ตอนที่53 ไม่ได้ทำศัลยกรรมมาใช่มั้ย
พอมู่น่อนน่อนเห็นดังนั้น แล้วก็ยิ้มมุมปากพร้อมกับพูดเย้ยหยันเขา “แม้แต่แก้วกาแฟยังถือนิ่งๆไม่ได้ ไตไม่ค่อยดีงั้นหรอ?”
เฉินถิงเซียววางแก้วกาแฟลงบนโต๊ะพร้อมกับยิ่ม แล้วก็ไม่เช็ดกาแฟที่เลอะตัวเองด้วย หลังจากนั้นก็พูดออกมา “เธอลองดูก็รู้แล้วไม่ใช่หรอ?”
มู่น่อนน่อนปัดผมตัวเองขึ้น หลังจากนั้นก็มองหน้าเขาแล้วก็เดินไปที่ประตู หลังจากนั้นก็พูดด้วยน้ำเสียงเย่อหยิ่ง “คิดได้ดีมาก!”
เฉินถิงเซียว:“……”
ผู้หญิงคนนี้ไปเอาความกล้ามาจากไหน?
มู่น่อนน่อนเดินออกจากวิลล่ามา แล้วก็ตบไปที่หน้าอกของตัวเอง แล้วก็ถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก
ศัตรูก็เหมือนกับสปริง ถ้าเกิดว่าเราอ่อนแอ เขาก็จะแข็งแกร่ง!
หลังจากเมื่อกี้เธอพูดกับ“เฉินเจียฉิน”ได้อย่างเต็มปากเต็มคำ เธอก็รู้สึกว่าโลกนี้ไม่มีอะไรจะมาสู้กับเธอได้อีกแล้ว
“เฉินเจียฉิน”ก็ไม่ได้น่ากลัวขนาดนั้นสักหน่อย!
ถ้าเกิดว่าเธอโดนเขาขู่อีกครั้ง เธอต้องเป็นหมาแน่นอน!
……
มู่น่อนน่อนขึ้นรถและตรงไปยังบริษัทมู่ซื่อ
ตอนที่เธอยังเด็กมากอยู่นั้น ก็เลยมาที่นี่กับมู่หวั่นขีเพียงแค่ครั้งเดียวเท่านั้น หลังจากโตขึ้น ทุกครั้งที่ผ่านมา เธอก็ได้แต่ยืนมองอยู่ข้างนอก
ความปรารถนาของเธอเมื่อก่อน ก็คือการที่เซียวชู่เหอเห็นเธออยู่ในสายตาสักครั้ง สนใจเธอ เธอไม่เคยคิดเลยว่าเธอจะได้เข้าบริษัทมู่ซื่อ แล้วก็ถือหุ้น
แต่นึกไม่ถึง ว่าสุดท้ายจะมีวันหนึ่ง ที่เธอถูกมู่ลี่เหยียนเรียกให้มาทำงานที่บริษัทมู่ซื่อ
เธอหายใจเข้าลึกๆ เชิดหน้าขึ้นเล็กน้อย แล้วก็เดินเข้าไป
วันแรกของมู่น่อนน่อน ก็ยังไม่มีบัตรพนักงาน พอเดินเข้าไปก็โดนพนักงานต้อนรับขวางไว้ก่อน “คุณผู้หญิงคะ มาพบใครคะ?”
มู่น่อนน่อนหันหน้าไปมองหน้าเธอ แล้วก็ยิ้มออกมาเบาๆ ดวงตาของเธอเหมือนกับแมว “ฉันชื่อมู่น่อนน่อนค่ะ มาทำงาน”
นามสกุลมู่งั้นหรอ? พนักงานต้อนรับต่างมองหน้ากัน
“นี่ใครกันเนี่ย?” ทันใดนั้นก็มีเสียงของมู่หวั่นขีดังขึ้นมาจากข้างหลัง
หลังจากนั้นก็มีเสียงรองเท้าส้นสูงดัง “แกร๊กๆๆ” ก้าวเข้ามาใกล้เรื่อยๆ
มู่หวั่นขีเดินเข้ามาหยุดอยู่ตรงหน้าเธอ ทันทีที่เห็นใบหน้าของเธอชัดๆนั้น เธอก็รู้สึกตะลึงจนตาค้าง แม้แต่น้ำเสียงยังเปลี่ยนไป “เธอ เธอเป็นใคร!”
