ตอนที่195 ความเจ็บปวดที่แสนทรมาน
ค่ำคืนที่มืดมัวจนน่ากลัว เย่เซียวหลัวพันเสื้อคลุมให้ตัวเองแน่นๆแล้วเดินออกมาจากหยองเซียงโหลว บรรยากาศข้างนอกที่เต็มไปด้วยหิมะที่หนาวเย็นไม่มีคนแม้แต่คนเดียว มีแค่ไม่กี่คนที่เดินผ่านข้างนางไป แต่ตอนที่เดินผ่านซอยที่สร้างด้วยกำแพงสูงทั้งสองข้างทาง มีไหหมักเหล้าได้กลิ้งออกมาจากข้างในแล้วมาโดนเท้าของนาง
นางมองไปยังไหที่กลิ้งออกมา เย่เซียวหลัวนึกว่าเป็นขี้เหล้าที่ไหนทำเยี่ยงนี้ และยื่นขาไปแตะไหนั้น และตะโกนขึ้น “ใคร? ออกมา ไม่งั้นอย่าหาว่าข้าไม่เตือน”
เสียงเฉยชาที่คุ้นเคยได้ดังขึ้นจากข้างใน เสียงนี้ทำให้เย่เซียวหลัวรู้สึกเริ่มกลัว นางเห็นเรือนร่างที่คุ้นตาเดินออกมาจากที่มืด ท่าทางเหมือนกำลังทำตัวไม่ถูก
เมื่อกี้นางตอบสนองแบบไม่กุลสตรีเลยใช่หรือไม่? เวินอ๋องชอบหญิงสาวที่ฉลาดแต่ต้องเชื่อฟังเขา การกระทำเมื่อตรู่ของนางเหมือนจะทำให้นางยิ่งไม่อยู่ในสายตาเขา เพราะจะทำให้นางดูเหมือนคนเกเร?
“เวินอ๋อง ทำไมถึงเป็นเจ้า? เจ้ามาอยู่ที่นี่ได้เยี่ยงไร? ยังดื่มเหล้าอีก?” เย่เซียวหลัวรู้สึกตกใจที่เห็นเขาอยู่ในสภาพอย่างนี้
แต่อีกไม่นานนางก็เข้าใจขึ้นมา โล่หวินหลานตายไป คนที่เสียใจก็ต้องมีเวินอ๋องอยู่แล้ว ตอนนี้ก็ให้เขาเสียใจไปสักพัก พอถึงเวลาอันสมควร ก็คงจะค่อยๆลืมไปเอง
“เย่เซียวหลัว ช่วงนี้เจ้ายิ่งอยู่ยิ่งกล้าหาญขึ้นนะ เข้าออกหยองเซียงโหลวบ่อยๆ ดูเหมือนว่าเจ้าสนิทกับจิ่นชื่อมากขึ้นนะ?” เวินอ๋องกัดฟันพูดคำพูดที่ยิ่งฟังแล้วยิ่งรุนแรง
อย่าให้คนอื่นรู้ว่านางกับจิ่นชื่อสนิทกัน เย่เซียวหลัวเลื่อนลูกตาของตน ทำเป็นซื่อ “ได้ข่าวมาว่าจิ่นซื่อเป็นโสเภณีระดับต้นๆของหยองเซียงโหลว ข้าเป็นคุณหนูสามแห่งตระกูลเย่ จะไปสนิทกับนางได้เยี่ยงไร? เป็นเรื่องตลกจริงๆ”
เพิ่งพูดจบ เวินอ๋องใช้มือใหญ่ๆของเขาจับมือของนาง และลากนางให้ไปเข้าใกล้ตนเอง บังคับให้สายตาของนางมองไปที่ตนเอง และบอกเตือนอย่างโหดเหี้ยม “อย่านึกว่าข้าไม่รู้จิ่นซื่อไม่ใช่คนดี”
จิ่นซื่อไม่ใช่คนดี แล้วตัวนางล่ะ? เย่เซียวหลัวยิ้มแห้งขึ้นมา ถ้าเขาชอบนางตั้งแต่แรกเริ่ม นางก็คงไม่ต้องเดินมาตามจุดๆนี้? ตอนนี้ เรื่องอะไรนางก็ทำไปแล้ว เหลือแค่บางอย่างที่ยังไม่ได้ทำ
“เจ้าเป็นห่วงข้าอยู่หรือ? กลัวว่าข้าจะถูกนางทำร้ายงั้นหรือ? เวินอ๋อง ไม่เคยคิดเลยนะว่าเจ้าจะเป็นห่วงข้า?” เสียงของนางฟังดูเหมือนกำลังยั่วยวนเขา
เวินอ๋องใช้หางตามองนาง และผลักนางออกอย่างรุนแรง และพูดขึ้น “ลองดูตัวเองสิว่ายังหลงเหลือความเป็นกุลสตรีหรือไม่? จริงๆเจ้ามันก็ไม่ต่างจากหญิงสาวที่อยู่ในหยองเซียงโหลวเลย ข้าถามเจ้าหน่อย โล่หวินหลานตายไป เรื่องนี้เจ้ารู้หรือไม่?”
