ตอนที่ 101 ความจริงเปิดเผย
จูเก๋อหมิงใช้เวลาค้นหาอยู่ทั้งวันทั้งคืนก็ยังไม่พบ
จิตใจของท่านหมอหนุ่มก็เริ่มรู้สึกไม่สงบขึ้นมา แม้ว่าก่อนหน้านี้เขาจะคาดเดาว่าชูเซี่ยเป็นฝ่ายหนีไปเองเพราะทนอยู่ในสภาพเช่นนี้ไม่ได้ แต่ทว่าเมื่อกลับมาคิดดูอีกครั้งนางเองก็ไม่ใช่หญิงสาวที่ไร้ความรับผิดชอบถึงเพียงนั้นเสียหน่อย ต่อให้นางอยากไปจากเมืองหลวงจริงๆด้วยนิสัยของนางก็คงจะบอกออกมาตรงๆมากกว่า เพราะนางน่าจะรู้ดีว่าหากตนเองหายสาบสูญไปเช่นนี้ทั่วทั้งจวนอ๋องหนิงอานจะต้องพลิกแผ่นดินตามหานางแน่ นอกเสียจากว่านางต้องการให้หลี่เฉินเย่นยกเลิกการแต่งงาน ล้มเลิกความตั้งใจที่จะแต่งเฉินอวี่จู๋เข้ามาเป็นพระชายาในจวนอ๋องหนิงอาน
ยามที่หลี่เฉินเย่นออกมาจากวังก็ใกล้รุ่งเข้าไปแล้ว ใบหน้าของชายหนุ่มนิ่งเฉยเย็นชาไร้อารมณ์ เขาบอกเล่าคำพูดทั้งหมอของท่านอ๋องเก้าให้จูเก๋อหมิงฟังทุกถ้อยคำ จูเก๋อหมิงเมื่อได้ยินเช่นนั้นก็นิ่งอึ้งไม่อาจเอื้อนเอ่ยคำใดออกมาได้ เขาสัมผัสได้ถึงความเจ็บปวดของคนตรงหน้าแม้ว่าอีกฝ่ายจะไม่ได้แสดงออกมาเลยก็ตามที ท่านหมอหนุ่มลอบถอนหายใจออกมาอย่างแผ่วเบา สมองตื้อตันไม่อาจเอ่ยคำปลอบใจใดๆออกมาได้
“หากหานางไม่พบ เปิ่นหวางไม่แต่ง!” หลี่เฉินเย่นยังยืนกรานคำนี้เช่นเดิม จากนั้นชายหนุ่มก็เข้าไปค่ายทหารเพื่อบัญชากองทัพให้ช่วยกันพลิกแผ่นดินหาหญิงสาวเพียงแค่คนเดียว
เมื่อจูเก๋อหมิงลองคิดดูแล้ว พวกเขาตามหานางทั่วทุกซอกทุกมุมในเมืองหลวงแล้วกลับไม่พบแม้แต่เงาของนาง ในเมื่อค้นหาทั้งเมืองแล้วแต่ก็ยังไม่พบ ยามนี้ที่เหลือก็ก็มีเพียงแต่นอกเมืองเท่านั้น
ดังนั้นเขาจึงสั่งเหล่าองครักษ์ให้ออกนอกเมืองไปค้นหาตามชานเมือง
เมื่อออกนอกเมืองมาเขาก็พบว่าบริเวณชานเมืองล้วนแต่เต็มไปด้วยเหล่าทหารองครักษ์จากจวนอ๋องเจิ้นหยวนอยู่เกือบทั่วทุกที่จึงคาดเดาไปว่าพวกเขาอาจจะกำลังออกตามหาท่านอ๋องน้อยอานเหยียนอยู่ก็เป็นได้
ท่านหมอหนุ่มเดินไปสอบถามความคืบหน้าจากหนึ่งในองครักษ์เหล่านั้น “ได้ข่าวของพระราชนัดดาบ้างหรือไม่”
องครักษ์ผู้นี้รู้จักจูเก๋อหมิงจึงเอ่ยตอบอย่างว่าง่าย “คุณชายจูเก๋อนี่เอง ลำบากท่านแล้วล่ะ ท่านอ๋องน้อยของเรากลับจวนได้อย่างปลอดภัยแล้วขอรับ!”
