ตอนที่ 55 ทุ่มวางเดิมพันทั้งหมด
ทั้งๆที่เมื่อสักครู่นางเพิ่งจะรู้สึกท้อแท้สิ้นหวังจนไม่จากมีชีวิตอยู่ต่อไปแล้วไม่ใช่หรือไงกัน นางค่อยๆเผยรอยยิ้มออกมา “ขอบคุณพวกท่านมากเจ้าค่ะ ข้าไม่เป็นอะไรจริงๆ ไม่มีความอยุติธรรมใดๆด้วยเจ้าค่ะ”
พิษไข้ยังคงเล่นงานชูเซี่ยอยู่ตลอดทั้งวัน หมอหลวงกล่าวว่าอาการบาดเจ็บของนางยังย่ำแย่นักทำให้อ๋องเจิ้นหยวนและพระชายาไม่กล้ารบกวนการพักผ่อนของนางไปมากกว่านี้ พวกเขาเพียงแค่กล่าวเตือนสตินางอีกสองสามครั้งจากนั้นก็กลับจวนไป
หลังจากดื่มยาไปแล้วชูเซี่ยก็ค่อยๆผล็อยหลับลงอย่างช้าๆ แต่ร่างกายของนางเดี๋ยวร้อนเดี๋ยวหนาว บาดแผลที่ขาก็ปวดเป็นระยะๆ ยามนี้ใบหน้างามของนางซีดเผือดราวกับกระดาษเนื่องด้วยก่อนหน้านี้นางเสียเลือดไปมากนัก ยามที่เสี่ยวจี๋เข้ามาเห็นนางในสภาพเช่นนี้ก็ยังต้องหลั่งน้ำตาด้วยความสงสาร
แม้จะผ่านไปหลายวันแล้วพิษไข้ของนางก็ยังไม่มีทีท่าว่าจะลดเลยแม้แต่น้อยจนเหล่าหมอหลวงต่างอับจนหาทาง แม้แต่หมอเทวดาอย่างจูเก๋อหมิงก็ไม่รู้จะออกเทียบยารักษานางได้อย่างไร บาดแผลของนางนับวันยิ่งอักเสบและเริ่มเน่ามากขึ้นเรื่อยๆ ท่านหมอหนุ่มสอบถามว่าหลายวันมานี้นางได้ทำอะไรกับแผลของตนหรือไม่ ชูเซี่ยส่ายหน้า “ไม่มีเจ้าค่ะ”
จูเก๋อหมิงเป็นผู้ศึกษาวิชาการแพทย์มาหลายปี เขาเจออาการแปลกๆของผู้ป่วยมาไม่น้อย ยามปกติเทียบยาของเขามักจะมีคุณสมบัติห้ามเลือดและลดการอักเสบของแผล เขาใส่ผงยาซำฉิกลงไปที่แผลของนางแล้ว เลือดควรจะหยุดไหลถึงจะถูกแต่ทว่าบาดแผลของนางยังมีเลือดไหลออกมาอย่างต่อเนื่อง อีกทั้งยามที่บาดแผลมีเลือดไหลซึมออกมารอบๆแผลก็ยังมีตุ่มหนองขึ้นอีกด้วย
ในใจของชูเซี่ยรู้ดีว่าเกิดอะไรขึ้น ร่างกายนี้กำลังขับไล่ดวงวิญญาณของนางออกไป ยามที่นางตกอยู่ในภาวะครึ่งหลับครึ่งตื่นคนคนนั้นบอกกับนางว่า แรกเริ่มเดิมทีวิญญาณของนางกับร่างกายนี้ก็ไม่อาจเข้ากันได้อยู่แล้ว เพราะฉะนั้นในยามนี้แผลจึงไม่ยอมหายเสียที
หญิงสาวไม่ได้รู้สึกตื่นตระหนกแม้แต่น้อย นางรู้ดีว่าเวลาของนางเหลืออยู่อีกไม่มากแล้ว ดังนั้นยามที่นางยังสามารถ
รักษาสติของตนเองไว้ได้นางควรจะรีบฝังเข็มช่วยรักษาอาการขาของหลี่เฉินเย่นให้โดยเร็วที่สุด
แต่ทว่ายามนี้หลี่เฉินเย่นรังเกียจจนไม่อยากพบหน้านางเพราะเขาคิดว่านางทำเช่นนี้เพียงเพราะต้องการแก่งแย่งเขามาจากหลิวมี่เหอทำให้อย่างไรเสียเขาก็ไม่ยินยอมมาพบนางโดยเด็ดขาด