พอพูดถึงเรื่องนี้ ในใจของเย่เซียวหลัวรู้สึกหวาดกลัวมากๆ สีหน้าของนางดูแย่ แต่ก็ต้องทำเป็นไม่รู้เรื่องอะไรใดๆ แล้วยืดอกพูดชึ้นอย่างมั่นหน้า “รู้สิ!ตอนนี้ทั่วเมืองหลวงต่างก็ลือกันหมด พระชายาหมิงอ๋องยังเป็นสาวอยู่เลย ทำไมถึงโดนคนฆ่า ข้าหนะคิดไม่ถึงจริงๆ”
นางทำเป็นเสแสร้งแล้วส่ายหัวไปมา และทำหน้าเศร้า
เวินอ๋องขมวดคิ้วขึ้น สายตาจ้องมองที่นางไม่เลื่อนไปไหน เหมือนจะมองให้ออกว่าสีหน้าของนางกำลังคิดอะไรอยู่ ดูว่านางกำลังพูดโกหกหรือไม่ เรื่องนี้มันเป็นเรื่องใหญ่มากๆ จะมีใครอีกที่รู้และเข้าใจจุดด้อยของโล่หวินหลานแล้วล่อนางออกไปนอกเมือง ถ้าไม่ใช่เพราะคนสนิทวางแผนแบบนี้ขึ้น มันจะมีเรื่องบังเอิญขนาดนี้เกิดขึ้นได้เยี่ยงไร?
และเรื่องที่เย่เซียวหลัวแค้นโล่หวินหลานไม่ใช่เรื่องแค่วันสองวัน ถ้ารู้ว่านางเป็นคนทำ เขาก็จะไม่ออมมืออย่างแน่นอน!
“เจ้ามองอะไร? เจ้าไม่เชื่อข้าหรือ? เจ้ากลับไม่เชื่อข้า? ข้าเหมือนคนที่ลืมบุญคุณแล้วทำเรื่องแบบนี้ขึ้นมาด้วยหรือ?” เย่เซียวหลัวพูดขึ้นอย่างมั่นหน้า นางยังไม่รู้ว่านี่เป็นอารมณ์ที่แท้จริงของนาง ต้องปิดบังอะไรอย่างนี้ไปทำไม
ท่าทางของนางทำให้เวินอ๋องรู้สึกตกใจมากๆ เขาค่อยๆคลายคิ้วที่ขมวดขึ้น ถึงแม้เขายังคงสงสัยอยู่ แต่ว่าไม่มีหลักฐาน และรวมไปถึงท่าทางของเย่เซียวหลัว ทำให้เขาไม่สามารถสงสัยนางได้จริงๆ
“ขอให้มันจริงเถอะ มิเช่นนั้น ข้าจะไม่ยอมปล่อยเจ้าไปง่ายๆ”
คำพูดแต่ละคำเหมือนกำลังบาดใจนางไปทีละนิดทีละนิด ทำให้ตัวสั่นไปทั้งตัว รอถึงเวลาที่นางมีสติขี้นอีกที เวินอ๋องก็เดินจากไปไกลแล้ว เหลือแค่เพียงเงาข้างหลังของเขาทิ้งไว้
ครั้งนี้ เย่เซียวหลัวไม่คิดจะรีบวิ่งไล่ตามเขาไป
นางหยุดอยู่ที่เดิม หิมะยิ่งตกยิ่งหนัก ทำให้นางนึกถึงว่าถ้าตอนที่เวินอ๋องรู้ความจริงเรื่องนี้เขาจะตอบสนองอย่างไร เขาจะโหดร้ายทารุณต่อตนเองหรือไม่ ถ้าวันนั้นมาจริง ใจของนางจะสามารถแบกรับความเจ็บปวดนั้นไว้ได้หรือไม่?