จูเก๋อหมิงชะงักไป “ปลอดภัยกลับจวนแล้ว? แล้วเหตุใดพวกเจ้ายังระดมคนออกมามากมายอีกเล่า หรือว่ากำลังตามหาอะไรอยู่อีก”
องครักษ์ผู้นั้นนิ่งอึ้งไปก่อนจะโค้งกายขอลุแก่โทษ “ขออภัยด้วยขอรับ เรื่องนี้ข้าน้อยไม่อาจเปิดเผยออกไปได้” กล่าวจบ องครักษ์ผู้นั้นก็หันกายสั่งกำลังพลเคลื่อนย้ายไปที่สุสานคนไร้ญาติทันที
จูเก๋อหมิงจับพิรุธบางอย่างได้จึงมอบหมายให้องครักษ์ของตนตามหาอยู่บริเวณชานเมืองนี้ต่อไปส่วนเขาก็แอบตามกลุ่มองครักษ์ของจวนอ๋องเจิ้นหยวนไปทางสุสานคนไร้ญาติ
จูเก๋อหมิงเป็นผู้ที่มักจะปิดบังความสามารถด้านการต่อสู้มาตลอด ซึ่งความจริงแล้ววรยุทธของเขาเรียกได้ว่าเทียบเท่ากับหลี่เฉินเย่นเลยก็ว่าได้ แต่ทว่าเขาเป็นคนที่ไม่นิยมการใช้กำลังผู้คนภายนอกจึงมักจะมองว่าเขาเป็นเพียงบัณฑิตหนุ่มเสียมากกว่า
ระหว่างทางที่หมอหนุ่มสะกดรอยตามไปไม่มีองครักษ์ของจวนอ๋องเจิ้นหยวนรู้สึกตัวเลยสักคน
จูเก๋อหมิงตามมาจนกระทั่งเหล่าองครักษ์ขึ้นมาบนเนินเขาแห่งนี้แล้วก็พบว่าที่เนินเขาแห่งนี้ก็มีองครักษ์มากมายประจำอยู่ก่อนแล้ว พวกเขาแยกย้ายกระจัดกระจายกันและดูเหมือนจะมองหาบางสิ่งบางอย่างอยู่
ในเวลาที่จูเก๋อหมิงกำลังทำสีหน้างุงงงสงสัยอยู่นั้นเขาก็เหลือบไปเห็นเงาร่างสูงของหลี่อวิ่นกัง ท่านหมอหนุ่มชะงัก คนอย่างหลี่อวิ่นกังถึงขั้นมาที่เนินฝังศพไร้ญาติเช่นนี้เลยหรือ เพื่ออะไรกัน?
ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใดจู่ๆหัวใจของเขากลับรู้สึกหวาดกลัวขึ้นมาอย่างไม่ทราบสาเหตุ หรือว่าพวกเขาจะมีส่วนเกี่ยวข้องกับการหายไปของชูเซี่ยหนึ่งวันหนึ่งคืนเต็ม หรือว่าหลี่เฉินเย่นจะเป็นคนลักพาตัวชูเซี่ยไป เจิ้นหยวนอ๋องเกลียดชูเซี่ยมาโดยตลอด ชายหนุ่มคิดว่าชูเซี่ยเป็นกาลกิณี เป็นสตรีที่ยั่วยวนฮ่องเต้ทั้งยังทำให้หลี่เฉินเย่นลุ่มหลง เขาคงไม่ได้ลงมือทำร้ายชูเซี่ยหรอกใช่หรือไม่
หัวใจของเขาร้อนรนไปหมด ท่านหมอหนุ่มก้าวเท้าไปข้างหน้าก่อนจะเอื้อมมือไปกระชากองครักษ์ผู้หนึ่งมาหลังก้อนหินก้อนใหญ่ที่สามารถบังร่างของทั้งคู่ไว้ได้ จากนั้นก็กระซิบถามเสียงกดดัน “พวกเจ้ากำลังหาอะไรอยู่กันแน่”