ร่างกายนี้นับวันก็ยิ่งขับไล่วิญญาณนางแรงขึ้น วันนี้ยามที่นางดื่มยาอยู่ก็อาเจียนออกมาจนหมด อาเจียนจนเสื้อผ้าเลอะไปหมดทั้งตัว เสี่ยวจี๋ก็เช็ดหน้าให้นางทั้งน้ำตา “ไม่อาจดื่มยาลงไปได้แล้วเช่นนี้ร่างกายของท่านจะดีขึ้นได้อย่างไรเล่าเจ้าคะ พระชายาลองโจ๊กเสียหน่อยแล้วค่อยดื่มยาดูอีกสักครั้งเถิด”
ชูเซี่ยหายใจเข้าลึกๆเพียงแค่ครั้งหนึ่งก็ทำให้หน้าอกของนางปวดร้าวไปหมดจนแทบหายใจไม่ไหว นางเอ่ยออกมาอย่างอ่อนแรง “พวกเจ้าช่วยไปซื้อของอย่างหนึ่งให้ข้าได้หรือไม่”
เสี่ยวจี๋รีบร้อนยืนขึ้น “อะไรหรือเจ้าคะ ท่านต้องการอะไรขอแค่กล่าวมา เสี่ยวจี๋จะรีบนำมาให้ท่าน”
ชูเซี่ยยกมือขึ้นอย่างยากลำบากเพื่อเช็ดนับตาให้แก่เสี่ยวจี๋ก่อนจะแย้มยิ้ม “เด็กโง่ ข้าไม่เป็นอะไรเสียหน่อย เจ้าไปร้านขายยาช่วยข้าซื้อ...” นางกดเสียงของตนเองให้เบาลงแต่ทว่าเสี่ยวจี๋ก็ยังได้ยินชัดเจนว่านางต้องการอะไร สาวน้อยเบิกตากว้างอย่างประหลาดใจ “พระชายา ท่านจะซื้อยาสลบมาทำไมกันเจ้าคะ”
ชูเซี่ยหายใจเข้าลึกๆก่อนรวบรวมกำลังเอ่ยขึ้นอีกครั้ง “รีบไป ไม่ต้องถามมาก!”
เสี่ยวจี๋พยักหน้าก่อนจะจัดผ้าห่มให้นางจนเรียบร้อย “ข้าจะรีบไปแล้วรีบกลับนะเจ้าคะ” เอ่ยจบนางก็เรียกสาวใช้นาง
หนึ่งมาคอยดูแลชูเซี่ยอย่างใกล้ชิด จากนั้นนางก็ตรงไปห้องครัวเพื่อบอกกล่าวกับมามาที่กำลังต้มโจ๊กไว้สักคำว่าจะออกไปทำธุระให้พระชายา
หัวค่ำ เสี่ยวจี๋ก็ไปเชิญหลี่เฉินเย่นมาที่เรือนหรูอี้ตามที่ได้รับมอบหมายจากชูเซี่ย นางเขียนจดหมายไว้ฉบับหนึ่งให้เสี่ยวจี๋มอบให้แก่เขา นางเชื่อว่าหากหลี่เฉินเย่นได้อ่านจดหมายฉบับนั้นจะต้องยอมมาพบนางแน่ๆ
เป็นเช่นที่นางคิด เมื่อหลี่เฉินเย่นได้อ่านเนื้อความในจดหมายเขาก็ยอมตามเสี่ยวจี๋กลับมาทันที
เมื่อมาถึงเรือนหรูอี้ ชูเซี่ยกำลังนอนเอนกายอยู่ที่ตั่งยาวริมหน้าต่าง ใบหน้างามทาแป้งไว้หนาแก้มถูกผัดไว้จนแดงเพื่อ
ปกปิดร่องรอยความเหนื่อยล้าของนาง คิ้วโก่งงามถูกเขียนไว้อย่างปรานีต ริมฝีปากอิ่มถูกทาชาดสีแดงงดงาม ทำให้ผู้พบเห็นรู้สึกว่านางอาการดีขึ้นมากแล้ว
นางยิ้มแย้มให้แก่ผู้มาใหม่ “ท่านอ๋องมาแล้ว!” ผู้ชายคนนี้ที่นางรักหมดใจและเป็นผู้ชายที่นางไม่มีวันที่จะได้มา
ครอบครอง ชายหนุ่มเดินมานั่งเก้าอี้ที่ห่างจากนางถึงสามจั้ง เมื่อไม่มีรถเข็นแล้วยามนี้เวลาไปไหนมาไหนเขาก็นั่งเก้าอี้ที่หลิวมี่เหอสั่งทำมาพิเศษก่อนหน้านี้แทน ใบหน้าหล่อเหลาฉายแววเย็นชา ดวงตาคมที่จับจ้องมาที่นางเย็นเยียบ “ดูจากสภาพเจ้าแล้ว ก็ดูดีขึ้นไม่เลวนี่!”
