ตอนที่ 402 องค์รัชทายาทขอรับ
หยาดน้ำตาได้ไหลออกมาจากนัยน์ตาของนาง นางแพ้แล้วจริงๆ
ต้วนกุ้ยเฟยถูกกักขังในคุก แต่ตอนนี้จุดจบของนางกลับแย่กว่าอีกเยอะ
นางแย่งชิงมานานหลายปีเยี่ยงนี้ สุดท้ายก็ต้องมาแพ้ให้กับคนที่นางไม่เคยนึกถึง เป็นคนที่ทุกคนต่างนึกไม่ถึง
“หม่อมฉันก็จะปลดตนเองออกจากการเป็นฮองเฮาด้วยเช่นกัน และยอมถูกลงโทษกับองค์รัชทายาทอย่างโดยดี” ฮองเฮาน้อมก้มกราบด้วยเช่นกัน
ฮ่องเต้เจียเฉิงค่อยๆหลับตาลง ทีแรกอยากจะลงโทษพวกเขาให้สาสมแต่ตอนนี้ในใจของเขากลับอ่อนลง พอเห็นเย่ฮองเฮาและองค์รัชทายาทมาสารภาพผิดก่อน เขาจึงทนไม่ได้ที่จะทำเยี่ยงนั้น
แต่ว่าเขามิกล้าให้พวกเขาอยู่ในวังเพื่อทำร้ายคนอื่นอีกต่อไปหลังจากที่ทำความผิดมากมาย
เรื่องที่ต้วนกุ้ยเฟยถูกกักขังไว้ในคุกกลายเป็นขี้ปากชาวบ้านมามากพอแล้ว ถ้าเขาสองคนเข้าไปอีก คงจะทำให้บ้านเมืองเกิดเรื่องวุ่นวายอย่างแน่นอน
อีกอย่าง ปลดองค์รัชทายาทออกจากตำแหน่ง ก็ไม่รู้ว่าควรเลือกองค์ชายใด ทำให้เขารู้สึกปวดหัวจริงๆ
“ใต้เท้าหลี่ เรื่องนี้เจ้าคิดว่าเยี่ยงไร?” ฮ่องเต้กวาดสายตาไปยังหลี่เซิง
หลี่เซิงกวาดสายตาไปมองทั้งสองที่ก้มหน้าก้มตาไว้สักพัก สีหน้าของเขาไม่เปลี่ยนไปแต่อย่างใด”ปลดตำแหน่งของฮองเฮาและองค์รัชทายาทออกเป็นเรื่องสำคัญเป็นอย่างยิ่ง ฮ่องเต้เชิญพวกขุนนางมาปรึกษาหารือกันก่อนจะดียิ่งกว่า อีกอย่าง ปลดตำแหน่งองค์รัชทายาท ก็ต้องมีองค์ชายท่านอื่นมาแทน”
ฮ่องเต้เจียเฉิงมองไปยังทั้งสองที่อยู่ข้างล่าง จึงคิดใคร่ครวญไปสักพัก สุดท้ายก็พูดขึ้น “นั้นก็ทำตามเยี่ยงนี้ เชิญเหล่าขุนนางเข้ามาในวัง”
ฟ้าได้ค่อยๆมืดลง ความมืดมัวของค่ำคืนมืดจนไม่เห็นนิ้วที่ยื่นออกมา มีแค่แสงจันทร์บนท้องที่สอดส่องหิมะสีขาวในสวน และเป็นค่ำคืนที่เงียบสงบมากๆ
คืนนี้เป็นคืนที่เงียบสงบที่ไร้ซึ่งการรับรู้จากเรื่องที่เกิดขึ้นข้างนอก โม่ฉีหมิงปิดช่องทางการรับรู้ข่าวสารทั้งหมด เพื่อนั่งอยู่บนเก้าอี้โยกกับโล่หวินหลาน ปิดหูปิดตาไม่รับรู้อะไรจากข้างนอกใดๆ
โล่หวินหลานลูบผมของตนเอง และผลักตัวของเขา “เจ้าทับผมของข้า……”
“อื้ม?” โม่ฉีหมิงขยับแขนของตนเองและผมของนางก็ได้ไหลออกจากแขนของเขา
และรีบกอดนางให้แน่นๆอีกครั้ง กลัวว่านางจะหลุดออกจากตัวของเขาโดยไม่รู้ตัว
“ถ้าเจ้าง่วงก็ไปหลับบนเตียงก่อน ข้ายังต้องดูตำราศึกษายาที่ดีต่อแผลของไซ่เยว่ วันนี้ข้าต้องหายานั้นๆออกมาให้ได้” โล่หวินหลานผลักหัวของเขาออก แล้วพูดขึ้นด้วยเสียงต่ำ
ไซ่เยว่อีกแล้ว ตั้งแต่ที่ไซ่เยว่ได้รับบาดเจ็บ ปากของนางก็เอ่ยแต่ชื่อนี้ ไปไหนมาไหนก็ต้องรีบต้มยาให้นาง นางไม่สนใจสุขภาพของตนเองหน่อยเลยหรือ?