องครักษ์ที่จู่ๆก็ถูกกระชากตัวมาข่มขู่ ใบหน้าก็เต็มไปด้วยความตื่นตระหนก แต่เมื่อมองเห็นใบหน้าของจูเก๋อหมิงชัดๆก็ค่อยๆเบาใจลงมา องครักษ์หนุ่มหันกลับไปมองรอบๆอย่างระมัดระวัง เมื่อเห็นว่าคนอื่นๆกำลังวุ่นวายกับการค้นหาอยู่โดยไม่ได้สนใจมาที่พวกเขาทั้งสองจึงเอ่ยกระซิบเสียงเบา “ท่านหมอจูเก๋อ เรื่องนี้ข้าน้อยไม่อาจบอกท่านได้จริงๆขอรับ อย่างไรเสียท่านอ๋องก็ยังไม่ทราบที่ท่านตามมาถึงที่นี่ ข้าน้อยว่าท่านรีบไปจากที่นี่ดีกว่าขอรับ”
เมื่อจูเก๋อหมิงได้ยินเช่นนั้นความหวาดกลัวในใจก็เพิ่มมากขึ้น เขากัดฟันพูด “เจ้ารีบพูดมาเดี๋ยวนี้ ท่านอ๋องของเจ้าเป็นผู้จับตัวท่านหมอเวินของจวนหนิงอานไปใช่หรือไม่”
องครักษ์นิ่งเงียบเอ่ยอะไรไม่ออก
หัวใจของจูเก๋อหมิงกระตุกวูบก่อนจะระเบิดโทสะออกมา “เขาเป็นผู้จับตัวท่านหมอเวินไปจริงหรือ เช่นนั้นพวกเจ้ามาอยู่ที่นี่เพื่อหาอะไรกันแน่ พวกเจ้ามาหาอะไรที่เนินฝังศพไร้ญาติแห่งนี้กันแน่” เพราะโทสะที่ถูกระเบิดออกมาทำให้เขาลืมที่จะยับยั้งเสียงของตนเอง เหล่าองครักษ์บริเวณใกล้ๆต่างรับรู้ถึงการมาของเขาทั้งสิ้น
เพียงแค่ชั่วพริบตาท่านหมอหนุ่มก็ตกอยู่ในวงล้อมของเหล่าองครักษ์เสียแล้ว
แม้ว่าทุกคนจะรู้จักจูเก๋อหมิงแต่ทว่าเพราะเรื่องนี้ท่านอ๋องของเขากำชับไว้หนักหนาว่าไม่อาจแพร่งพรายออกไปได้จึงได้แต่เอ่ยเสียงเครียดถามออกไป “ท่านมาทำอะไรที่นี่”
เจิ้นหยวนอ๋องก็รับรู้ได้ถึงการมาของจูเก๋อหมิงแล้ว ชายหนุ่มลุกขึ้นยืนเต็มความสูง เพียงแค่ใช้วิชาตัวเบาเพียงเล็กน้อยก็กระโดดมาหยุดอยู่ตรงหน้าของจูเก๋อหมิงด้วยใบหน้าเรียบเฉย หลี่อวิ่นกังหันกลับมาสั่งการองครักษ์ของตน “พวกเจ้าไปหากันต่อ!”
เหล่าองครักษ์น้อมรับคำสั่งรีบแยกย้ายกันค้นหาไม่เว้นแม้แต่องครักษ์ที่ถูกจูเก๋อหมิงกักตัวไว้ด้วย
จูเก๋อหมิงพุ่งเข้ามากระชากเสื้อของหลี่อวิ่นกังก่อนจะกระซิบเสียงเหี้ยม “เจ้าเป็นคนจับตัวชูเซี่ยไปจริงหรือ”
เมื่อหลี่อวิ่นกังได้ยินชื่อของชูเซี่ยร่างทั้งร่างก็แข็งค้าง ดวงตาคมจับจ้องไปที่จูเก๋อหมิง “นางคือชูเซี่ยจริงๆหรือ”
จูเก๋อหมิงปล่อยมือจากเขาทั้งยังถอยหลังไปก้าวหนึ่ง จากนั้นก็เอ่ยเสียงเครียด “ไม่ว่านางจะเป็นใคร เจ้าก็จับตัวนางมาไม่ได้ ปล่อยนางเดี๋ยวนี้”
หลี่อวิ่นกังเอ่ยถาม “นางคือชูเซี่ยจริงหรือ เป็นคนเดียวกับชูเซี่ยเมื่อสามปีก่อน?”