“พี่ ฉันคือน่อนน่อน ไม่รู้จักฉันซะแล้วหรอ?” น้ำเสียงของมู่น่อนน่อนนั้นนิ่มนวลมาก แต่ว่าพอมู่หวั่นขีได้ยิน กลับรู้สึกประหลาดใจอย่างบอกไม่ถูก
มู่หวั่นขีถอยหลังไปสองก้าวอย่างไม่ทันตั้งตัส “ทำไมเธอเปลี่ยนเป็นแบบนี้ไปได้?”
“ฉันก็หน้าตาแบบนี้มาตั้งแต่แรกอยู่แล้ว พี่ก็มองหน้าฉันดีๆสิ ฉันคือน้องสาวแท้ๆของพี่นะ ถ้าเกิดว่าแม้แต่พี่ยังจำฉันไม่ได้ ไปบอกใครเค้าก็ดูน่าขำไม่ใช่หรอ?”
มู่น่อนน่อนพูดไปพลางขยับเข้าใกล้มู่หวั่นขีขึ้นเรื่อยๆ
มู่หวั่นขียังคงระลึกอยู่กับการเปลี่ยนแปลงรูปลักษณ์ของมู่น่อนน่อน พอมู่น่อนน่อนก้าวเข้ามาใกล้เธอหนึ่งก้าว เธอก็ก้าวถอยหลังไปเรื่อยๆ
วันนั้นที่คลับจี่อจีน คนพวกนั้นทำตามเป้าหมายไม่สำเร็จ มู่หวั่นขีรู้ดี
แต่ว่าเธอไม่เชื่อว่า วันนั้นเธอทำอย่างแนบเนียนไม่มีที่ติ แล้วมู่น่อนน่อนจะหนีออกมาได้ยังไง
เพราะฉะนั้นเธอจึงปล่อยให้เซียวชู่เหอนัดมู่น่อนน่อนออกมากินข้าว เพราะว่าเธออยากจะเห็นว่ามู่น่อนน่อนสบายดีจริงๆรึเปล่า
พนักงานต้อนรับที่อยู่ตรงโต๊ะข้างหน้าเสแสร้งทำเป็นก้มกินแตงโม แต่ว่ามือก็สั่นจนแตงโมเกือบจะหล่นพื้น
ได้ยินมาว่าคุณหญิงที่สามของตระกูลมู่ทั้งหน้าตาน่าเกลียดทั้งปัญญาอ่อนด้วยไม่ใช่หรอ? ไปทำศัลยกรรมที่เมืองนอกมางั้นหรอ?
ถึงแม้ว่ามู่ลี่เหยียนจะไม่ชอบมู่น่อนน่อน แต่ว่าก็ยิ้มต้อนรับด้วยความอบอุ่น “น่อนน่อนมาแล้วหรอ”
มู่ลี่เหยียนอ่อนโยนกับมู่น่อนน่อนมาก มู่หวั่นขีก็รู้สึกไม่พอใจ เธอไปเตรียมชาให้มู่ลี่เหยียน แล้วก็วางไว้ตรงหน้าเขาแรงๆ เพื่อแสดงให้เห็นว่าตัวเองไม่พอใจ
มู่น่อนน่อนเห็นเหตุการณ์ทุกอย่าง แล้วก็รู้สึกว่ามันน่าขำสิ้นดี มู่หวั่นขีไม่สามารถเก็บอารมณ์ตัวเองได้เลยจริงๆ
“พ่อจะให้หนูทำตำแหน่งไหนหรอ?” มู่น่อนน่อนนั่งลงตรงหน้าเขา แล้วก็แสดงท่าทีที่อ่อนโยน
ไม่รอให้มู่ลี่เหยียนพูดออกมา มู่หวั่นขีกลับแย่งเขาพูดก่อน “ฉันรู้มาว่าตอนนี้ฝ่ายขายขาดนักวิจัยทางการตลอด แล้วฉันก็เห็นว่าน่อนน่อนเป็นคนชอบความท้าทาย เพราะฉะนั้นเธอไปทำตำแหน่งนั้นแล้วกัน”
มู่น่อนน่อนเหลือบมองหน้าเธอ แล้วพูดออกมานิ่งๆ “แต่ว่าฉันก็ไม่ได้ชอบความท้าทายมากขนาดนั้น ฉันอยากได้งานที่สบายๆ”
เธอเรียนเกี่ยวกับการทำภาพยนตร์ เกี่ยวกับการตลาดหรือการขาย เธอไม่สามารถทำได้แน่นอน
