ตอนที่ 54 ปลอบใจ
จูเก๋อหมิงเอ่ยเสียงเรียบ “ท่านทำอะไรย่อมต้องรู้อยู่แก่ใจไม่ใช่หรือ ในยามนี้หมอหลวงเข้าวังไปกราบทูลต่อฮ่องเต้แล้ว เกรงว่าอีกไม่นานก็คงต้องเสด็จมากันแน่”
ชูเซี่ยรู้สึกระโหยโรยแรง “ที่แท้เขาก็มองว่าข้าเป็นคนเช่นนี้เองสินะ” ทั้งๆที่นางและเขาต่างก็เคยผ่านประสบการณ์เฉียด
ตายมาด้วยกันแล้วแท้ๆ แต่เขาก็ยังมองว่านางเป็นคนเช่นนี้งั้นหรือ จริงอยู่ที่นางอาจเคยตายมาแล้วจริงๆ แต่นางก็ไม่เคยลืมว่าแท้จริงแล้วตนเองเป็นใครและควรดำเนินชีวิตต่อไปอย่างไร
ในความโกรธที่อัดแน่นเต็มหัวใจทำให้นางหลุดคำพูดบางอย่างออกมาโดยที่ไม่ทันคิด “เข้ากล้ามองว่าข้าชูเซี่ยคนนี้เป็นคนเช่นนั้นหรือ!”
โดยไม่ทันคิดนางก็เผลอตนบอกความจริงออกไปว่าตนเองเป็นใครออกไปเสียแล้ว นางหลับตาอย่างข่มอารมณ์ก่อนเอ่ยอีกครั้ง “พวกท่านออกไปให้หมด ข้าอยากอยู่คนเดียว” เรื่องทั้งหมดเป็นเพียงความบาดหมางของนางและหลี่เฉินเย่นเท่านั้น หาได้เกี่ยวข้องอันใดกับผู้อื่นไม่ อีกทั้งจูเก๋อหมิงก็เคยช่วยชีวิตนางไว้ นับว่าเป็นผู้มีพระคุณของนาง ต่อให้นางไม่รู้สึกซาบซึ้งก็ไม่สมควรใส่อารมณ์กับเขาเช่นนี้
จูเก๋อหมิงขมวดคิ้วมองนางอย่างพิจารณาเงียบๆ เมื่อเห็นนางหลับตานิ่งๆอย่างต้องการระงับอารมณ์ก็ไม่ได้เอ่ยอะไร
ออกมาอีก สุดท้ายหมอหนุ่มก็หันกายเดินออกไปจากห้องพร้อมบ่าวรับใช้ประจำตัว
หลี่เฉินเย่นนั่งอยู่ภายในห้องหนังสือ ในมือของเขามีภาพวาดอยู่ใบหนึ่ง เป็นทุ่งหญ้าเขียวขจีสุดลูกหูลูกตา มองเห็นวัวและแกะ ครั้งหนึ่งนางเคยยิ้มแย้มบอกกับเขาว่าจะไปเที่ยวทุ่งหญ้าเพื่อไล่ตามหนุ่มน้อยเลี้ยงแกะ ทัศนคติของนางบ่งบอกถึงความใจกว้างและเปิดเผยมาตลอด ในเวลาสั้นๆจะกลายเป็นหญิงสาวที่ใช้มารยาและงี่เง่าเช่นนี้ได้อย่างไร
เขาจำได้ว่าหลิวมี่เหอส่งคนไปตามเขาที่โรงหมอเพื่อให้เขาและจูเก๋อหมิงรีบกลับมาโดยเร็ว เมื่อเห็นนางนอนหมดสติอยู่บนเตียงทั้งยังมีเลือดไหลออกมามากมาย ลมหายใจของแผ่วเบาจนน่าใจหายราวกับตายไปแล้วก็ไม่ปาน ยามนั้นความกลัวเกาะกินหัวใจของเขาจนปวดร้าวไปหมด เขากลัวเหลือเกินว่านางจะตายไปแล้วจริงๆ ความกลัวที่เกิดขึ้นในตอนนั้นเพียงแค่เขานึกถึงก็ทำให้หัวใจเต้นแรงและเหงื่อไหล่ซึมออกมาตามฝ่ามือและทั้งร่างกาย
จูเก๋อหมิงกล่าวว่าโชคดีที่นางรู้จักใช้ผ้าห้ามเลือดของตนเองไว้ ไม่เช่นนั้นนางก็คงเสียเลือดจนตายแน่แท้
