ตอนที่70การคาดเดา
พอรู้ข่าวว่าโม่ฉีหมิงยืนเองได้แล้วดวงตาของเจียเฉิงตี้มีน้ำตาริ้นขึ้นไม่ว่าจะในฐานะของพ่อหรือในฐานะฮ่องเต้เขาก็หวังว่าอาการบาดเจ็บของโม่ฉีหมิงจะถูกรักษาให้หายขาดหวังว่าเขาจะสามารถกลับมาใช้ชีวิตเหมือนคนปกติได้
ทุกคนต่างให้ความสนใจเกี่ยวกับใบหน้าของโม่ฉีหมิงท่ามกลางความดีใจเกี่ยวกับอาการบาดเจ็บขาของเขาเย้เซียวโหลที่อารมณ์โกรธเกรี้ยวลืมตัวไปเลยลืมไปว่าคนที่ขายขี้หน้าก็คือนาง
“ยังไม่กลับมาอีก!ยืนตรงนั้นให้ขายขี้หน้าเขาอีก!”ตอนเย้เซียวโหลกำลังถือจอกเหล้ายืนอยู่อย่างทำตัวไม่ถูกก็มีเสียงตำหนิติเตือนจากเย้กั๋วกงดังขึ้นจากด้านหลัง
“ท่านพ่อทำไมท่านทำอย่างนี้?”เย้เซียวโหลพยายามทำตัวให้ปกติที่สุดนั่งกลับประจำที่นั่งของตัวเอง
พี่ชายทั้งสามของนางก็เข้ามาปลอบพูดว่าวันนี้นางไม่ควรทำตัวแบบนี้โชคดีที่ฮ่องเต้ไม่ได้สั่งลงโทษนางไม่อย่างนั้นสกุลเย้คงไม่อยู่ดีแน่........
ความผิดทุกอย่างจะตกอยู่กับเย้เซียวโหลเพียงผู้เดียวนางยิ่งอยู่ยิ่งรู้สึกถูกทำร้ายไม่ว่านางจะทำอะไรก็ผิดไปหมดไม่ว่าจะทำอะไรก็ไม่สามารถฉีกหน้าของราชวงศ์ได้เลยมีแต่คนในราชวงศ์สามารถรังแกพวกเขาได้โดยไม่มีความผิดใดๆพวกเขาพูดอะไรก็ผิดไปหมด
ที่แท้เรื่องทั้งหมดก็เกิดขึ้นไปแล้วเย้เซียวโหลปิดหูสองข้างวิ่งออกไปจากตรงนั้นอย่างคนโดนกระทำ
“เห้อโหลเอ๋อโหลเอ๋อ......”เย้กั๋วกงได้แต่ยืนมองเย้เซียวโหลวิ่งออกไปเรียกอย่างไม่ขาดสาย
แต่ว่าเย้เซียวโหลได้ยินเสียงของเขาก็ยิ่งวิ่งไกลออกไปนางไม่อยากอยู่ที่นี่แม้แต่วินาทีเดียว
ท้องฟ้าเริ่มมืดลงบนท้องฟ้าเริ่มมีดวงดาวแขวนประดับระยิบระยับการแสดงบนเวทีจบลงดนตรีต่างๆค่อยๆเงียบลง
เจียเฉิงตี้ที่นั่งอยู่บัลลังก์รู้สึกเหนื่อยล้าดื่มด่ำกับการแสดงต่างๆมากมายคิ้วของเขาขมวดขึ้นเขาค่อยๆหนวดตรงหว่างคิ้วเบาๆข้างกายเขามีเจินเฟยที่สัมผัสได้ถึงความเหนื่อยอ่อนของเขารีบยื่นมือเข้าไปบีบนวดให้เขา
“ฮ่องเต้ท่านคงเหนื่อยแล้วถ้าอย่างนั้นพวกเราไปพักผ่อนกันเถอะ”เสียงของเจินเฟยดังอยู่ข้างหูเขาสองมืออ่อนนุ่มเข้าบีบนวดตรงขมับเขาเบาๆ
ชางสิงเจียงพยักหน้าลุกขึ้นยืนแล้วจ้าวเจิ้งที่อยู่ข้างกายตะโกนจนสุดเสียง“ถอย!”
