ชายาเกิดใหม่ของข้า นิยาย บท 100

ตอนที่ 100 หนีไม่ได้

จูเก๋อหมิงและเหล่าองครักษ์ตามหาชูเซี่ยไปตามท้องถนนในเมืองและตามเมืองเล็กๆนอกเมืองหลวง มีผู้พบเห็นนางจริงๆ ทั้ง

ยังบอกว่านางวิ่งตามลูกสุนัขตัวหนึ่งอยู่ แต่ทว่านางไปที่ใดกลับไม่มีผู้ใดทราบ

ด้านหลี่เฉินเย่นที่ไปสืบเรื่องชูเซี่ยในวังก็ไปถามเสด็จแม่ของตนเช่นกันแต่ก็ไม่ได้ข่าวคราวอะไรเลย

ยามเมื่อหลี่เฉินเย่นออกจากวังหลวงมาก็จัดการระดมคนออกไปตามหาด้วยตนเองเช่นกัน

แต่ทว่าเมืองหลวงกว้างใหญ่ถึงเพียงนี้การจะตามหาคนคนหนึ่งเป็นเรื่องที่ยากเย็นราวกับงมเข็มในมหาสมุทร

ยามนี้หลี่เฉินเย่นรู้สึกกระวนกระวายไปหมด ชายหนุ่มมีลางสังหรณ์ไม่ดีบางอย่าง เขาสังหรณ์ว่าจะเกิดเรื่องร้ายๆขึ้นกับนางจนหัวใจเริ่มทนไม่ไหว

หาอยู่นานจนในที่สุดหลี่เฉินเย่นกับจูเก๋อหมิงก็มาสมทบกันในที่สุด

จูเก๋อหมิงเองก็กังวลใจเรื่องชูเซี่ยไม่แพ้กัน “เป็นไปได้หรือไม่ว่าเรื่องการแต่งงานของเจ้าทำให้นางหนีไป”

หลี่เฉินเย่นที่นั่งพักอยู่บนก้อนหินใต้ต้นไม้เพราะร่างกายเหนื่อยล้าจากการตามหานางในดวงใจได้ยินเช่นนั้นหัวใจของเขาก็เจ็บแปลบ ชายหนุ่มเงยหน้าขึ้นมาถาม “เหตุใดจึงกล่าวเช่นนั้น หรือว่านางพูดอะไรกับเจ้างั้นหรือ”

เรื่องนี้เขาไม่เคยเอ่ยกับนางจริงจังนัก หลังจากที่นางทราบเรื่องการแต่งงานของเขา เขาเองก็หลบหน้านางมาโดยตลอด ถึงตอนให้สุดท้ายพวกเขาจะได้ใกล้ชิดกันก็ยังไม่ยอมเอ่ยถึงเรื่องนี้ขึ้นมาอีก ที่เขาไม่เอ่ยถึงเพราะกลัวว่าจะทำให้นางต้องเสียใจกลัวว่านางไม่อาจทำใจรับได้ ส่วนนางก็ไม่ได้เอ่ยถึงเรื่องนี้ขึ้นมาเช่นกัน ยามที่นางอยู่ต่อหน้าเขาก็ไม่เคยแสดงความเศร้าออกมาให้เขาเห็นเลยด้วยซ้ำ

เขาคิดว่าตราบใดที่นางรู้ว่าหัวใจของเขามีเพียงนางแต่เพียงผู้เดียว ต่อให้เขาต้องแต่งกับเฉินอวี่จู๋ก็เป็นเพราะถูกบังคับหาได้เต็มใจไม่ แต่มายามนี้เมื่อเขาได้ยินจูเก๋อหมิงเอ่ยขึ้นมาเขาก็เริ่มไม่มั่นใจเสียแล้ว ชายหนุ่มรู้สึกเสียใจขึ้นมา ต่อให้นางรู้และเข้าใจเขาจริงๆ เขาก็ควรจะสร้างความมั่นใจให้นางมากกว่านี้ไม่ใช่หรือ

จูเก๋อหมิงที่นั่งอยู่ข้างกายเขาก็เอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงอึดอัดใจเล็กน้อย “วันนั้นหลังจากที่หลี่อวิ่นกังกลับไป ข้าเห็นนางนั่งอยู่สวนในจวน สายตานางที่มองไปยังโคมไฟมงคลทั้งโศกเศร้าและเหงาหงอยยิ่งนัก”