เขาใช้วิธีสกัดจุดห้ามเลือดของนางไว้จึงช่วยชีวิตนางกลับมาได้ แต่ทว่าหลี่เฉินเย่นกลับรู้สึกผิดหวังในตัวนางอย่างยิ่งจนในยามนี้ไม่อยากจะเห็นหน้าของนางอีก แม้กระทั่งคนของเรือนหรูอี้เขาก็ยังใจร้ายสั่งจำคุกมืดจนหมด
เมื่อจูเก๋อหมิงมาถึงหอตำรา เขาค่อยๆปิดตำราในมือลง อาจจะเป็นเพราะเคร่งเครียดกับเรื่องบัญชีในกองทัพมาก
จนเกินไปทำให้ยามนี้ใบหน้าคมซีดขาวไร้สีเลือด
ชายหนุ่มเงยหน้าขึ้นมองจูเก๋อหมิง “นางตายหรือยัง”
จูเก๋อหมิงส่ายศีรษะอย่างระอา “เหตุใดจึงต้องเอ่ยวาจาร้ายกาจเช่นนั้นด้วย เห็นได้ชัดว่าเจ้าเองก็มีใจให้นางไม่ใช่หรือ”
“เดิมทีอาจมี แต่ยามนี้ไม่มีอีกแล้ว” หลี่เฉินเย่นตอบเสียงเรียบ ในสายตาของเขาท่านอ๋องยิ่งผิดหวังมากก็ยิ่งดูจะแค้นใจมากขึ้นเท่านั้น
จูเก๋อหมิงลอบถอนหายใจออกมา “เดิมอาการของนางคงที่แล้วแต่ทว่าเมื่อนางรู้ว่าเหล่าข้ารับใช้ในเรือนของนางถูกคุมขังในคุกมืดก็กระอักเลือดออกมา หากเจ้าไม่อยากให้นางตายเข้าจริงๆก็รีบปล่อยพวกเขาออกมาเสีย ในความเห็นของข้าหากนางสามารถลงจากเตียงเองได้ก็คงบุกไปที่คุกมืดด้วยตัวเองแล้วล่ะ อีกอย่างหนึ่งคือนางไม่ใช่หลิวหยิงหลงจริงๆ”
หลี่เฉินเย่นชะงัก ก่อนจะมองไปที่นางเอ่ยเสียงแหบแห้ง “เหตุใดจึงกล่าวเช่นนี้”
จูเก๋อหมิงเล่าถึงยามที่นางเผลอตัวหลุดชื่อของตนเองออกมา “ยามที่คนเราตกใจมักจะเผลอหลุดพูดสิ่งที่เก็บไว้ในใจ
ออกมาเสมอ แท้จริงแล้วนางชื่อชูเซี่ยจริงๆ”
“ชูเซี่ย ชูเซี่ย ที่แท้นางก็เป็นโรคระบาดจริงด้วย!” หลี่เฉินเย่นถอนหายใจออกมาอย่างหนักใจ
ในใจรู้สึกหนักอึ้ง หากจะกลับชาติมาเกิดได้นั้นย่อมต้องหมายความว่าร่างเดิมของนางต้องตายไปแล้วจึงจะเกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้นได้ หากนางไม่ใช่หลิวหยิงหลง แสดงว่าหลิวหยิงหลงตัวจริงก็คงตายไปแล้ว แต่นางตายได้อย่างไร ตายเพราะอะไร เรื่องนี้ทำให้ชายหนุ่มรู้สึกละอายใจไม่ใช่น้อย เพราะเมื่อก่อนหลังจากที่นางแต่งเข้ามาในจวนอ๋องด้วยนิสัยของนางทำให้เขาไม่รู้สึกเห็นอกเห็นใจนางแม้แต่น้อยเพราะนางเป็นคนทำร้ายฉ่ายเวินจนกลายเป็นแบบนั้น
“หากเป็นเช่นนั้นจริง ในยามนี้พวกข้าควรทำอย่างไรกันดี นางมีที่มาที่ไปอย่างไรกันนะ” จูเก๋อหมิงรู้สึกมีความสุขยิ่งนัก