“แผลของไซ่เยว่มีสวินโม่คอยช่วยรักษาอยู่ เจ้าไม่ต้องเปลืองแรงไปยุ่งหรอก” โม่ฉีหมิงลืมตาขึ้นมาทันที นัยน์ตาของเขาเต็มไปด้วยอาการที่ไม่พอใจและเย็นชา
“ข้าก็แค่อยากช่วยอีกแรงเท่านั้น ไม่ได้ใช้ยามานาน ไม่รู้ว่าความคุ้นชินจะยังอยู่หรือไม่?”
โม่ฉีหมิงเอานางไม่อยู่จริงๆ ทุกอย่างก็ไปตามนิสัยของนางแล้วกัน และเขาก็ไม่อยากทำให้นางไม่มีความสุข เรื่องที่นางอยากทำก็ให้มันไปตามทางของนาง
“เจ้ามีเรื่องที่เจ้าอยากทำ ข้าก็มีเรื่องที่ข้าอยากทำด้วยเช่นกัน” โม่ฉีหมิงกระตุกมุมปากขึ้นแล้วยิ้มแบบเจ้าเล่ห์ ใบหน้าที่เต็มไปด้วยยิ้มเยี่ยงนี้จ้องมองนางอยู่
โล่หวินหลานลืมตาโตขึ้น ทันใดตอนที่นางหันไป เขาก็ได้กดตัวนางลงอย่างรุนแรง
เก้าอี้โยกได้โยกขึ้นอย่างรุนแรง แต่สุดท้ายก็นิ่งลง โม่ฉีหมิงกดข้อมือของนางไว้ และกดนางลงไปอยู่ข้างล่างตน
เป็นสายตาเยี่ยงนี้อีกแล้ว โล่หวินหลานเห็นนัยน์ตาของเขาก็รู้ว่าเขาอยากทำอะไร แต่ว่าเขาไม่อยากก้าวข้ามหรือทำอะไรล่วงเกินก่อนสมรสกัน ได้แค่อดทนไว้
นัยน์ตาเยี่ยงนี้เหมือยเป็นนัยน์ตาที่อยากจะกลืนกินนางไปทั้งตัว ดูเหมือนจะแสงที่เร่าร้อนที่กำลังสอดส่องตัวนางอยู่
โม่ฉีหมิงหยุดยิ้มอันเจ้าเล่ห์แล้วค่อยๆจูบลงบนหน้าผากของนาง จากนั้นก็ลุกจากเก้าอี้แล้วพยุงนางแล้วอุ้มนางขึ้น
“ฟ้ามืดแล้ว หลับเถอะ” โม่ฉีหมิงค่อยๆวางนางลงบนเตียงอย่างอ่อนโยน แล้วจ้องนัยน์ตาที่เปล่งประกายของนาง
โล่หวินหลานจับมือของเขาไว้ และถามขึ้นอย่างคิ้วขมวด “เจ้าจะไปไหน?”