นางค่อยๆก้าวไปข้างหน้า เกล็ดหิมะค่อยๆเกาะตัวนางไป ขนตาของนางยังเต็มไปด้วยหิมะ ทันใดนั้น มีร่มคันหนึ่งกางอยู่บนหัวของนาง มือใหญ่ๆที่แสนอ่อนโยนและอบอุ่นค่อยๆปัดเกล็ดหิมะออกจากขนตาของนาง ศีรษะของนางค่อยๆซบลงกลางอกที่กว้างขวาง
“หิมะตกหนักขนาดนี้ รีบกลับบ้านเถอะ!อย่าอยู่ข้างนอกเดินเพ่นพ่านอยู่ข้างนอกตามลำพัง ตอนนี้เมืองหลวงไม่ปลอดภัย” เย่อวิ๋นกว่างพูดกับนางด้วยความอ่อนโยน เสียงอ่อนโยนนั้นดังขึ้นในหูของนาง
ได้ยินเสียงอันคุ้นหูและรักใคร่โปรดปราน ทำให้ใจของเย่เซียวหลัวค่อยๆอบอุ่นขึ้นมา เย่วิ๋นว๋างเป็นคนที่อ่อนโยนที่สุดของนาง ไม่ว่าจะเวลาไหน เขามักจะเข้าข้างนางตลอด ไม่ถามเหตุผลสักคำแต่คอยสนับสนุนตนเอง แค่เพราะว่าพวกเจาเป็นพี่น้องที่เชื้อสายเดียวกัน
“ท่านพี่ ออกมาได้เยี่ยงไร?” แก้มของเย่เซียวหลัวซบอยู่ตรงกลางอกของเขา และหาความอบอุ่นจากเรือนร่างของเขาเจอ
“ข้าให้ว่าเจ้าไม่กลับตำหนักสักที เลยออกมาตามหา ข้าเป็นห่วงความปลอดภัยของเจ้า ตอนนี้ขนาดพระชายาหมิงอ๋องยังถูกคนอื่นลงมือ พวกข้าจะโดนขนาดไหน?” เย่อวิ๋นกว่างขยี้ผมของนางจนยุ่ง “อย่าซบอกพี่เยอะขนาดนั้น เดี๋ยวอาซ้อในอนาคตจะโกรธเอา”
เย่เซียวหลัวถูกเขาให้แกล้งจนหัวเราะทันทีทันใด นางเงยหน้าขึ้นมาจากแผงอกของเขา “พี่สะใภ้ในอนาคตอยู่แห่งใด? น้องจะบอกอะไรให้ท่านพี่นะ ท่านพี่ช้าเกินไปหรือไม่? ท่านพี่ดูท่านพี่ใหญ่สิ แล้วลองดูลูกพี่ดู ถ้าท่านพี่ยังไม่แต่งงานสักที เดี๋ยวจะเป็นหญ้าที่ร่วงหล่นแล้ว”
เย่อวิ๋นกว่างได้ยินนางพูดแบบนี้ เขาเลยกัดริมฝีปากตนเองใช้นิ้วดีดหน้าผากของนาง และทำเป็นโกรธขึ้นมา “เจ้านี่เด็กแสบจริงๆเลยยังกล้ามายุ่งเรื่องของท่านพี่สองของตนเองอีก? พี่จะรอให้เจ้าแต่งออกไปก่อน จะไปหาอาซ้อภายหลัง เกรงว่าเพิ่งหาเจอแล้วจะถูกเจ้าแกล้งจนนางหนีไปที่อื่น!”