ราวกับว่าหัวใจของเขากำลังถูกอะไรบางอย่างกัดกิน ทั้งเจ็บทั้งแสบ ชายหนุ่มลูบใบหน้าของตนเองแรงๆจากนั้นก็กุมหน้าผากอย่างกลัดกลุ้ม “เปิ่นหวางรู้ว่านางเสียใจ แต่พวกเราสองคนก็ไม่กล้าเอ่ยถึงเรื่องนี้ขึ้นมาอีก ความจริงแล้วนับตั้งแต่ที่เสด็จพ่อพระราชทานงานมงคลสมรสให้แก่เปิ่นหวาง เปิ่นหวางก็ไม่กล้าพูดคุยกับนางเรื่องนี้อีกเลย”

จูเก๋อหมิงถอนหายใจออกมา “เกรงว่านางคงหนีไปเองสินะ”

หลี่เฉินเย่นเงยหน้าขึ้นสบตากับจูเก๋อหมิง ใบหน้าหล่อเหลาเต็มไปด้วยม่านหมอกแห่งความโกรธแค้น ชายหนุ่มเอ่ยกัดฟันขึ้นมา “เปิ่นหวางไม่เคยรู้สึกโกรธแค้นให้ตัวเสด็จพ่อถึงเพียงนี้มาก่อน จูเก๋อ เจ้าไม่อาจนึกถึงได้แน่ว่ายามนี้จิตใจของเปิ่นหวางเจ็บปวดมากเพียงใด”

จูเก๋อหมิงเอือมมือไปตบไหล่ของสหายรักเบาๆ “เรื่องเป็นเช่นนี้เราก็ไม่มีหนทางแก้ไขได้อีกแล้ว เสด็จพ่อของเจ้าไม่ใช่คนธรรมดา พระองค์เป็นถึงองค์ฮ่องเต้ พระองค์เป็นผู้นั่งอยู่เหนือบังลังก์และมีอำนาจอยู่เหนือผู้คนทั้งปวง”

หลี่เฉินเย่นแหงนหน้าขึ้นมองฟ้า “ทุกคนต่างก็บอกว่าเปิ่นหวางโชคดีเหลือเกินที่ได้เกิดมาเป็นเชื้อพระวงศ์ แต่หากเปิ่นหวางกล่าวออกไปใครจะเชื่อเล่าว่าแท้จริงแล้วหากเปิ่นหวางเลือกได้ก้อยากเกิดมาเป็นเพียงสามัญชนคนธรรมดาเท่านั้น”

จูเก๋อหมิงก็รู้สึกเห็นอกเห็นใจสหายรักของตนขึ้นมา การเกิดมาในราชวงศ์นั้นมีทางเลือกไม่มากนัก อย่าว่าแต่ใช้ชีวิตตามใจตนเองเลยแม้แต่งานมงคลของตนเองก็ยังไม่สามารถกำหนดเองได้ เมื่อเกิดมาในราชวงศืก็เท่ากับว่าชีวิตของตนเองถูกปูทางเดินไว้ให้แล้ว ทุกย่างก้าวที่ต้องเดินล้วนแต่เป็นเส้นทางที่ถูกกำหนดไว้ให้แล้วว่าต้องเดิน หากเลือกก้าวออกนอกลู่นอกทางก็มีโทษถึงตาย แม้แต่การแสดงความมีน้ำใจหากถูกกำหนดว่าผิดก็ถือว่าผิด

หลี่เฉินเย่นผุดลุกขึ้นมาจากนั้นก็ก้าวเท้าอย่างอ่อนล้า “ไม่ว่านางจะหนีไปเองหรือถูกผู้ใดจับตัวไป เปิ่นหวางก็ต้องการหาตัวนางให้พบ จูเก๋อ เปิ่นหวางเคยสูญเสียนางไปแล้วครั้งหนึ่ง เปิ่นหวางจะไม่ยอมสูญเสียนางเป็นครั้งที่สองแน่”

จูเก๋อหมิงลุกขึ้นยืน เงียบไปครู่หนึ่ง “หากว่านางเป็นคนหนีไปเอง ข้าก็เต็มใจให้นางจากไปเสียดีกว่า”

หลี่เฉินเย่นนิ่งไปจากนั้นใบหน้าก็ค่อยๆแปรเปลี่ยนเป็นความโกรธ “เจ้ากล่าวเช่นนี้หมายความว่าอย่างไร”

จูเก๋อหมิงถอนหายใจ “พวกเราสองคนไม่อาจรู้ได้เลยว่าหัวใจของนางเจ็บปวดเพียงใด หากไม่ใช่ว่าข้าไปเห็นว่านางมองโคมไฟด้วยความเจ็บปวดเพียงใด ข้าหรือจะรู้ว่าแท้จริงนางเองก็เศร้าโศกถึงเพียงนั้น เฉินเย่นความรักของเจ้าเห็นแก่ตัวเกินไป

