มู่น่อนน่อนเห็นท่าทางเคร่งขรึมของเฉินถิงเซียว ก็พอจะเดาดได้แล้วว่ามันคือเรื่องอะไร
เธอไม่ได้พูดอะไร ได้แต่เงยหน้ามองเสิ่นเหลียง
ร่างกายของเฉินถิงเซียวมีแรงกดขี่ออกมาอย่างรุนแรง เสิ่นเหลียงก็ทำได้เพียแค่กัดฟัน “ให้น่อนน่อนกับมู่มู่จำกันได้ เพราะว่าน่อนน่อนคือแม่แท้ๆ ของมู่มู่”
เรื่องนี้เสิ่นเหลียงพึ่งจะบอกมู่น่อนน่อนไปเมื่อกี้นี้ ดังนั้นมู่น่อนน่อนก็เลยไม่ได้ประหลาดใจเท่าไหร่
แต่ว่าสายตาของเธอก็จับจ้องไปที่เฉินถิงเซียว
เฉินถิงเซียวก็หันหน้ามองมาที่เธอเหมือนกัน ทั้งสองคนสบตากันในอากาศอยู่สองวินาที แล้วก็หลบตากันอย่างรวดเร็ว
เฉินถิงเซียวหัวเราะอย่างเย็นชา แล้วก็ถามเหมือนจะยิ้มแต่ไม่ยิ้ม “แล้วอะไรอีก? ”
เสิ่นเหลียงก็ทำได้แค่พูดในสิ่งที่บอกมู่น่อนน่อนเมื่อกี้นี้อีกครั้งหนึ่ง “พวกคุณเป็นสามีภรรยากัน”
พอพูดจบ เธอก็เงยหน้าขึ้นมองสีหน้าของเฉินถิงเซียวอย่างระมัดระวัง
เฉินถิงเซียวมักเป็นคนที่ต่อให้มีความสุขก็ไม่แสดงออกเสมอ ในขณะนี้ ใบหน้าของเขาไม่มีอารมณ์ที่ชัดเจน และการปรากฏที่เงียบนั้นคาดเดาไม่ได้
เสิ่นเหลียงรู้สึกกังวลนิดหน่อย แล้วก็ค่อยๆ ยื่นมือไปดึงมุมเสื้อของมู่น่อนน่อนเบาๆ
ถ้าเกิดว่าเป็นมู่น่อนน่อน เฉินถิงเซียวก็จะฟัง
ต่อให้ตอนนี้ทั้งสองคนความจำเสื่อม แต่ว่าเฉินถิงเซียวก็ได้ให้สือเย่ไปสืบเรื่องของมู่น่อนน่อน ไม่ใช่แค่นี้ แถมยังย้ายมาอยู่ตรงข้ามห้องของมู่น่อนน่อนอีกด้วย
นี่มันหมายถึงอะไร?
หมายถึง ต่อให้ทั้งสองคนสูญเสียความทรงจำ แต่ว่าสำหรับเฉินถิงเซียวแล้วมู่น่อนน่อนก็ยังเป็นคนที่พิเศษอยู่
โซ่ตรวนระหว่างคนบางคนอาจถูกลิขิตไว้ล่วงหน้า แม้ว่าพวกเขาจะหลงทางไปครึ่งทางและลืมกันและกัน แต่ก็ยังดึงดูดกันและกัน
เสิ่นเหลียงรู้สึกว่า น่าจะเป็นเหตุผลนี้
มู่น่อนน่อนได้รับสายตาขอความช่วยเหลือจากเสิ่นเหลียง ก็เม้มปาก และพูดด้วยสีหน้าที่สงบว่า “เรื่องนี้ถึงแม้ว่าฟังดูแล้วจะไร้สาระ แต่ว่าฉันก็เชื่อว่าเสี่ยวเหลียงไม่ได้โกหก……”
ตอนที่เธอพูดประโยคนี้นั้น แววตาของเฉินถิงเซียวถึงแม้ว่าจะไม่ได้เปลี่ยนไป แต่เขาก็ค่อยๆ หันมามองเธอ เห็นได้ชัดว่ากำลังฟังในสิ่งที่เธอพูดอยู่
แค่ฟังที่เธอพูดก็พอแล้ว
หลังจากชะงักไป มู่น่อนน่อนก็มองไปที่เฉินมู่
เฉินมู่กำลังตั้งแต่ดูการ์ตูนอยู่ ไม่ได้รับผลกระทบจากบรรยากาศที่จริงจังและหนักแน่นของพวกผู้ใหญ่เลย แถมยังดูไปด้วยพร้อมกับยิ้มไปด้วย