“ได้ทั้งหมอหลวงและหมอเทวดาคอยรักษาและดูแลอย่างใกล้ชิด ข้าย่อมไม่เป็นอะไรอยู่แล้วเจ้าค่ะ” ชูเซี่ยยังคงเอนกายนอนอยู่บนตั่งยาวพลางมองเขาด้วยใบหน้าเกียจคร้าน
“จูเก๋อหมิงบอกว่าเจ้าอาการไม่สู้ดี แต่ยามนี้ข้ามาเห็นด้วยตาตัวเองก็เห็นว่าเจ้าดีเสียยิ่งกว่าดี” คำพูดที่เขาเอ่ย
ออกมาแฝงไปด้วยน้ำเสียงประชดประชัน ทว่าชูเซี่ยกลับฟังไม่เข้าหูแม้แต่น้อย ยามนี้นางรู้สึกไม่สบายใจอย่างยิ่ง หัวใจของนางเจ็บปวดเสียใจ ในใจของเขาก็คงไม่อยากให้นางหายดีเลยสินะ จริงสิ ถ้านางตายไปเขาคงดีใจสินะ ถ้านางตายเขาก็จะได้แก้แค้นให้กับฉ่ายเวินอีกด้วย เขาคงพอใจเสียยิ่งกว่าพอใจสินะ
นางในยามนี้ใกล้ความตายเข้าไปมากขึ้นทุกขณะ นางเริ่มรู้สึกว่ายามนี้วิญญาณของนางเริ่มค่อยๆหลุดลอยออกจาก
ร่างกายอย่างช้าๆ ถ้าครั้งนี้วิญญาณนางออกจากร่างกายนี้ไปแล้วนางจะไปที่ไหนกันนะ เป็นไปได้ไหมว่านางจะได้กลับไปยุคปัจจุบันของนาง นางอยากเจอหน้าพ่อแม่เหลือเกิน
“หมอเทวดาจูเก๋อกล่าวเกินจริงไปแล้ว ความจริงข้าดีขึ้นมาแล้วต่างหากเล่า อีกไม่กี่วันก็คงลงจากเตียงได้แล้วเจ้าค่ะ” ชูเซี่ยกล่าวออกมา
หลี่เฉินเย่นแค่นยิ้มเย็น “อาการเจ้าจะเป็นอย่างไร ดีหรือไม่ดีก็ไม่เกี่ยวอะไรกับข้าแม้แต่น้อย”
ไม่ว่าอย่างไรนางก็ไม่มีวันเคยชินกับคำพูดเย็นชาของเขาเอาเสียเลย นางมองเขานิ่งๆ ใบหน้างามอ่อนโยนเอ่ยถามเขา
ด้วยเสียงอันแผ่วเบา “ในใจของท่านเกลียดเกลียดข้ามากขนาดนั้นเชียวหรือ”
หลี่เฉินเย่นหัวเราะออกมา “เกลียดเจ้า เพราะเหตุใดข้าจึงต้องเกลียดเจ้าด้วยเล่า”
ชูเซี่ยยิ้มขมขื่น “ไม่ผิดเจ้าค่ะ ข้ารู้ว่าหากไม่บอกไปเช่นนี้ท่านจะไม่ยอมมาหาข้า”
หลี่เฉินเย่นเริ่มบันดาลโทสะ แต่ทว่าจู่ๆเขาก็รู้สึกเวียนหัว เมื่อดวงตาคมเห็นถ้วยน้ำชาที่อยู่บนโต๊ะก็ฉุกคิดขึ้นมาได้ก่อนกัดฟันเอ่ย “เจ้าวางยาในน้ำชางั้นหรือ” ชายหนุ่มส่ายศีรษะพยายามต่อสู้กับสติที่เริ่มเลือนลาง แต่ตัวยานี้เป็นชูเซี่ยผสมมันขึ้นมา เพราะนางเรียนรู้ตัวยาสลบนี้มาจากคัมภีร์ร้อยพิษที่ยืมมาจากจูเก๋อหมิง ต่อให้กำลังภายในเขาจะล้ำเลิศเพียงใดแต่ไม่อาจทนฤทธิ์ยาสลบที่นางปรุงขึ้นมาเองได้อย่างแน่นอน หลี่เฉินเย่นค่อยๆหลับตาลงช้าๆจากนั้นก็สลบไป
