไปเรื่อยๆ
หลังจากญาติในจวนเฉิงเสี้ยงพานางกลับไป ไม่ได้เผยธาตุแท้ออกมาตั้งแต่แรก โดยเฉพาะพี่สาวของนางซูหยู ตอนแรกอ่อนโยนและเป็นมิตรอย่างมาก
หลังจากเสื่อมเสียชื่อเสียง ใช้ชีวิตที่ถูกคนมากมายตราหน้าด่ากราด สัมผัสได้ถึงน้ำใจที่ดีงามเช่นนี้ นางดีใจจนน้ำตารินไหล ราวกับคว้าฟางเชือกสุดท้ายเอาไว้ได้ ทะนุถนอมน้ำใจนี้อย่างดี
ทว่าผู้ใดจะคาดคิด น้ำใจที่แสดงออกมาเหล่านี้อาบด้วยยาพิษ ทั้งยังซ่อนคมดาบเอาไว้ รอเพียงวินาทีที่ความจริงปรากฏ เริ่มจากบ่อนทำลายความหวังในใจของนาง จากนั้นกรีดชำแหละหัวใจที่ตายไปแล้วให้ป่นปี้
นางไปร่วมงานเลี้ยงกับพี่สาวที่แสนดี แต่กลับถูกคนวางแผนลอบทำร้ายชนอานเล่อจวิ้นจู่ จนล้ม ทำให้ปิ่นไข่มุกของนางตกลงไปในบ่อน้ำ อานเล่อจวิ้นจู่โมโหอย่างมาก บีบให้นางกระโดดลงไปในบ่อน้ำ แล้วงมหาปิ่นไข่มุกให้เจอ
เวลานี้ เดิมทีนางคิดว่าท่านพี่จะช่วยนาง ท่านพี่กับอานเล่อจวิ้นจู่สนิทสนมกันมาก แต่ท่านพี่กลับไม่พูดสิ่งใดแม้แต่คำเดียว
นางจึงจำต้องอดทนกับความเหน็บหนาวแล้วกระโดดลงไปในน้ำ งมหาปิ่นไข่มุกท่ามกลางเสียงหัวเราะเยาะของผู้คน
ขณะที่นางคิดว่าตนจะหนาวตาย ในที่สุดนางก็เจอปิ่นไข่มุก เดิมทีคิดว่าเรื่องจะจบลงเช่นนั้น ทว่าคิดไม่ถึงมีคนเชิญบรรดาท่านชายที่อยู่เรือนหน้าเข้ามา
สตรีชั้นสูงเหล่านั้นที่ปกติวางตัวสงวนท่าที เวลานี้กลับเจตนาพูดถึงเรื่องที่นางถูกคนพรากความบริสุทธิ์ในนครหลินผิง เสียงหัวเราะเย้ยหยันดังก้อง แววตาแปลกๆ จับจ้องมาที่นาง
วินาทีนั้น นางยืนนิ่งอยู่ที่เดิม ความหนาวเย็นในใจเหน็บหนาวยิ่งกว่าน้ำในบ่อน้ำ
ขณะที่นางเปี่ยมไปด้วยความสิ้นหวัง มีคนหนึ่งที่แตกต่างจากทุกคน เขาใช้ผ้าคลุมสีขาวห่อหุ้มเรือนร่างของนาง บดบังความเจ็บปวดและอับอายให้กับนาง
นางจำได้ดี คนผู้นั้นงดงามราวกับภาพวาด ลมหายใจสะอาดดั่งหิมะแรกในฤดูเหมันต์ ทว่ามีความหนาวเย็นของหิมะแม้แต่น้อย เขายิ้มอ่อนโยน ทำให้โลกใบเงียบสงบ
ในตอนหลังนางลอบสืบเรื่องนี้ จึงรู้ว่าเขาคือท่านชายจวนกั๋วกงหยู......เย่ลั่วหาน
ขณะที่หยุนซวนกำลังพูดอย่างสนุกปาก เขาก็สัมผัสได้ถึงไอสังหารที่ปะทะเข้ามา รีบถอยหลังสองก้าว
“ท่านชาย ข้าน้อยวิเคราะห์ให้ท่านด้วยความหวังดี ท่านไม่อาจโกรธเคืองเพราะเรื่องนี้ได้”
“ไม่จำเป็น”
“ไม่ช้าก็เร็วท่านชายจะเป็นฝ่ายเสียเปรียบอย่างแน่นอน!”
“ออกไป!” ฟู่ลั่วเฉินโยนตำราในมือ ไปที่หยุนซวน
ภายในห้องกลับสู่ความเงียบสงบ ทว่าความคิดของฟู่ลั่วเฉินกลับว้าวุ่นขึ้นเรื่อยๆ ความคิดที่ผุดขึ้นมาในสมองยิ่งอยู่ก็ยิ่งซับซ้อน สุดท้ายรวมเป็นคำว่าเฟิงฉิ้นหว่านสามพยางค์
ฟู่ลั่วเฉินดึงสติกลับมา แววตาของเขาแปรเปลี่ยนเป็นคมเฉียบอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน: โดยไม่รู้ตัว เฟิงฉิ้นหว่านมีอิทธิพลต่อความรู้สึกของเขาแล้ว หรือว่าตนให้ความสำคัญกับนางมากถึงขั้นนั้นจริงๆ หรือ?
เช่นนั้นเฟิงฉิ้นหว่านเล่า?
หลังจากผ่านไปครู่หนึ่ง ฟู่ลั่วเฉินเรียกหยุนซวนมา: “เจ้าให้คนส่งจดหมายไปบอกท่านพ่อ บอกว่าอีกวันข้าค่อยออกเดินทาง”
“ห้าวัน? ท่านชายจะอยู่ร่วมงานเทศกาลเทพเจ้าดอกไม้กับแม่นางเฟิงจริงๆ หรือขอรับ?”
ฟู่ลั่วเฉินเงียบ
ทว่าหยุนซวนกลับดีใจยิ่งนัก: “ว่ากันว่าเทศกาลเทพเจ้าดอกไม้เป็นการอวยพรให้กับชายหญิงที่มีใจตรงกัน ในวันนั้นจะมีการจัดต้นเทพเจ้าดอกไม้ขึ้นมา ทุกคนแขวนผ้าสีแดง พู่สีแดง เพื่อเป็นการอธิษฐาน ว่ากันว่าหากพู่ของผู้ใดพันเกี่ยวกัน ทั้งยังเป็นคู่รักกันนั้น เช่นนั้นก็หมายความว่าพวกเขาได้รับคำอวยพรจากเทพเจ้าดอกไม้ ท่านชาย จะให้ข้าน้อยไปจัดเตรียมหรือไม่?”
เขาผูกเงื่อนเก่งมาก โดยเฉพาะผูกเงื่อนโดยใช้พู่ หลังจากนั้นผูกแล้วไม่มีผู้ใดแกะออกได้
ฟู่ลั่วเฉินขมวดคิ้วเป็น : “ขืนเจ้ายังพูดมากเช่นนั้น ข้าจะมัดเจ้าเป็นปมแล้วโยนออกไป!”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ชายาบุปผาซ่อนพิษ