ในตอนนั้นจูเก๋อหมิงรู้ดีว่าหากยังปิดบังตัวตนของชูเซี่ยอีกจะต้องเกิดเรื่องกับนางแน่ เขาจ้องเขม็งมาที่หลี่อวิ่นกังจากนั้นก็พยักหน้าหนักแน่น “ใช่!”
ลมบนเขาที่พัดผ่านความหนาวเย็นมากระทบทำให้กิ่งไม้สั่นไหวและร่างทั้งร่างของคนที่อยู่บริเวณนี้สั่นสะท้าน ฝูงอีกาที่บินโฉบลงมาเพื่อกัดกินเหยื่อของตนส่งเสียงร้องน่าขนลุก “กา กา กา” กลิ่นเหม็นหืนอบอวลไปทั่วทุกที่ในเนินฝังศพแห่งนี้ ทุกครั้งที่ลมพัดผ่านก็ทำให้ทุกคนต่างก็พยายามกลั้นหายใจ
หลี่อวิ่นกังแหงนหน้าหัวเราะเสียงดังราวกับเสียสติ “ฮ่าฮ่าฮ่า ไม่ผิด เจ้ากล่าวได้ไม่ผิด เปิ่นหวางเป็นเพียงแค่คนโง่เง่าเท่านั้น! ฉลาดมาตลอดทั้งชีวิตแต่กลับถูกความโกรธทำให้ดวงตามืดบอด อยู่ต่อไปก็ไม่มีประโยชน์ เปิ่นหวางภาวนาให้นางสามารถกลับมาโดยตลอด แต่เมื่อนางกลับมาเปิ่นหวางกลับเป็นคนที่สังหารนางเองกับมือ เปิ่นหวางจะอยู่ต่อไปอีกทำไมเล่าไม่สู้ลงไปขอโทษนางที่ปรโลกไม่ดีกว่าหรือ!” แม้ว่าจะหัวเราะแต่น้ำตาของชายหนุ่มกลับไหลลงมาอาบแก้ม ใบหน้าบิดเบี้ยวไปด้วยความเจ็บปวด
หัวใจของจูเก๋อหมิงเป็นรูโหว่ขนาดใหญ่ เขามองหลี่อวิ่นกังก่อนจะเอ่ยปากพูดช้าๆชัดๆ “ท่านกลับไปสารภาพกับเฉินเย่นเถิด ต่อให้ท่านอยากจะตายก็ควรเป็นเขาที่ลงมือสังหารท่าน”
“สามปีมาแล้ว เขาต้องทนทุกข์ทรมานมาถึงสามปี ยากนักที่จะได้นางกลับมาอยู่ข้างกาย หากรู้ว่าชูเซี่ยตายไปแล้วเขาจะต้องไม่อยากมีชีวิตอยู่อีกต่อไปแน่...” จูเก๋อหมิงหันกายกลับมาทั้งยังยกมือขึ้นมาลูบหน้าตัวเองแรงๆ “ศพของนางเล่า?”
หลี่อวิ่นกังเอ่ยขึ้นด้วยใบหน้าซีดเผือด “เมื่อคืนคนของเปิ่นหวางพบนางอยู่กับอานเหยียน เมื่อนางพบทหารของเปิ่นหวางก็อุ้มอานเหยียนไว้ในอ้อมกอดแล้ววิ่งหนี เปิ่นหวางคิดว่านางเป็นผู้ลักพาตัวอานเหยียนไปทั้งยังนึกไปถึงเรื่องที่นางทำให้เสด็จพ่อลุ่มหลงจนอยากจะแต่งตั้งนางเป็นพระสนมจึงคิดว่านางจับตัวอานเหยียนไว้เพื่อต่อรองกับเสด็จพ่อ ดังนั้นเปิ่นหวางจึงถูกโทสะบิดบังจนหน้ามืดตาลายสั่งให้คนสังหารนางทิ้งเสีย จนกระทั่งอานเหยียนฟื้นขึ้นมาและบอกกับเปิ่นหวางว่าแท้จริงแล้วนางเป็นฝ่ายช่วยชีวิตอานเหยียนไว้ต่างหาก เปิ่นหวางรีบร้อนมาถึงที่นี่แต่ทว่าตอนมาถึงศพของนางก็หายไปเสียแล้ว ตลอดทางที่มีร่องรอยของสัตว์และซากศพถูกลากจูง คาดว่าศพคงถูกพวกหมาป่าลากไปแล้ว”
ตายแบบหาศพไม่พบ!