หลี่เฉินเย่นนึกถึงเรื่องราวภายในถ้ำที่นางเล่าเรื่องผีให้เขาฟัง โดยตัวละครหลักในเรื่องมีชื่อว่าชูเซี่ย บางทีเรื่องที่นางเล่ามาอาจจะเป็นเรื่องจริงก็เป็นได้ ชายหนุ่มจึงตัดใจเล่าเรื่องผีเรื่องนั้นให้จูเก๋อหมิงฟัง “เจ้าหมายความว่าหญิงสาวในเรื่องเล่านั่นก็คือชูเซี่ยคนนี้งั้นหรือ แล้วที่นางเอ่ยถึงห้องดับจิตนั่น ว่ากันตามตรงแล้วข้าไม่เคยได้ยินเรื่องห้องนี้ในแคว้นเรามาก่อนด้วยซ้ำ อีกทั้งแคว้นเราและแคว้นใกล้เคียงก็ไม่มีโรงหมอใหญ่โตอย่างที่นางเล่ามาอีกด้วย รวมถึงเรื่องหมอผู้หญิง หมอหญิงในแคว้นเราก็มีอยู่บ้างแต่ที่ได้รับการยอมรับแทบจะไม่มี”
“ความหมายของเจ้าคือนางไม่ใช่พวกต่างแดนงั้นหรือ” ดวงตาของหลี่เฉินเย่นฉายแววตื่นตระหนก
“กลัวแต่ว่านางจะมาจากแคว้นของศัตรูเสียมากกว่า บางทีพวกเขาอาจใช้วิชามนต์ดำใส่พระชายาจากนั้นก็สวมวิญญาณเข้าร่างของนางเพียงเพราะต้องการมาล้วงความลับของแคว้นเราก็เป็นได้ แต่ทว่าข้าไม่เข้าใจจริงๆว่าถ้ามีแผนการเช่นนี้ เหตุใดจึงต้องใช้สตรีด้วยเล่า สู้ใช้มนต์ดำสลับร่างกับผู้มีอำนาจไปเลยโดยตรงเลยไม่ดีกว่างั้นหรือ”
หลี่เฉินเย่นนึกขึ้นได้ว่าครั้งหนึ่งเสด็จพ่อเคยให้นางเป็นตัวแทนแคว้นมาก่อนก็ส่ายศีรษะปฎิเสธ “ไม่หรอก บางครั้งการใช้สตรีก็ง่ายต่อการจัดการหลายๆเรื่อง เพราะไม่มีผู้ใดเกิดความหวาดระแวงในตัวนางอยู่แล้ว”
จูเก๋อหมิงได้ยินเช่นนั้นก็ปักใจเชื่ออยู่หลายส่วน สีหน้าของท่านหมอหนุ่มหนักอึ้ง ทว่าเมื่อลองตรองดูให้ดีแล้วก็กล่าว
“ใช่แล้วล่ะ ฝั่งบิดามารดาเจ้าทางเราเองก็จำเป็นต้องปิดบังพวกเขาเช่นกัน บิดาของเจ้ารักละเอ็นดูเจ้ามากยิ่งกว่าผู้ใด หากเขารู้ว่าเจ้าเป็นเช่นนี้จะต้องทำให้อาการป่วยของเขากำเริบขึ้นมาอย่างแน่นอน หากเป็นเช่นนั้นจริงก็คงยากที่จะรักษาแล้ว”ฮองเฮาถอนปัสสาสะอย่างอ่อนพระทัย
เมื่อกล่าวถึงเรื่องนี้ ชูเซี่ยเองก็ไม่เคยพบเจอบิดามารดาของหลิวหยิงหลงมาก่อน นางไม่เคยกลับไปบ้านเดิมของเจ้าของร่างมาก่อน อีกทั้งพวกเขาก็ไม่เคยมาเยี่ยมเยียนนางเลยด้วย เมื่อได้ยินฮองเฮาตรัสออกมาว่าบิดาของตนป่วย นางก็รู้สึกกังวลขึ้นมา อยากทราบว่าเขาป่วยเป็นอะไรกันแน่ “หม่อมฉันไม่เคยกลับบ้านนานแล้ว รอให้หม่อมฉันหายดีก่อนจะกลับไปเยี่ยมเยียนพวกเขาดูสักครั้ง”
ฮองเฮาได้ยินที่ชูเซี่ยกล่าวมาก็เลิกพระขนงขึ้น “เจ้ารู้จักคิดเช่นนี้ก็ดีแล้ว ความจริงแล้วคนเป็นพ่อลูกกันจะไปมีความแค้นข้ามคืนต่อกันได้อย่างไรเล่า เรื่องพวกนั้นเจ้าก็อย่าได้นำมันมาใส่ใจอีกเลยนะ มี่เหอนางตั้งมั่นจะออกเรือนให้แก่เฉินเย่นอยู่แล้ว อีกทั้งเฉินเย่นเองก็มีใจให้นาง แล้วพ่อของเจ้าจะทำเช่นไรได้ในเมื่อลูกสาวทั้งสองต่างก็เป็นเลือดเนื้อของเขาทั้งสิ้น!”