ทุกคนต่างทยอยลุกขึ้นยืนร่วมกันส่งชางสิงเจียงลงไป
เย้เซียวโหลวิ่งไปจนถึงสวนหลังวังที่เริ่มมืดแก้มสองข้างเปื้อนไปด้วยน้ำตาไหลอาบทั่วใบหน้ายืนอยู่ข้างๆหนองน้ำลำพังมือจับราวกั้นมองไปผืนน้ำที่นิ่งสงบไม่เคลื่อนไหวรู้สึกว่าพวกมันนิ่งเงียบสงบทำให้นางรู้สึกเจ็บปวดยิ่งขึ้นพลางก้มลงหยิบก้อนหินปาลงไปตรงสระน้ำอย่างแรง
“ต่างรังแกแต่ข้า!รังแกแต่ข้า!”นางมือหนึ่งหยิบก้อนหินขวางลงสระพลางเอ่ยตัดพ้ออย่างไม่พอใจ
สระน้ำกระเพื่อมตามแรงกระแทกจองก้อนหิน“โต้ม”เสียงของก้อนหินกระทบน้ำจนทำให้เกิดน้ำกระเด็นขึ้นมาเหมือนพลุไฟท่ามกลางความเงียบสงบของค่ำคืนนี้พระจันทร์ครึ่งเสี้ยวยังคงเด่นสง่าอยู่บนท้องนภา
“คุณหนูสามสกุลเย้สระน้ำนี้รังแกเจ้ารึ?”เสียงทุ้มต่ำของชายคนหนึ่งดังขึ้นจากข้างหลังเสียงก้าวเท้าย่ำลงกับพื้นหญ้าค่อยๆดังใกล้เข้ามา
ได้ยินเสียงที่นางคุ้นเคยเป็นอย่างดีเย้เซียวโหลหันหลังกลับไปอย่างทำตัวไม่ถูกที่แท้ก็คือโม่ฉีหานมุมปากของเขาแสยะยิ้มขึ้นเดินก้าวเข้ามาอย่างช้าๆ
เย้เซียวโหลได้ยินเสียงของเขาที่มาด้วยความกวนประสาทรู้ว่าวันนี้นางได้อับอายขายขี้หน้าในที่พระตำซินเห๋อถามอย่างเสียงเย็น“เวินอ๋องท่านมาเยาะเย้ยข้าใช่หรือไม่?”
โม่ฉีหานหัวเราะเสียงต่ำเดินเข้าไปจับราวกั้นยืนอยู่แถวเดียวกับนางมาวันนี้เขาเหมือนกับผู้ประชดเหมือนอยู่ใยเดียวโล่หวินหลาน
“ทำไมข้าต้องเยาะเย้ยเจ้าด้วยล่ะ?ข้ากลับรู้สึกวันนี้เจ้าทำอะไรก็ถูกไปหมดหากเป็นข้า ข้าก็จะทำแบบเจ้าเหมือนกัน”เสียงแหบพร่าของโม่ฉีหานกระซิบข้างหูของเย้เซียวโหลนางมองด้วยสายตาคาดเดาอะไรไม่ออกจากตัวผู้ชายคนนี้เขามีบางอย่างที่ไม่เหมือนชายคนอื่น
เย้เซียวโหลหรี่ตาลง“เพราะอะไร?”
โม่ฉีหานหมุนตัวกลับมาเขาสูงกว่านางอยู่มากโขก้มมองหัวของนางหน้าของนางมีความกังวลบางอย่างเหล่ตามองอย่างระแวดระวัง
“เพราะว่าคนเราล้วนเห็นแก่ตัวต่างไม่ยอมเสียเปรียบยิ่งไม่อยากให้ชีวิตของตัวเองกำอยู่ที่มือของใครคุณสามสกุลเย้น่าจะเข้าใจข้อนี้ดี?”เสียงของโม่ฉีหานยิ่งพูดยิ่งต่ำลงเรื่อยๆสายตาดุจดั่งกุญแจที่ล็อกใบหน้าของนางไว้
แสงพระจันทร์มืดสลัวสาดส่องสะท้อนใบหน้าของเขาใบหน้าหล่อเหลาคมกริบเสมือนตราตรึงไว้นัยน์ตาของเย้เซียวโหลผู้ชายคนนี้ทำให้หัวใจนางเต้นสูบฉีดอย่างไม่เคยเป็นมาก่อนกับใคร
นับตั้งแต่วันที่เจอเขาที่เยี่ยนเหมินเสมือนมีใสใยบางๆเชื่อมติดพวกเขาไว้แต่การพบเจอกันทุกครั้งมีอันต้องเจอกันในสถานการณ์อึดอัดใจทุกครั้งที่เจอหน้ากัน
เย้เซียวโหลกอดอกแน่นตั้งแต่เกิดมาก็รู้สึกว่านางเหนือกว่าทุกคนทำให้ไม่เคยมีสีหน้าดีๆปรากฏให้เห็นบนใบหน้าเลยสักครั้ง“ทำไมข้าต้องเข้าใจด้วย?”