จูเก๋อหมิงนิ่งอึ้งตกใจจนพูดอะไรไม่ออก หัวของของเขาเจ็บปวดอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน เขาโกรธเสียจนเลือดทั้งร่างกายย้อนกลับขึ้นมาบนใบหน้าแม้กระทั่งดวงตาก็แดงก่ำ มีรอยยิ้มเยือกเย็นประดับอยู่บนริมฝีปากปากของเขา “ท่านมันสมควรตายเสียจริงๆ หากเป็นไปได้ข้าก็อยากเป็นผู้ลงมือสังหารท่านนัก!”
ใบหน้าของหลี่เฉินเย่นเรียบเฉย “เปิ่นหวางจะกลับไปสารภาพผิดกับเฉินเย่นด้วยตนเอง!”
จูเก๋อหมิงทรุดตัวลงนั่งบนก้อนหิน สองมือกุมศีรษะไว้ก่อนจะร้องออกมาอย่างเจ็บปวด
หลี่อวิ่นกังเดินลงจากเขา ขาของเขาทั้งสองข้างหนักอึ้งพอๆกับหัวใจของเขาที่หนักอึ้งไปด้วยความรู้สึกผิด เขาไม่อาจย้อนเวลากลับไปแก้ไขอะไรได้อีกแล้ว เขาต้องเป็นคนกลับไปสารภาพผิดกับหลี่เฉินเย่นด้วยตัวเอง ไม่ว่าน้องชายของเขาจะฆ่าหรือลงโทษอะไรเขาก็จะยอมก้มหน้ารับอย่างไร้ข้อแม้
จูเก๋อหมิงที่ถูกลมหนาวบนเขาพัดมากระทบใบหน้าสติก็ค่อยๆคืนกลับมา ท่านหมอหนุ่มทำสีหน้าครุ่นคิดก่อนจะนึกขึ้นได้รีบใช้วิชาตัวเบาเหาะทะยานลงจากเขาเพื่อไปตามหลี่อวิ่นกังให้ทัน เมื่อมาหยุดตรงหน้าของเขาก็รีบเอ่ย “เรื่องนี้ข้าอยากให้ท่านเก็บมันไว้เป็นความลับก่อน”
หลี่อวิ่นกังมองมาที่เขาอย่างตกตะลึง “เก็บเป็นความลับ? เหตุใดจึงต้องเก็บเป็นความลับด้วยเล่า”
จูเก๋อหมิงกล่าว “ข้อแรก หากท่านบอกกับเฉินเย่นว่าชูเซี่ยตายไปแล้ว เขาจะไม่มีวันยอมแต่งงานแน่ เมื่อถึงตอนนั้นเสด็จพ่อของท่านก็จะทรงมีข้ออ้างในปลดฮองเฮา ข้อสอง ท่านสังหารชูเซี่ย หากเสด็จพ่อที่แสนดีของท่านทราบเรื่องเข้าก็จะสั่งประหารจวนเจิ้นหยวนอ๋องของเจ้าทั้งจวนเป็นแน่ ท่านทำเรื่องโง่เง่า ท่านสมควรตาย นั่นมันก็เป็นเรื่องของท่าน แต่ทว่าทั้งฮองเฮา ทั้งจวนอ๋องรวมไปถึงโหร่วเฟยก็ไม่ควรถูกเจ้าทำให้ต้องโทษไปตามกันไม่ใช่หรือ”
หลี่อวิ่นกังตื่นตระหนก “เสด็จพ่อจะสั่งปลอดฮองเฮา? นี่มันเรื่องอะไรกัน”