ชูเซี่ยค่อยๆขยับกายที่เอนอยู่บนตั่งเป็นเวลานาน กำลังของนางใกล้จะหมดแล้ว
นางลงจากตั่งยาวด้วยความอ่อนแรงจนแม้แต่แรงเดินก็แทบไม่มี หญิงสาวเดินมาหยุดอยู่ข้างกายเขานางหยิบมีดขึ้นมาเล่มหนึ่งเพื่อตัดชายกางเกงของเขาออก นางไม่เหลือกำลังที่จะเปลื้องผ้าเขาและพาเขาไปนอนที่เตียงอีกแล้ว
นางรู้ดีด้วยกำลังภายในที่แข็งแกร่งของเขา อีกไม่นานเขาก็คงฟื้นขึ้นมา นางเหลือเวลาไม่มาก
หญิงสาวเอ่ยกระซิบเสียงเบา “ข้าอยากให้ท่านเชื่อมั่นในตัวข้าแต่มันก็ยากเหลือเกิน ดังนั้นข้าไม่มีทางเลือกจริงๆ ท่านได้โปรดอย่าเกลียดข้าเลยนะ”
นางหยิบเข็มทองออกมาพร้อมหายใจเข้าลึกๆ อาการวิงเวียนเริ่มเข้ามาจู่โจมนางช้าๆ ชูเซี่ยพยายามฝืนสติตนเองอย่างสุดความสามารถ ยามฝังเข็มนางจะผิดพลาดไม่ได้ หญิงสาวตัดสินใจฝังเข็มทองสี่เล่มลงบนจุดไป่ฮุ่ยบนร่างกายของตนเองเพื่อคืนสติก่อนจะกลั้นใจฝังเข็มให้เขา
เพียงแต่การบังคับร่างกายของนางเป็นไปได้อย่างยากลำบาก การฝังเข็มจุดไป่ฮุ่ยบนตัวนางจะส่งผลร้ายกับร่างกายนางค่อนข้างมาก นางรู้อยู่แก่ใจดีแต่ไม่อาจคิดเล็กคิดน้อยได้อีก แม้แต่เทวดาผู้นั้นยังกล่าวว่านางไม่อาจพ้นเคราะห์นี้ไปได้แล้ว เพียงแต่ก่อนนางตาย นางก็ยังอยากจะช่วยเขาให้หายดีดังเดิม
นางฝังเข็มได้เร็วและแม่นยำเพราะการฝึกฝนมาโดยตลอดในระยะเวลาที่ผ่านมา นางใช้ร่างกายของตนเองทดลองฝังเข็มไปตามจุดต่างๆของร่างกายตนเองจนนางมั่นใจดีแล้ว
เข็มทุกเล่มที่นางฝังลงไปจำเป็นต้องฝังค้างอยู่เช่นนั้นอย่างน้อยหนึ่งก้านธูป ทว่านางคงไม่อาจอยู่รอได้จนถึงตอนนั้นอีกแล้ว แต่ก็ไม่สำคัญอีกแล้วตราบใดที่เขามีเลือดไหลผ่านเส้นเลือดลงมา กำลังภายในของเขาจะช่วยเปิดจุดให้เลือดไหลทะลักลงมาเลี้ยงขาได้อยู่ดี
นางล้มลงบนหน้าอกของเขา ยามนี้นางไม่เหลือเรี่ยวแรงจะขยับอีกแล้ว ชูเซี่ยได้แต่ฟังเสียงหัวใจของเขาเต้นอยู่อย่างนั้น น้ำตาของนางไหลลงมาอาบแก้มอย่างห้ามไม่ได้อีกต่อไป เวลาของนางมาถึงแล้วสินะ นางไม่ขออะไรอีกแล้วในชีวิตนี้ นางเพียงแค่ขออยู่อย่างสงบและอบอุ่นเช่นนี้ไปจนวินาทีสุดท้ายเพียงเท่านั้น จากนี้ไปนางก็จะได้ไม่ต้องเจ็บปวดอีกแล้ว เขาจะไปร่วมเตียงกับผู้ใดนางก็ไม่ต้องทนเห็นภาพเช่นนั้นอีกแล้ว