นางเบะปากหมุนตัวกลับไปมองเงาพระจันทร์ที่สะท้อนอยู่บนพื้นน้ำผู้ชายคนนี้เมื่อกี้ยังผลักนางที่สวนดอกไม้เพื่อโล่หวินหลานแล้วนางจะเชื่อเขาเพื่ออะไร?
ที่เขาพูดว่าเหนือความคาดหมายไม่ใช่เพรยงเพราะเรื่องที่เย้เซียวโหลโจมตีโล่หวินหลานแต่ค่ำคืนนี้คนในงานต่างเปลี่ยนแปลงกันเร็วมากเขาไม่เพียงแต่ต้องตั้งรับกับคนทั้งราชสำนัก
โล่หวินหลานกระชับร่างกายเขาแน่นดมกลิ่นจากตัวเขาอันหอมเย้ายวนหัวใจดวงน้อยๆของนางค่อยๆสงบลง
“คิดไม่ถึงว่าคนสกุลเย้จะกล้าเหิมเกริมขนาดนี้สิ่งที่น่ากลัวที่สุดคือฮ่องเต้ทรงไม่กล่าวโทษอะไรต่อความผิดทั้งหมดเลย”โล่หวินหลานคิดถึงสิ่งที่เย้เซียวโหลทำต่อหน้าทุกคนในวันนี้ทำให้นางรู้สึกไม่ค่อยสบายใจ
โม่ฉีหมิงเหมือนจะซึมซับการเข้าใกล้ของนางอย่างเพลิดเพลินน้ำเสียงเรียบเฉย“พวกเขาเป็นอย่างนี้ตั้งแต่ไหนแต่ไรมาแล้วไม่มีอะไรน่าตกใจพวกเขาทำไรเสด็จพ่อก็จะไม่กล่าวโทษอะไรพวกเขาหรอกพวกเขาอยู่บ้านเมืองนี้โดยสามารถมีอำนาจเหนือผู้คน”
“อำนาจเหนือผู้คนคำสี่คำนี้เหมือนก้อนหินที่ทับในใจนางอย่าฃหนักอึ้งมีสี่คำนี้ก็ทำให้พวกเขาสามารถเหิมเกริมอย่างม่มีใครห้ามได้โล่หวินหลานคิดว่าคำสี่คำนี้ก็เหมือนกับการอวดอ้าง
ไม่มีใครรู้ว่าสกุลเย้มีอำนาจเหนือผู้คนไม่มีใครรู้ว่าตำแหน่งนี้หมายความว่ายังไงโล่หวินหลานได้แต่ตกใจ
นางสีหน้าตื่นตระหนกตกใจ ทำตัวไม่ถูกมองไปข้างนัยน์ตาของโม่ฉีหมิง สายตาของเขาหนักอึ้ง ราวกับทะเลสาบยามค่ำคืนเงียบสงบและมืดสนิท
“เจ้ากำลังคิดอะไรอยู่?”เห็นนางไม่พูดไม่จาอยู่นานโม่ฉีหมิงจึงเอ่ยปากถามไถ่ด้วยความเป็นห่วง
เรียวนิ้วยาวสวยค่อยๆทัดผมไว้ข้างๆหูของนางทำให้เห็นหน้ามนสวยรูปไข่อย่างชัดเจน
“ข้ากำลังคิดว่าคนๆหนึ่งหลังจากมีอำนาจจะเปลี่ยนเป็นคนละคนไหม?”โล่หวินหลานพึมพำเบาๆสายตาจับจ้องแน่นไปทางนอกหน้าต่างเหมือนพูดคนเดียว
ลมพัดเข้ามาจากนอกหน้าต่างเย็นสบายโม่ฉีหมิวไม่รู้ว่าจะตอบคำถามนี้ของนางอย่างไรดีการเปลี่ยนอยู่ที่ใจของทุกคนคนก็ต่างไม่เหมือนกัน
บนรถม้าเงียบสงบมีแค่เสียงลมหายใจของคนสองคนที่ดังประสานกับเสียงวิ่งของม้า
ทันใดนั้นนอกหน้าตาก็มีเสียงกรีดร้องของผู้หญิงคนหนึ่งดังขึ้น“ช่วยข้าด้วย.....”
เสียงนี้ทำให้รถม้าของทั้งคู่หยุดทันทีด้วยความตกใจ
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ชายาข้ามภพ พิชิตใจท่านอ๋องไร้รัก