ตอนที่ 158 ภัยพิบัติจากโรคระบาด
บนตัวของคนพวกนี้เขามีเชื้ออะไร แค่บาดตรงผิวหนังเบาๆ ทำให้เนื้อเน่าขนาดนี้เลยหรอ? และเชื้อระบาดที่พวกเขามีมาจากไหน ถ้าเปล่าประกาศออกไปจะทำให้คนอื่นกลัวสักแค่ไหน?
โล่หวินหลานคิดยังไม่กล้าคิด มองด่องห้วนที่กำลังทรมานอยู่บนพื้นหิมะ หน้าผากของเขาเต็มไปด้วยเหงื่อ เพราะว่าความทรมานจึงทำให้กัดริมฝีปากของตนเองจนเลือดไหล
นางดึงผ้าผืนเล็กมายากเสื้อ แล้วจะไปห่อแผลบนแขนของด่องห้วน แต่ข้างหลังของนางมีมือใหญ่ๆยื่นมาแย่งผ้าจากมือของนางไป ร่างคนที่รู้สึกคุ้นเคยเข้ามาในสายตาของนาง ทำให้ใจที่กำลังว้าวุ่นของนางค่อยๆสงบลง
“อย่าไปจับโดนแผล จะทำให้ติดเชื้อง่าย” โม่ฉีหมิงพันแผลให้เขาและใช้ผ้าเส้นหนึ่งมัดเป็นปม
แล้วมองโม่ฉีหมิงที่ปรากฏออกมาอย่างกะทันหัน ในใจของนางรู้ตัวดี “ฉีหมิง นี่มันเรื่องอะไรกันแน่?”
โม่ฉีหมิงวางแขนของด่องห้วนลงด้วยสีหน้าเศร้าๆ และพูดขึ้นอย่างใจร้อน “กลับตำหนักค่อยว่ากัน” เขาก็พุ่งเข้าไปข้างในแล้ว
เวินอ๋องกำลังต่อสู้กับนับสินสิบกว่าคน ดาบยาวบนมือฟันคนตายไปหลายคน แค่งอตัวเองและยกมือใช้มีดฟันก็สามารถจัดการกับคนๆหนึ่งได้ สีหน้าของเขาดูเลือดเย็นมั้ง และโม่ฉีหมิงเองก็ขัดขวางคนแล้วคนเล่า เขาก็เหมือนเวินอ๋อง มือยกฟันดาบแบบไม่เหลือความใยดี
โล่หวินหลานมองโม่หวินหลานที่ปะปนอยู่ท่ามกลางการต่อสู้ ใจของนางเหมือนถูกแขวนไว้ในถังที่ห้อยบนที่สูง เหมือนใจเดี๋ยวลอยขึ้นเดี๋ยวตกลงอย่างไม่สม่ำเสมอ สุดท้ายคนพวกนั้นก็ล้มลงไปกับพื้นทั้งหมด หน้าที่เน่าเสียส่งกลิ่นเหม็นออกมา ตายจากไปแบบลูกตายังลืมอยู่แล้วไม่ยอมปิดลง
เวินอ๋องที่อยู่หลังเขากระตุกมุมปากขึ้นแล้วยิ้มมุมปาก มองหน้าพวกคนที่โดนฆ่า
“โม่ฉี่หาน เจ้าหมายความว่าอะไร? วันนี้เจ้าออกมาซื้อของกับข้าแต่กลับหนีออกมาช่วยคนอื่น? เจ้าเคยคิดไหมว่าข้าก็เกือบจะโดยคนพวกนั้นแพร่ระบาดใส่? ทำไมเจ้าช่วยคนอื่นแล้วไม่ช่วยข้า? เจ้าเคยคิดว่าข้าเป็นพระชายาในอนาคตของเจ้าหรือไม่?” ทันใดนั้น ข้างหลังของเขามีเสียงผู้หญิงส่งมา เสียงที่เย็นชาอย่างนี้เหมือนกำลังฆ่าคน
บรรยากาศที่เต็มไปด้วยหิมะที่สวยงามถูกคำพูดของเย่เซียวหลัวขัด
เวินอ๋องหันกลับไปอย่างไม่พอใจ คิ้วอีนเรียวยาวของเขาขมวดเป็นปม “เจ้าไม่ใช่ว่าอยู่ดีอยู่หรือ?”
“ข้าอยู่ดีงั้นหรือ? ข้าต้องบาดเจ็บก่อนเจ้าถึงจะมีความสุข? เพื่อช่วยโล่หวินหลาน เพื่อนางเจ้าจึงทิ้งข้าไว้คนเดียว......?”