ตำแหน่งที่ถูกนางสัมผัสเร่าร้อนขึ้นมาทันที โม่ฉีหมิงไม่ได้หันหน้ากลับไป “ยังมีเรื่องที่ยังทำไม่เสร็จ ข้าจะไปห้องทรงอักษร”
กลัวตนเองอยู่นานกว่านี้ จะควบคุมสติไว้ไม่ได้ พอเห็นท่าทางของนาง เขาก็รู้สึกอยากทำเยี่ยงนี้ตลอดไป
ออกไปห้องไป ฉินหยิ่นที่ยื่นอยู่ข้างๆรอมานานมากพอสมควร แต่ไม่กล้าเข้าไปรบกวนทั้งสอง แค่ได้แต่อยู่ตรงประตูอย่างเงียบๆ รอให้โม่ฉีหมิงออกมา
“ท่านอ๋องขอรับ ใต้เท้าหลี่มาขอรับ” วันนี้ที่ฉินหยิ่นได้รับรู้เรื่องทั้งหมด ทุกอย่างก็มาจากเขา
หลี่เซิงออกจากวังแล้วรีบตรงมาที่ตำหนักหมิงอ๋อง ก็เพื่ออยากจะบอกเรื่องนี้กับเขาด้วยปากของเขาเอง มันจะชัดเจนกว่าที่เขาฝากส่งข่าวมา
“อืม” โม่ฉีหมิงกวาดสายตามองเสื้อตนเอง แล้วหันหลังเดินไปห้องทรงอักษร
ในห้องทรงอักษรแสงไสวจนเงาคนสะท้อนออกมา โม่ฉีหมิงเดินเข้าไป หลี่เซิงจึงรีบต้อนรับเขา และน้อมคำนับให้เขา
“กระหม่อมขอเข้าเฝ้าองค์รัชทายาทขอรับ” หลี่เซิงทำน้ำเสียงใสแต่กลับฟังดูหนักแน่นในที่มืด
โม่ฉีหมิงรู้สึกอึ้งเบาๆ แต่ไม่นานก็กลับสู่ปกติ และค่อยๆนั่งลง มุมปากนั้นมีการเผยยิ้มเบาๆ
“คำๆนี้ใต้เท้าห้ามพูดออกมาเรื่อยเปื่อย ข้าเป็นแค่ท่านอ๋องเท่านั้น” โม่ฉีหมิงไม่ได้สื่ออะไรผ่านนัยน์ตาของเขา และไม่ได้รู้สึกดีใจเลย
เขารู้อยู่แล้วทำไมหลี่เซิงพูดเยี่ยงนี้ ถ้าไม่ใช่เพราะว่าคำสั่งของฮ่องเต้ เขาเองก็คงไม่กล้าพูดเยี่ยงนี้ต่อหน้าตน
ช่วงเวลาที่ผ่านไปปี่กว่าๆ นางเป็นเยี่ยงนี้ทุกคืนหรือไม่?
โม่ฉีหมิงช่วยนางจับผ้าห่มขึ้น แล้วค่อยๆห่มลงบนตัวของนาง และเอามือของนางสอดเข้าไปใต้ผ้าห่ม
มือใหญ่ๆของเขาลูบผมของนางอยู่ และปัดผมเส้นอ่อนของนางไปหนีบไว้ตรงหู หรือว่านางรู้สึกได้ว่าเขาอยู่ จึงขยับตัวเบาๆ และพลิกตัวไป
“โม่ฉีหมิง……”เสียงที่อ่อนโยนดังออกมาจากริมฝีปากอันแดงฉ่ำของนาง เสียงเหมือนจะฟังไม่ค่อยชัดเจน
แต่ว่าโม่ฉีหมิงก็ยังฟังได้ชัดเจน ในหัวสมองตั้งสติไม่ทันกะทันหัน เขาหยุดชะงักไปชั่วขณะ แล้วจึงจะเรียกสติกลับมาได้ เมื่อครู่นางกำลังเรียกชื่อของตนเองอยู่!