เมื่อได้ยินที่ฮองเฮาตรัสมา ชูเซี่ยก็พอจะคาดเดาได้ว่ายามนั้นที่หลิวมี่เหอแต่งให้กับหลี่เฉินเย่นคงทำให้หลิวหยิงหลงรู้สึกเคียดแค้นบิดามารดาของตนเองอยู่มาก อีกทั้งอาจจะทะเลาะกันใหญ่โตเลยก็เป็นได้
ฮองเฮาตรัสเตือนสตินางอีกหลายคำจากนั้นก็ถวายของบำรุงและสมุนไพรให้นางอีกหลายอย่าง เมื่อทุกอย่าง
เรียบร้อยดีแล้วพระองค์และหรงเฟยก็เสด็จกลับวังหลวงไป
หลังจากฮองเฮาเสด็จกลับไป อ๋องเจิ้นหยวนและพระชายาก็เดินทางมาเยี่ยมเยียนนางทั้งคู่ เจิ้นหยวนเฟยจับมือชูเซี่ยไว้แน่นก่อนจะเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงอ่อนหวาน “เรื่องพวกนี้ไม่ว่าอย่างไรข้าก็ไม่เชื่อโดยเด็ดขาด ข้าเชื่อว่าเจ้าไม่ใช่คนเช่นนั้นแน่ ที่เจ้าทำเช่นนี้ต้องมีเหตุผลอะไรแน่จริงหรือไม่”
ชูเซี่ยรู้สึกซาบซึ้งประทับใจ นางนึกไม่ถึงจริงๆว่าคนที่เข้าใจนางมากที่สุดแท้จริงแล้วจะเป็นพระชายาเจิ้นหยวน แต่ยามนี้อยู่ต่อหน้าอ๋องเจิ้นหยวนนางจึงไม่อยากอธิบายอะไรให้มากความนัก หญิงสาวจึงทำเพียงพยักหน้ารับเบาๆ “ขอบคุณท่านมากที่เชื่อใจข้า!”
“หากเกิดอะไรขึ้นอย่าได้เก็บมันไว้ในใจแต่เพียงผู้เดียวนะ เจ้าสามารถเล่าให้ข้าฟังได้ ต่อให้ข้าไม่อาจช่วยเหลืออะไรเจ้าได้ แต่ไม่แน่ว่าหากได้ระบายออกมาก็อาจทำให้เจ้ารู้สึกสบายใจขึ้นบ้างก็ได้”
“ข้าไม่เป็นไรเจ้าค่ะ จริงๆนะ ข้าสบายดีมาก!” เดิมทีนางก็รู้สึกเย็นลงบ้างแล้ว แต่เนื่องด้วยคำพูดจากอ๋องเจิ้นหยวนทำให้นางอดที่จะเศร้าโศกขึ้นมาอีกครั้ง แต่ก็เพียงแค่ชั่วครู่เท่านั้นจากนั้นมันก็ค่อยๆจางหายไป
อ๋องเจิ้นหยวนเป็นบุรุษที่เงียบขรึมจึงไม่รู้จักวิธีการปลอบใจผู้อื่นเท่าใดนัก แต่คำพูดที่เขาเอ่ยออกมาทั้งหนักแน่นและ
มั่นคง “หากเจ้ารู้สึกว่าได้รับความอยุติธรรมก็สามารถมาบอกข้าได้ ต่อให้ข้าต้องแรกด้วยชีวิตข้าก็จะทวงความยุติธรรมให้เจ้าจงได้”
ชูเซี่ยได้ยินเช่นนั้นก็รู้สึกซาบซึ้งใจจนไม่อาจเอ่ยคำพูดอะไรออกมาได้
การปลอบใจของบุรุษบางครั้งก็ไม่อาจเข้าใจถึงจิตใจล้ำลึกของสตรี แต่ก็พอที่จะทำให้นางรู้สึกอบอุ่นหัวใจขึ้นมาได้บ้าง
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ชายาเกิดใหม่ของข้า
ฉากนี้คือ..เจ็บหัวใจ😭😭😭...