เย่เซียวหลัวยังระบายไม่หมด เวินอ๋องอารมณ์จนทนไม่ได้แล้วระเบิดออกมาอย่างน่าโมโห “พอได้แล้ว กลับไปค่อยพูด”
พูดจบ ตนเองก็สะบัดแขนเสื้อ แล้วเดินไปตรงทางออกคนเดียว
เย่เซียวหลัวที่ยืนอยู่ข้างๆ นัยน์ตาของนางเหมือนกำลังเปียก น้ำตาหลั่งอยู่บนขนตา และเงยหน้าขึ้น กลั้นน้ำตาไม่ให้ร้องไห้ นางร้องไห้ไม่ได้ ไม่ได้เด็ดขาด
ทางนี้เป็นทางที่ตนเลือก นางเชื่อในสายตาของตนเอง พวกเขาแค่ต้องการเวลา ต้องการปรับความเข้าใจ
แต่ว่า แต่ว่าเมื่อกี้ที่นางอยู่ข้างนอก นางกลัวมาก
พื้นหิมะเย็นมาก หิมะขาวๆกองอยู่บนเท้าของนาง นางเดินจับมือเวินอ๋องเดินอยู่ในตลาด ตอนที่พวกเขาเดินอยู่บนถนน เห็นโล่หวินหลานกำลังเดินไปเดินมาอยู่ตรงประตูอย่างลังเล เวินอ๋องไม่พูดอะไรสักคำ กลับสะพัดมือนางทิ้งแล้วตามโล่หวินหลานไป ร่างอันสูงใหญ่ของเขาดูตื่นเต้นและเร่งรีบมาก
ทันใดนั้น ใจก็นางค่อยๆตกลงไป เหมือนตกลงลึกจนหาจุดสิ้นสุดไม่เจอ และสัมผัสอะไรไม่ได้แล้วเหมือนกำลังอยู่ในความฝันจอมปลอม
ทำไมตอนที่นางเห็นโล่หวินหลานก็มักไม่เห็นนาง
ยังไม่ถึงตำหนักด่องห้วนเป็นลมหมดสติไป
ลงจากรถม้า บ่าวที่อยู่ในตำหนักพยุงด่องห้วนลงมา โล่หวินหลานมองสิ่งที่เปลี่ยนแปลงโดยกะทันหันตลอดทาง ในใจรู้สึกตกใจและตื่นเต้น
สั่งพวกบ่าวยกด่องห้วนไปที่ห้องพักสำหรับแขกเสร็จ ด่องหย่าร้องไห้จนตาแดงเดินตามหลังไป อยากถามอะไรแต่ก็กลัวจะเป็นข่าวที่ไม่ดี
“พระชายา ด่องห้วนเป็นอะไรกันแน่? อันตราย อันตรายใช่หรือไม่? ข้า......ข้าสามารถทำอะไรได้บ้าง?” ด่องหย่าจับแขนเสื้อโล่หวินหลานไม่ยอมปล่อยแล้วร้องไห้อย่างเสียอกเสียใจ
ถ้าไม่มีด่องห้วน ชีวิตที่เหลือของนางก็ไม่มีทางดำเนินต่อไป
นี่เป็นแค่เรื่องที่เกิดขึ้นเพียงพริบตา นี่พวกเขาคงไม่ทันใช้ชีวิตในอนาคตร่วมกัน เรื่องมันก็เกิดขึ้นในเชิงที่นางคาดคิดไม่ถึง ถ้าฟ้าสวรรค์ทำให้พวกเขาต้องพัดพลาดจากกันเพราะความเป็นความตาย งั้นนางคงไม่ยอมให้ฟ้าลิขิตอย่างนี้
โล่หวินหลานรู้ว่านางรู้สึกยังไง และจูงนางขึ้นมา “ด่องหย่า ด่องห้วนจะไม่เป็นอะไร เขาบอกเจ้าแล้วว่าจะสู่ขอเจ้าก็จะฟื้นขึ้นมา พวกเจ้าจะต้องราบรื่น”
โล่หวินหลานเป็นหมอที่เก่ง ถ้านางรับประกันว่าจะเป็นแบบนี้ เรื่องมันก็จะเป็นไปอย่างที่นางบอก ใจของด่องหย่าเหมือนมีก้อนหินก้อนใหญ่ๆผูกอยู่ และก้อนหินนั้นค่อยๆร่วงลงมา
“พระชายา เจ้าเชื่อท่าน!” ด่องหย่าพยักหน้า
“เชื้อร้ายครั้งนี้ก็เหมือนโรคระบาดที่สิบปีก่อนเกิดขึ้น โรคระบาดครั้งนี้เกือบจะทำให้ครึ่งเมืองจิงเฉิงตายทั้งหมด คือฝันร้ายที่เกิดขึ้นกับโม่เย่มานมนาน” โม่ฉีหมิงยืนพิงอยู่ข้างๆ เสียงเบาๆที่ดังออกมาจากหน้ากากได้เปล่งออกมา
“โล่หวินหลานจับที่คีบไว้แน่นแล้วแน่นอีก เพื่อกันว่าตนเองจะทำตก นางรู้ว่าที่แบบนี้ไม่มีใครจะคิดค้นทำการวิจัยหรอก ถ้าได้รับการระบาดและติดเชื้อ ตายไปก็ไม่แปลกใจ
“งั้น โรคระบาดของสิบปีก่อน?” โล่หวินหลานตกใจจนใจสั่นแล้วถามขึ้น
“เชื้อโรคจากหนู” โม่หวินหมิงทำเสียงต่ำลง แค่เขาคิดถึงเรื่องนี้ก็ต้องกลัว”
ความอบอุ่นและความร้อนของอุณหภูมิห้องจู่ๆก็ลดลงเพราะโม่ฉีหมิง นางลืมตาขึ้นแล้วมองที่บาดแผลของด่องห้วน ที่คีบในมือของนางหยุดอยู่ตรงแผล
“งั้นโรคระบาดตอนนั้นคือใช้ยาอะไรให้การรักษา? ยังไงเป็นเรื่องสิบปีก่อน นั่นก็แสดงว่าต้องมีวิธีแก้ ถ้าเป็นเชื้อร้ายจากหนูจริงๆ ใช้วิธีแก้ของสิบปีก่อนก็น่าจะได้ผล”
ใครจะไปรู้ พอนางพูดจบโม่ฉีหมิงก็ส่ายหัวไปมา “ไม่มี สูตรยารักษาสูญหายไปแล้ว ไม่มีใครรู้ว่าหมอผู้นั้นเอาสูตรยาไปไว้ที่ไหน?”