แล้ว”

ท่านหมอหนุ่มปีนขึ้นไปบนหลังม้าจากนั้นก็ก้มลงมามองหลี่เฉินเย่น “ไม่ว่าอย่างไร ตอนนี้สิ่งสำคัญที่สุดก็คือหานางให้พบจากนั้นก็ค่อยถามนางเองจะดีกว่า หากหานางจนพบและนางเป็นผู้ตัดสินใจหนีเอง ข้าก็จะเป็นฝ่ายช่วยนางเอง ไม่ว่าเจ้าจะยอมหรือไม่ก็ตาม เฉินเย่น ข้าเองก็ปรารถนาให้นางมีความสุขเช่นกัน!

ความคิดและคำพูดที่เอ่ยขึ้นอย่างตรงไปตรงมาทำให้เขาเงยหน้าขึ้นมองสหายรักของตนก็พบว่าจูเก๋อหมิงไม่คิดจะปิดบังความรู้สึกรักใคร่ในตัวชูเซี่ยของตนเองจากสายตาของเขาแม้แต่น้อย

ราวกับว่ามีค้อนหนักๆกระหน่ำทุบลงมากลางใจของเขาจนมันเจ็บปวด ยามนี้แขนขาของเขาหนักอึ้งเสียจนทำให้ร่างกายยากจะขยับเขยื้อนไปข้างหน้าได้ ในหัวของเขามีความจริงเพียงข้อเดียวที่เขาตระหนักได้ ไม่ว่าเขาจะทำเช่นไรก็ไม่มีหนทางใดเลยที่จะทำให้ชูเซี่ยมีความสุขกับชีวิตเช่นนี้ได้

ให้เขาปล่อยนางไปหรือ เพียงแค่คิดเขาก็เจ็บจนไม่อาจหายใจได้อีกแล้ว เขาจะปล่อยนางไปได้อย่างไรกันเล่า ความรักของเขาและนางฝังรากลึกราวกับเป็นส่วนหนึ่งของพวกเขา แล้วจะให้พวกเขาหรากจากกันได้อย่างไร

ชายหนุ่มกัดฟันพูดขึ้นช้าๆและชัดเจน “จูเก๋อหมิง หากเจ้าช่วยให้นางหนีไปล่ะก็ เปิ่นหวางจะฆ่าเจ้าทิ้งแน่!”

กล่าวจบเขาก็ขึ้นไปบนหลังม้าและห้อตระบึงราวกับคนเสียสติ

สายลมที่พัดผ่านราวกับใบมีดที่กรีดผ่านใบหน้าของเขา ชายหนุ่มรู้สึกหนาวเย็นจนถึงกระดูก แต่มันเป็นความหนาวเย็นที่เกิดขึ้นจากภายในร่างกายของเขาจนร่างทั้งร่างสั่นสะท้าน

ภรรยาของเขาทั้งชีวิตนี้จะมีเพียงนางเท่านั้น มีเพียงแค่ชูเซี่ยเท่านั้น

ชายหนุ่มขี่ม้าเข้ามาในวังหลวง ในหัวของเขาคิดเพียงเรื่องเดียวก็คือการแต่งงานในครั้งนี้จะต้องถูกยกเลิกเสีย การแต่งงานที่ไร้ซึ่งเหตุผลในครั้งนี้

ฮ่องเต้ทรงเข้าบรรทมแล้ว อีกทั้งยังบรรทมที่ตำหนักของพระสนมหลิง

ชายหนุ่มคุกเข่าอยู่หน้าตำหนัก แผ่นหินอ่อนหน้าตำหนักถูกปกคลุมไปด้วยด้วยหิมะบางๆ แม้ว่าก่อนหน้านี้ขาทั้งสองข้างของเขาจะได้รับการรักาจากชูเซี่ยจนหายดีแล้ว แต่ทว่าเมื่อมาคุกเข่าเช่นนี้ก็ทำให้อาการบอกเจ็บที่ขาของเขาเริ่มกลับมาอีกครั้ง

แม้ว่าค่ำคืนนี้จะไม่ใช่เวรของเสี่ยวเต๋อจื่อที่คอยดูแลฝ่าบาทแต่ทว่าเมื่อนางข้าหลวงไปรายงานเรื่องนี้กับเขา เสี่ยวเต๋อจื่อก็รีบร้อนตามมาทันที