โม่ฉีหมิงสูดลมหายใจเข้าลึกๆและมองไปยังโล่หวินหลานที่อยู่ในอ้อมกอดเขา และฝืนก้าวเดินไปข้างหน้า
ระยะทางในการขึ้นเขาไม่ใกล้เลย เป็นสถานที่ที่โม่ฉีหมิงเลือกเอง ภูเขาลูกนี้เป็นที่โล่หวินหลานชอบมากที่สุด เขาคิดว่า สถานที่แห่งนั้น นางน่าจะชอบ
ล้อรถม้าขยับขับเคลื่อนไปถึงประตูเข้ามอง รถม้าสีดำที่ดูเรียบง่าย ข้างหลังมีม้าตามมาหลายตัว ข้างหน้ามีสวินโม่ ฉินหยิ่นและเย่หวินคอยนำขบวน ทางขึ้นเขาไม่ค่อยราบรื่น เขาอุ้มโล่หวินหลานไว้แน่นๆ ไม่ให้นางได้รับบาดเจ็บ
นี่เป็นสิ่งที่เขาสามารถปกป้องนางเป็นครั้งสุดท้าย
“ฉินหยิ่น เจ้าว่าท่านอ๋องจะเผาศพของพระชายาจริงหรือไม่?” พวกเขาขึ้นไปถึงครึ่งทางของภูเขาแล้ว เย่หวินถามขึ้นอย่างอดใจไม่ไหว
ฉินหยิ่นที่ขี่ม้ามาอย่างไร้สติก็อยากจะถามเรื่องนี้เหมือนกัน เขาส่ายหัวไปมา สีหน้าดูแย่ “ข้าก็ไม่แน่นอนเหมือนกัน ท่านอ๋องจะยอมเผาพระชายาได้เยี่ยงไรกัน แต่ว่าเรากำลังเดินทางมาถึงที่นี่แล้ว ถ้าไม่เผาศพ แล้วท่านอ๋องกำลังคิดอะไรอยู่”
“อย่าเดาไปเรื่อยเปื่อย รอไปสักพักก็คงรู้” สวินโม่พูดขึ้นลอยๆ
อากาศบนเขายิ่งเหน็บหนาวขึ้นไปอีก ไม้ดอกที่แห้งกร้านถูกปกคลุมไปด้วยหิมะขาวอย่างหนา ทำให้ร่างกายของคนยิ่งเหน็บหนาว และจิตใจก็หนาวตามไปด้วย
บนฐานที่กว้างขวางปกคลุมไปด้วยต้นไม้ดอกหญ้าแห้ง ที่นั่นมีท่อนไม้ที่สร้างโครงขึ้นมาสูงๆ บนหลังคาปกคลุมด้วยผ้าเต้นท์ เพื่อป้องกันไม่ให้หิมะตกลงมาทับถมท่อนไม้ และจะทำให้ท่อนไม้เปียกชื้น
โม่ฉีหมิงอุ้มโล่หวินหลานออกมาจากรถม้า สีหน้าดูไม่สบอารมณ์ใดๆเหยียบขึ้นไปตรงบันไดที่วางด้วยไม้แผ่นแล้วเดินไปยังฐานที่วางไปด้วยต้นไม้ดอกไม้ที่แห้งตายไปแล้ว นำค่อยๆวางโล่หวินหลานออกตรงนั้น
“ท่านอ๋อง พระชายาชอบที่นี่ นางต้องจากไปอย่างสุคติอย่างแน่นอน พวกข้าต้องเชื่อคำพูดของพระชายา แค่นางไม่ลืมนางก็ต้องกลับมาอย่างแน่นอน” สวินโม่ยืนอยู่ข้างๆโม่ฉีหมิงและพูดขึ้นด้วยเสียงต่ำ เขารู้ว่าโม่ฉีหมิงเสียดายนาง แต่ก็ทำอะไรไม่ได้
“หวินหลานชอบที่นี่ แต่ที่นี่ไม่ใช่บ้านเกิดของนาง ถ้านางกลับไปแล้ว หรือไม่อยากกลับมาอีก” โม่ฉีหมิงลงมา เขาหันหลังให้แท่นเผาศพ ไม่กล้าดู
สวินโม่รู้ความทุกข์ทรมานในใจของเขา เลยได้แค่ถูจมูกของตัวเองไปๆมาๆ ไม่กล้าพูดอะไร
รู้ว่าคนตายไปแล้วฟื้นคืนชีพไม่ได้ ถึงพระชายาจะเก่งแค่ไหน นางไม่ใช่เทพพระเจ้า คนที่ตายไปแล้วจะฟื้นขึ้นมาได้เยี่ยงไร? ทุกอย่างก็เป็นแค่การหลอกลวงตนเอง
“จุดไฟเถอะ!”ท่าทีของโม่ฉีหมิงตัดสินใจสั่งบ่าวอย่างเด็ดขาด
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ชายาข้ามภพ พิชิตใจท่านอ๋องไร้รัก