นั้นมันก็แปลว่า ในฝันของนางก็ยังคงมีเขาอยู่ในนั้นใช่หรือไม่?
เขาจ้องมองหญิงที่กำลังหลับใหลอยู่อย่างจดจ่อ เหมือนกำลังแบ่งแยกไม่ออกว่ามันเป็นความจริงหรือเป็นแค่ฝัน
เช้าวันรุ่งขึ้น ตอนที่โล่หวินหลานตื่นขึ้นมา นางก็เหมือนมีข้อสงสัย เมื่อคืนนางกำลังสะลึมสะลือ เหมือนนางได้ยินเสียงที่มีคำคุยกับนาง แต่ว่าเขาคุยอะไร เหมือนจะฟังได้ไม่ค่อยชัดเจน
นางพยายามแล้วพยายามอีกที่อยากจะเข้าใกล้ แต่คนๆนั้นก็กลับยิ่งอยู่ยิ่งห่างไกลจากนาง และยิ่งอยู่ยิ่งไกล……
เมื่อนางตื่นนอน จึงจะรู้ว่ามันเป็นแค่ความฝัน
คนที่เข้ามาจัดทรงผมให้นางคือเย่หวิน ความรู้สึกเหมือนแต่ก่อนค่อยๆกลับมาอีกครั้ง แค่ตอนนี้สีหน้าของเย่หวินเหมือนจะเศร้าๆ และไม่เคยเผยรอยยิ้มออกมาเลย
“จัดทรงผมปล่อยลงมาธรรมดาก็พอ ยิ่งธรรมดายิ่งดี” โล่หวินหลานมองเย่หวินผ่านกระจก นางก็แค่พยักหน้าเบาๆ และไม่พูดอะไรออกมาเลย
เย่หวินกำลังตั้งใจหวีผมเป็นอย่างมาก ท่าทางของนางเหมือนแต่ก่อน แค่ตอนที่เปรียบเทียบกับไซ่เยว่ นางมีความเป็นชายที่กล้าหาญหน่อยๆ ไม่เหมือนหญิงสาวที่อ่อนโยน
จนกว่านางเสียบปิ่นหยกอันสุดท้ายเข้าตรงผมของโล่หวินหลาน ตอนปล่อยมือออก โล่หวินหลานหันไปมองแล้วพูดขึ้น “เย่หวิน เจ้าควรยิ้มเยอะๆ ยิ้มแล้วจะได้ดูดี”
เย่หวินได้ยิน จึงเงยหน้ามองโล่หวินหลาน นัยน์ตาของนางเหมือนสื่ออารมณ์ที่ไม่ค่อยชัดเจนออกมา
ผ่านไปสักพัก เย่หวินจึงส่ายหัว น้ำเสียงเหมือนลอยมาจากที่ไกลๆ “ข้าน้อยไม่มีสิทธิ์จะหัวเราะ ท่านไม่เข้าใจ”
ตลอดชีวิตนี้ นางควรใช้ชีวิตอยู่อย่างโทษตนเองและรู้สึกอับอาย นางไม่สามารถทิ้งความผิดที่ใหญ่หลวงเยี่ยงนั้นลง แล้วใช้ชีวิตเหมือนที่ผ่านมา
ตอนนี้แค่นางยิ้มยังเป็นสิ่งที่ไร้สาระ
โล่หวินหลานฟังคำพูดของนาง รู้ว่านางพูดเยี่ยงนี้เพราะเหตุผลใด ในใจของนางก็รู้สึกไม่ดีด้วยเช่นกัน
เรื่องที่มันผ่านมาก็ให้มันผ่านไป อย่าให้เรื่องราวที่ผ่านมามากระทบต่อหนทางข้างหน้าที่จะก้าวต่อไป
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ชายาข้ามภพ พิชิตใจท่านอ๋องไร้รัก