อ๋องเก้านั่งลงอยู่ตรงหน้าของเขา “เพราะอยู่ในช่วงไว้ทุกข์ทำให้ฮ่องเต้ไม่สามารถรับนางสนมเข้ามาในวังได้ แต่ทว่าหลังจากผ่านพ้นร้อยวันไปแล้วเขาก็สามารถทำได้ เมื่อถึงตอนนั้นเขาก็สามารถรับตัวชูเซี่ยเข้าวังได้อย่างไร้ข้อกังขา”

หลี่เฉินเย่นทรุดตัวนั่งลงบนเก้าอี้อย่างหมดแรงในขณะที่ดวงตาคมจับจ้องมาที่อ๋องเก้าตาเขม็ง “ท่านกำลังจะบอกข้าว่าที่พระองค์ปลดเสด็จแม่ออกจากตำแหน่งก็เพื่อจะให้ชูเซี่ยขึ้นมาเป็นฮองเฮาแทนงั้นหรือ”

“หลายวันมานี้ ฝ่าบาททรงให้เปิ่นหวางรั้งอยู่ข้างกายของเขาตลอดเวลา เมื่อฝ่าบาทตัดสินพระทัยไปแล้วก็ไม่มีอะไรที่จะทำให้พระองค์ล้มเลิกความตั้งใจได้อีก แต่ทว่าในตอนนี้ที่ฝ่าบาทยังไม่ปลดฮองเฮาอย่างเป็นทางการก็เป็นเพราะพระองค์ยังเกรงพระทัยท่านตาของเจ้าอยู่ แต่ถ้าหากเจ้ายังดึงดันหาเรื่องยกเลิกการแต่งงานแล้วล่ะก็มันจะกลายเป็นข้ออ้างที่พระองค์ใช้ในการจัดการกับเสด็จแม่และครอบครัวของท่านตาเจ้าได้” ท่านอ๋องเก้าคิดแล้วก็รู้สึกหวาดกลัวขึ้นมา โชคดีเหลือเกินที่เขาได้รับข่าวทันท่วงที ไม่ใช่นั้นหากเรื่องที่เกิดขึ้นภายในค่ำคืนนี้ถึงหูของเสด็จพี่เรื่องทุกอย่างที่เขาทำมาก็จะสูญเปล่า

ใบหน้าของหลี่เฉินเย่นซีดเผือดไร้สีเลือด ยามทีเขาเข้ามาในวังเขาไม่ได้คิดไตร่ตรองให้ถี่ถ้วนแม้แต่น้อย ในหัวของเขาคิดเพียงเรื่องของชูเซี่ยและเขาเท่านั้น เขาไม่เคยคิดให้รอบคอบถึงผลที่จะตามมาด้วยซ้ำ ในฐานะที่เขาเป็นเชื้อพระวงศ์ไม่ใช่คนธรรมดา หากเขาก่อความผิดขึ้นผู้คนที่อยู่เบื้องหลังเขาก็จะต้องรับโทษทัณฑ์ไปด้วย

อ๋องเก้าจ้องมองที่เข้าด้วยแววตาล้ำลึก “หากเจ้าอยากเปลี่ยนแปลงสถานการณ์ มีเพียงวิธีเดียวเท่านั้นนั่นก็คือเจ้าต้องมีพลังมากพอที่จะควบคุมโชคชะตาของเจ้าเอง”

หลี่เฉินเย่นเข้าใจคำพูดของอีกฝ่ายดี หากเป็นเมื่อก่อนเขาก็คงจะโต้ตอบอีกฝ่ายอย่างดุเดือดไปแล้ว แต่ทว่ายามนี้เมื่อเขาฟังที่อีกฝ่ายพูดก็รู้สึกสะท้อนในใจเล็กน้อย

เขาตระหนักถึงความจริงที่สิ้นหวังของตนเอง นี่เป็นวิธีเดียวที่เขาเหลืออยู่จริงๆ

“เหตุใดท่านจึงช่วยข้า” หลี่เฉินเย่นระงับสติอารมณ์ของตนเองก่อนเอ่ยถามอีกฝ่าย

อ๋องเก้ารู้สึกเวทนาสงสารขึ้นมา “เพราะว่าเจ้ากับเปิ่นหวางมีอะไรหลายๆอย่างที่คล้ายคลึงกัน เราต่างไม่สามารถกำหนดชะตาของตนเองได้ ตลอดเวลที่ผ่านมาต่างก็ถูกผู้อื่นจูงจมูกอยู่เสมอ ยิ่งไปกว่านั้นครั้งหนึ่งเพราะความเห็นแก่ตัวของเปิ่นหวางกลับทำให้ชูเซี่ยต้องเดือดร้อนไปด้วย เปิ่นหวางเห็นว่านางเป็นดั่งน้องสาวคนหนึ่ง หวังให้นางมีความสุข มีแต่ความเจริญในชีวิตและจะไม่ยอมให้เกิดความผิดพลาดซ้ำรอยจนทำให้นางต้องโชคร้ายเด็ดขาด”