สีหน้าของมู่น่อนน่อนก็อ่อนโยนลงเล็กน้อย เสียงก็อ่อนโยนลงเหมือนกัน แล้วก็พูดต่อว่า “ให้ฉันกับมู่มู่ตรวจ DNA กันก็ได้นะ มันดูเป็นวิธีที่มีประสิทธิภาพมากที่สุดแล้ว”
พอพูดจบ สายตาของทุกคนก็มองไปที่เฉินถิงเซียว
เฉินถิงเซียวนั่งด้วยสีหน้าที่มืดมนอยู่ตรงนั้น มองไม่ออกว่ากำลังคิดอะไรอยู่
มือทั้งสองข้างที่วางอยู่ใต้โต๊ะของมู่น่อนน่อนกำแน่นอย่างช่วยไม่ได้
เรื่องที่เสิ่นเหลียงพูด แม้แต่เธอยังรู้สึกว่ามันแปลกๆ แล้วจะนับประสาอะไรกับเฉินถิงเซียวกันล่ะ
เฉินถิงเซียวคือประธานของบริษัทเฉินซื่อ แถมยังมีคู่หมั้นแล้วอีกด้วย……เรื่องแบบนี้พูดไปก็น่าจะยากที่จะเชื่อ
ทันใดนั้น มู่น่อนน่อนก็คิดอะไรขึ้นมาได้ แล้วก็ถามเฉินถิงเซียว “คุณก็ความจำเสื่อมเหรอ? ”
ตั้วแต่ตอนที่เสิ่นเหลียงพูดเรื่องพวกนี้นั้น เธอก็เอาแต่สนใจเรื่องของเฉินมู่
เพราะว่าเธอชอบเฉินมู่มาก ดังนั้นก็เลยสนใจเกี่ยวกับแค่เรื่องที่ว่าเฉินมู่อาจจะเป็นลูกสาวของเธอ สำหรับเรื่องที่เธอกับเฉินถิงเซียวเป็นสามีภรรยากันนั้น เธอไม่เคยนึกถึงมาก่อนเลย……
อย่างไรซะสำหรับเธอแล้ว เฉินถิงเซียวก็เป็นแค่คนแปลกหน้าที่พึ่งจะรู้จักกัน
เดิมทีนึกว่าเฉินถิงเซียวจะไม่สนใจเธอ แต่ไม่คิดว่าเขาจะพูดเตือนแบบนี้ “ทุกคนก็เป็นคนฉลาด ผมเชื่อว่าทุกคนควรจะรู้ว่า อะไรควรพูดกับภายนอก อะไรไม่ควรพูด”
มู่น่อนน่อนก็อึ้งไป แล้วก็เข้าใจในทันที “ฉันเข้าใจ”
เฉินถิงเซียวคือประธานของบริษัทเฉินซื่อ ทุกอย่างที่เกี่ยวข้องกับเขามันต่างก็ต้องเกี่ยวข้องกับบริษัทเฉินซื่อ
ถ้าเกิดว่าคนภายนอกรู้ว่าเฉินถิงเซียวสูญเสียความทรงจำไปเมื่อสามปีก่อน มันจะส่งผลกระทบต่อหุ้นของ
มู่น่อนน่อนหัวใจรัดแน่น แต่ก็รู้ดีว่าเวลานี้ไม่ใช่เวลาที่จะมาใส่ใจเรื่องนี้
เธอหันไปมองเฉินมู่ หัวใจอ่อนยวบ
……
อาหารมื้อนี้นอกจากเฉินมู่กับเฉินถิงเซียวสองพ่อลูกกินอย่างดีแล้ว อีกสามคนที่เหลือก็กินไม่ค่อยดีเท่าไหร่นัก
ทุกคนต่างก็มีเรื่องในใจให้คิด
คนกลุ่มหนึ่งออกมาจากโรงแรมจีนติ่ง
เสิ่นเหลียงมองมู่น่อนน่อน “เดี๋ยวฉันไปส่งเธอกลับ”
“ฉันก็ไม่ใช่เด็กน้อยนะ ฉันเรียกรถกลับไปเองได้”พอมู่น่อนน่อนพูด สายตาก็เผลอไปมองเฉินถิงเซียว
สายตาของเธอจับจ้องอยู่ที่ใบหน้าของเขาเพียงวินาทีเดียว แล้วก็หันไปมองเฉินมู่
มือทั้งสองข้างของเฉินมู่กำลังพยายามปีนขึ้นรถ เขาสั้นพยายามเตะไปมา แต่ว่าเธอก็ยังขึ้นไม่ได้
เฉินถิงเซียวยืนอยู่ด้านหลังของเฉินมู่ เหมือนกับว่าไม่ได้คิดจะยื่นมือไปประคองเธอเลย
เหมือนกับว่าเฉินมู่เริ่มอารมณ์เสียแล้ว ก็เลยหันหน้าไปมองเขา แล้วตะคอกว่า “พ่อคะ!”