ความจริงมีหลิวมี่เหออยู่เคียงข้างเขาก็เป็นเรื่องดี หญิงผู้นั้นรักเขาจากใจจริง ส่วนนางก็เป็นเพียงแค่วิญญาณดวงหนึ่งที่บังเอิญผ่านมาเข้าร่างก็เท่านั้น ส่วนเขาก็เป็นเพียงแค่ฝันที่สวยงามและเจ็บปวดแค่ตื่นหนึ่งเท่านั้น นางรู้สึกขอบคุณเทวดาท่านนั้นเหลือเกินที่ทำให้นางมีชีวิตอยู่ต่อมาตลอดหลายเดือนมานี้ ทำให้นางมีโอกาสได้รู้จักผู้ชายอารมณ์ร้ายคนหนึ่ง คนที่ไม่เคยทำดีกับนางเลยสักนิด
“ท่านใจร้าย...กับข้าเหลือเกิน แต่ว่าข้าก็ยังรักท่านเข้าจนได้...” ชูเซี่ยหอบหายใจก่อนจะเอ่ยปากพูดอย่างยากลำบาก “ข้าชอบเวลาท่านเรียกข้าว่าชูเซี่ย แต่ทว่าสำหรับท่านแล้วข้าอาจไม่ใช่โรคระบาด ไม่ใช่ภัยพิบัติของท่าน แต่สำหรับข้า ท่านเป็นทั้งภัยพิบัติและโรคระบาดของข้า ภัยพิบัติที่ท่านมอบให้ข้า...มันคือความรัก!”
นางอยากจะพยุงกายขึ้นมามอบจุมพิตที่หวานล้ำและลึกซึ้งให้แก่เขาเป็นครั้งสุดท้าย ตลอดเวลาที่ผ่านมาระหว่างพวกเขามีแต่ทะเลาะกันจนแทบไม่มีช่วงเวลาหวานซึ้งกันแม้แต่น้อย นางพยายามรวบรวมเรี่ยวแรงทั้งหมดพยุงตัวลุกขึ้นมาประทับริมฝีปากลงบนริมฝีปากเขา
ยาสลบในร่างกายของหลี่เฉินเย่นเริ่มเสื่อมลงช้าๆ ชายหนุ่มค่อยๆคืนสติเปิดเปลือกตาขึ้นมาก็พบว่าริมฝีปากของตนถูกผนึกด้วยริมฝีปากอันเย็นชืดของนาง ทันใดนั้นความจำก่อนหน้าก็สว่างวาบในหัวอย่างแจ่มชัด ครั้งแรกที่เขาพลาดร่วมเตียงกับนางก็เป็นเพราะนางวางยาเขา ความเดือดดาลฉายชัดขึ้นบนใบหน้าคม เล่ห์กลร้ายกาจต่ำช้าอย่างการวางยานางยังกล้าใช้มันกับเขาอีกเป็นครั้งที่สองงั้นหรือ ยิ่งเมื่อเขารู้สึกได้ว่าเสื้อผ้าช่วงล่างของตนไร้ซึ่งกางเกงก็ถึงกับโมโหจนขาดสติไปในทันที เขายกขาขึ้นเตะร่างของหญิงสาวที่อยู่บนร่างจนนางลอยละลิ่วไปกระแทกผลังจากนั้นก็ล่วงลงสู่พื้น
หญิงสาวกระอักเลือดออกมาคำโต นางนอนนิ่งอยู่บนพื้นเหลือบมองเขาที่ผุดลุกขึ้นมายืนก็ค่อยๆผุดยิ้มขึ้นมา มันเป็นรอยยิ้มแห่งความภาคภูมิใจราวกับว่าตนเองเป็นนรีแพทย์ที่ได้ส่งเด็กทารกในมือมอบให้สู่มือผู้เป็นมารดาได้สำเร็จ
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ชายาเกิดใหม่ของข้า
ฉากนี้คือ..เจ็บหัวใจ😭😭😭...