“หมายความว่าอย่างไร ผิดพลาดซ้ำร้อย?” หลี่เฉินเย่นเอ่ยถามอย่างกดดัน ไม่ว่าเรื่องใดที่เกี่ยวข้องกับชูเซี่ยเขาล้วนไม่อาจปล่อยผ่านไปได้

อ๋องเก้ายิ้มอย่างขมขื่น “หากไม่ใช่เพราะเปิ่นหวาง เสด็จพ่อของเจ้าก็คงไม่หมายปองในตัวชูเซี่ยถึงเพียงนี้ แต่ทว่ายามนี้ก็ไม่สามารถย้อนกลับไปแก้ไขอะไรได้อีกแล้ว”

ทันใดนั้นหลี่เฉินเย่นก็เข้าใจเรื่องราวทั้งหมด ชายหนุ่มเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงเย็นเยียบ “ท่านราชครูเป็นคนของท่านงั้นหรือ”

อ๋องเก้าส่ายศีรษะ “ใช่ แต่ทว่าคำพูดของเขาทั้งหมดล้วนเป็นเรื่องจริง ดวงของชูเซี่ยเป็นชะตาชีวิตของหงส์ นางมีโอกาสได้เป็นถึงฮองเฮาจริงๆ เด็กที่เกิดจากนางจะเป็นคนเหนือคน เดิมทีท่านราชครูก็ไม่ต้องการจะเอ่ยเรื่องนี้ออกไป แต่เพราะเปิ่นหวางเห็นว่ามันเป็นโอกาสเดียวจึงเลือกที่จะใช้ชูเซี่ยเป็นเครื่องมือของเปิ่นหวาง ดังนั้นเปิ่นหวางจึงบังคับนางให้เดินเข้าไปหาความหายนะทีละก้าวๆ จนถึงตอนนี้เปิ่นหวางก็ยังรู้สึกผิดและโทษตนเองอยู่เสมอ”

หลี่เฉินเย่นเหวี่ยงหมัดเข้าที่หน้าของท่านอ๋องเก้า เมื่ออ๋องเก้าถูกต่อยก็ถอยหลังไปหลายก้าว “ช้าก่อน!”

หลี่เฉินเย่นโกรธจนห้ามตนเองไว้ไม่อยู่ “หากไม่ใช่เพราะท่าน ข้าและชูเซี่ยจะต้องกลายมาเป็นเช่นนี้หรือ ท่านทำให้พวกเราต้องพบเจอความหายนะรู้บ้างหรือไม่!”

หลี่เฉินเย่นเดินมาแตะไหล่ของเขาเบาๆจากนั้นก็ส่ายหน้า “เจ้าไม่ได้ฟังที่เปิ่นหวางพูดเมื่อครู่เลยหรือ ชูเซี่ยนางมีดวงชะตาเป็นถึงฮองเฮา มีเพียงทางเดียวที่จะแก้ไขเรื่องทั้งหมดได้คือเจ้าจะต้องเป็นฮ่องเต้ขึ้นครองบัลลังก์แทนพระองค์จึงจะหยุดยั้งพระองค์ไม่ให้แต่งตั้งชูเซี่ยได้สำเร็จ หากไม่ทำเช่นนี้ช้าหรือเร็วอย่างไรชูเซี่ยก็ไม่อาจหนีชะตากรรมของตนเองไปได้ สุดท้ายนางก็จะต้องเป็นฮองเฮาของเสด็จพ่อเจ้า นี่เป็นโชคชะต้าที่สวรรค์กำหนดไว้แล้วเพียงแค่เปิ่นหวางเลือกที่จะเปิดเผย

มันออกมาให้เสด็จพ่อเจ้าได้ล่วงรู้เท่านั้น จนทำให้พระองค์เสียสติถึงเพียงนี้ หลี่เฉินเย่น นี่เป็นชะตากรรมของเจ้าเช่นกัน เจ้าไม่มีทางเลือกอีกแล้ว ”

หลี่เฉินเย่นจับจ้องที่เขานิ่งๆ ใจหนึ่งหวาดกลัวต่อชาติกำเนิดของตนเอง อีกใจหนึ่งก็กังวลถึงชะตากรรมของตนเองรวมถึงสิ่งที่จะเกิดขึ้นในไม่ช้า แต่ทว่าคำพูดของอ๋องเก้าเป็นเรื่องจริง เขาไม่มีทางเลือกอีกแล้ว! 

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ชายาเกิดใหม่ของข้า