“ครั้งก่อนขึ้นไปยังไง? ”เฉินถิงเซียวไม่ใช่แค่ไม่อุ้มเธอ แต่ว่ายังเอามือกอดอกไว้ ท่าทางเหมือนกับกำลังดูละครสนุกๆ อยู่
เฉินมู่ย่นจมูก พยายามปีนขึ้นรถต่ออย่างไม่เต็มใจ
ในตอนนี้เอง เฉินถิงเซียวก็พูดออกมาอย่างสบายๆ “เดี๋ยวตอนเย็นจะเอาไอติมให้กิน”
เฉินมู่ที่เดิมทีปีนขึ้นรถไม่ได้นั้น ก็พลิกตัวเข้าไปได้ในทันที และก็นั่งบนที่นั่งอย่างรวดเร็ว เบิกตากว้างพร้อมกับมองไปที่เฉินถิงเซียวเพื่อให้แน่ใจ “กินไอติมเหรอคะ? ”
เสิ่นเหลียงที่อยู่ด้านข้างก็เห็นการโต้ตอบระหว่างเฉินถิงเซียวสองพ่อลูก ก็อดไม่ได้ที่จะหัวเราะ “คิคิ”ออกมา พร้อมกับอุทานออกมาว่า “ร้ายแบบนี้ เหมือนเธอเลยนะ? ”
“ไม่รู้ อาจจะเหมือน คุณเฉินก็ได้” มู่น่อนน่อนดึงสายตากลับมา แล้วก็หันไปมองเสิ่นเหลียง “ฉันรู้สึกว่าคุณเฉินดูฉลาดดีนะ”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ฉัน....เป็นเจ้าสาวจอมปลอม
พระเอกชอบใช้อำนาจบังคับ ไม่ฟังความคิดเห็นนางเอก พอมีปัญหา แทนที่จะอธิบายว่าจะทำอะไร กลับเลือกที่จะปิดปังและทำร้ายจิตใจ ไม่น่าให้อภัยอ่ะ น่าจะต่างคนต่างอยู่ ขัดใจว่าทำไมปล่อยให้ลูกทารกโดนลักพาตัวไปได้ โคตรไม่รอบคอบอ่ะ เรื่องไอ้ลู่ก็เหมือนกัน นาวเอกโง่จนไม่เห็นความไม่สมเหตุสมผลใดๆ จนความจำกลับมา มันก็ต้องสงสัยแล้วป่ะว่าตอนก่อนจะเสียความทรงจำ ไอ้ลู่แอบเข้าไปในห้องตัวเองทำไม และต้องเอะใจและตัดความสัมพันธ์สิเพราะถามอะไรก็ไม่เคยตอบ พระเอกก็เหมือนกัน รู้สึกว่าไอ้ลู่มีจุดประสงค์ไม่ดี แต่ก็ไม่ทำอะไร ให้โอกาสมันก่อเรื่อง 3-4 บทสุดท้ายรวบรัดตัดจบมาก ปมต่างๆก็ไม่เคลียร์ ไม่รู้แม่พระเอกยังอยู่หรือตาย ทำไมไอ้ลู่ถึงเลี้ยงนางเอกมาตั้งสามปีแทนที่จะรีบเอาไปผ่าตัดให้น้องสาว ทำไมถึงพยายามจะให้พระเอกลืมนางเอกและทำร้ายนางเอก อ่านจนจบก็ไม่เห็นบอกว่ามีความแค้นอะไรกับพระเอก และทำไมมุ่งเป้ามาที่นางเอก และไอ้ปากกาหมึกซึมที่พระเอกเก็บไว้น่ะ ก็ไม่มีอธิบายเพิ่ม แค่เปรยว่านางเอกเคยเอาปากกาให้เด็กขอทาน ต่ไม่บอกว่ามันมีความสำคัญยังไง สรุปอ่านแล้วขัดใจหลายอย่างมากค่ะ...
ขอบคุณนะคะที่อัพจนจบ❤️❤️❤️...
แรกๆฉันเชียร์เธอหมดใจแต่มู่น่อนน่อนนี่เธอก็ดื้อเกินไปนะ รู้ทั้งรู้ยังจะชอบสร้างปัญหาซ้ำแล้วซ้ำอีก มั่นใจตัวเองอะไรผิดๆเกิ๊นนน ฉันเริ่มจะเบื่อเธอแล้วนะ เจอก็เจอแล้วแค่กลับไป แล้วยังจะคิดกลับไปให้เขาเฉือนอวัยวะไง!!!! ตัวเองจะไปสืบอะไรจากไหน?!!!...