ถ้ามียารักษาจริงๆ พวกเขาคงไม่ต้องกังวลขนาดนี้ ถึงแม้จะเป็นแค่ความหวังเล็กๆ พวกเขาต้องพยายามไปทำมันให้ได้ แค่ปัญหาตอนนี้ที่กลัวที่สุดคือไม่มีความหวังอะไรเลย
ตอนนี้เราสูญเสียคนไปประมาณหนึ่งในหกของเมืองจิงเฉิงทั้งหมด บนถนนกองไปด้วยศพที่ถูกเผา เต็มไปด้วยเสียงร้องห่มร้องไห้ ขนาดในวังยังมีบ่าวที่ได้รับโรคระบาด สิ่งที่ทำให้เขาจดจำได้ดีที่สุดคือพวกน้องๆของเขาเสียไปเพราะโรคระบาดครั้งนั้น
“ถ้า นี่เป็นโรคระบาดหนูจริงๆ เพื่อจะป้องกันไม่ให้มันระบาด ข้าทำได้แค่ตัดแขนของเน่าเสียนั่นทิ้ง นี่เป็นวิธีที่ดีที่สุดสำหรับการยับยั้งเชื้อร้าย ไม่งั้นถ้าเชื้อร้ายเข้าสู่ร่างกาย ผลที่ตามมาคงนึกไม่ถึงแน่นอนว่ามันจะร้ายแรงแค่ไหน” โล่หวินหลานมองโม่ฉีหมิงที่อยู่ข้างๆ รอการตัดสินใจจากเขา
คำพูดคำเดียวของนางทำให้โม่ฉีหมิงดึงความทรงจำของตนมาถึงปัจจุบัน ภายใต้สถานการณ์ที่ยังไม่มียารักษา ถ้าจะรักษาคนๆหนึ่งที่ติดเชื้อให้หายมันยาก แต่ว่านางมีความสามารถนี้ นางคือโล่หวินหลาน!
“ตัดเนื้อร้ายออก?” สายตาเย็นชาของโม่ฉีหมิงเปล่งประกายขึ้นมา นี่อาจเป็นวิธีที่ดีที่สุด
โล่หวินหลานพยักหน้า นัยน์ตาโปร่งใสคู่นั้นของนางเต็มด้วยความมั่นคง “ใช่ ตัดเนื้อร้ายออก ถือเวลาที่เชื้อร้ายยังไม่เข้าสู่ภายใน แต่ว่าวิธีนี้เหมาะกับอาการของด่องห้วนแค่คนเดียว คือกรณีที่ไม่ได้รับบาดเจ็บในอวัยวะที่ร้ายแรง นี่ไม่ได้เหมาะกับทุกคน
ด่องห้วนที่นอนอยู่บนเตียงรอนานกว่านี้ไม่ได้อีกแล้ว หน้าของเขาขาวซี้ด ริมฝีปากที่ขาวซี้ดค่อยๆเปลี่ยนสีเป็นสีม่วงอ่อน ถ้าจะช้าอีกก็จะกลายเป็นสีม่วง สีเข้มขึ้นเท่าไหร่ การติดเชื้อของเขาก็จะยิ่งร้ายแรง สุดท้ายจะกลายเป็นสีดำ
ทันใดนั้น มีเสียงฝีเท้าที่ฟังแล้วเหมือนจะรีบร้อนดังขึ้นจากนอกประตู ประตูถูกผลักออก กวินโม่หายใจหอบๆแล้ววิ่งเข้ามา
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ชายาข้ามภพ พิชิตใจท่านอ๋องไร้รัก