จูเก๋อหมิงกระตุกยิ้มเย็น “แท้จริงแล้วท่านยังมองไม่ออกอีกหรือว่าเรื่องบาดหมางระหว่างท่านและหลี่เฉินเย่นเกิดจากแผนที่เสด็จพ่อของท่านวางแผนเอาไว้ จุดประสงค์ของพระองค์ก็คือทำให้พวกท่านสองพี่น้องต้องเข่นฆ่าแย่งชิงกันจนเลิกให้ความสนใจในบัลลังก์ของพระองค์ ส่วนชูเซี่ยเดิมทีนางก็ไม่ได้เป็นที่หมายปองของเสด็จพ่อท่านมาตั้งแต่แรก แต่ท่านราชครูเป็นคนของท่านเขาย่อมต้องเคยบอกเรื่องที่ชูเซี่ยมีดวงเป็นถึงหงส์ เป็นยอดหญิงที่จะได้ขึ้นเป็นฮองเฮาแล้วใช่หรือไม่ กอปรกับที่ตอนนี้นางยังครองตำแหน่งหัวหน้าพรรคมังกรเหินอีกด้วย แต่เดิมผู้ที่สามารถดำรงตำแหน่งหัวหน้าพรรคมังกรเหินได้นั้นจะต้องเป็นคนในราชวงศ์เท่านั้น ดังนั้นฝ่าบาทจึงยิ่งมั่นพระทัยว่าชูเซี่ยจะต้องเป็นสตรีที่เกิดในดวงหงส์เคียงมังกรเช่นพระองค์แน่ เพราะองค์ไทเฮาทรงสวรรคตทำให้ฝ่าบาทไม่อาจแต่งตั้งพระสนมได้เป็นระยะเวลาสามปี ดังนั้นพระองค์จึงต้องวางแผนไว้ให้อย่างรัดกุมก่อนที่จะถึงเวลารับชูเซี่ยเข้ามาในวัง ทั้งยังจำเป็นต้องปูทางให้นางขึ้นเป็นฮองเฮาเป็นหงส์ที่จะสามารถเสริมอำนาจให้แก่ฮ่องเต้อย่างพระองค์ เรื่องที่ไทเฮาทรงพระราชทานงานมงคลให้แก่เฉินเย่น เรื่องไร้สาระพรรคนั้นย่อมไม่ใช่ความคิดขององค์ไทเฮาแน่ อีกทั้งก่อนที่พระองค์จะสวรรคตนั้นยังคิดจะพระราชทานงานแต่งให้เฉินเย่นและชูเซี่ยอยู่เลยด้วยซ้ำแต่ทว่ากลับถูกเสด็จพ่อของเจ้าคัดค้านทั้งยังเกิดการทะเลาะกัน ดังนั้นพระองค์จึงปลอมสาส์นก่อนตายขององค์ไทเฮาว่าหลังจากครบร้อยวันแล้วเฉินเย่นต้องแต่งงานกับเฉินอวี่จู๋เพื่อตัดปัญหาในวันข้างหน้าในการที่พระองค์จะรับชูเซี่ยเข้ามาในวัง”
หลี่เฉินเย่นยกมือขึ้นห้ามไม่ให้อีกฝ่ายพูดอีกจากนั้นก็เอ่ยถามเสียงเข้ม “ฟังจากคำพูดของเจ้า เรื่องของอานเหยียนก็เป็นฝีมือของพระองค์ใช่หรือไม่ เป้าหมายก็คือต้องการให้เปิ่นหวางและเฉินเย่นทะเลาะกันจนถึงขั้นเข่นฆ่ากันงั้นหรือ”
จูเก๋อหมิงปรายตามองอีกฝ่ายด้วยสายตาเย็นเยียบ “อย่างน้อยท่านก็ไม่ได้โง่ไปเสียทีเดียว!”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ชายาเกิดใหม่ของข้า
ฉากนี้คือ..เจ็บหัวใจ😭😭😭...