แต่ว่าเธอเองก็รู้ดีเลยว่า การวิจัยเกี่ยวกับการตลาด ต้องเป็นงานที่ลำบากมากแน่นอน
“น่อนน่อนยังวัยรุ่นอยู่ ต้องฝึกฝนสักหน่อย ลูกไปลองดูก่อนเถอะ ถ้าเกิดว่าไม่เหมาะล่ะก็ ลูกค่อยมาบอกพ่ออีกที” คำพูดของมู่ลี่เหยียนดูน่าฟัง แต่มันก็หมายความว่าตัดสินใจแล้วว่าจะให้เธอทำวิจัยตลาด
เขากับมู่หวั่นขีต่างคุ้นเคยกับการเผชิญหน้ากับเหตุการณ์ที่เลวร้ายอยู่แล้ว มู่น่อนน่อนที่เชื่อฟังคำสั่งมาแต่ไหนแต่ไร ก็แค่ต้องเน้นย้ำให้ชัดก็พอ
เคล็ดลับเล็กน้อยแค่นี้ มู่น่อนน่อนแค่เห็นก็ดูออกแล้ว
มู่น่อนน่อนใบหน้าเหมือนซาบซึ่ง “ในเมื่อเป็นแบบนี้ ถ้ายังงั้นหนูก็ต้องขอบคุณความรักที่พ่อมีให้นะคะ”
“หวั่นขี พาน่อนน่อนไปแผนกการตลาดสิ” พอมู่ลี่เหยียนพูดจบ ก็ก้มหน้าอ่านเอกสารต่อ
มู่หวั่นขีรู้สึกเหมือนว่าเธอได้รับความทุกข์ แต่ว่าเธอก็พยายามทนไว้ แล้วก็ทำใบหน้าเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น “ตามฉันมาสิ”
มู่น่อนน่อนรู้สึกไม่สบายใจเล็กน้อย เมื่อก่อนตอนที่อยู่บ้านตระกูลมู่ เธอเป็นคนไม่มีสิทธิ์ไม่มีเสียงขนาดไหนกัน ตอนนี้ถึงทำให้พวกเขาคิดว่าพวกเขาจะทำยังไงกับเธอก็ได้?
การที่ให้เธอไปเป็นพนักงานวิจัยตลาดงั้นหรอ? เธอก็เลยได้แต่ขอบคุณ “ความรักและเมตตา” ที่มู่ลี่เหยียนมีให้กับเธอ เธอจะทำได้มั้ยนะ?
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ฉัน....เป็นเจ้าสาวจอมปลอม
พระเอกชอบใช้อำนาจบังคับ ไม่ฟังความคิดเห็นนางเอก พอมีปัญหา แทนที่จะอธิบายว่าจะทำอะไร กลับเลือกที่จะปิดปังและทำร้ายจิตใจ ไม่น่าให้อภัยอ่ะ น่าจะต่างคนต่างอยู่ ขัดใจว่าทำไมปล่อยให้ลูกทารกโดนลักพาตัวไปได้ โคตรไม่รอบคอบอ่ะ เรื่องไอ้ลู่ก็เหมือนกัน นาวเอกโง่จนไม่เห็นความไม่สมเหตุสมผลใดๆ จนความจำกลับมา มันก็ต้องสงสัยแล้วป่ะว่าตอนก่อนจะเสียความทรงจำ ไอ้ลู่แอบเข้าไปในห้องตัวเองทำไม และต้องเอะใจและตัดความสัมพันธ์สิเพราะถามอะไรก็ไม่เคยตอบ พระเอกก็เหมือนกัน รู้สึกว่าไอ้ลู่มีจุดประสงค์ไม่ดี แต่ก็ไม่ทำอะไร ให้โอกาสมันก่อเรื่อง 3-4 บทสุดท้ายรวบรัดตัดจบมาก ปมต่างๆก็ไม่เคลียร์ ไม่รู้แม่พระเอกยังอยู่หรือตาย ทำไมไอ้ลู่ถึงเลี้ยงนางเอกมาตั้งสามปีแทนที่จะรีบเอาไปผ่าตัดให้น้องสาว ทำไมถึงพยายามจะให้พระเอกลืมนางเอกและทำร้ายนางเอก อ่านจนจบก็ไม่เห็นบอกว่ามีความแค้นอะไรกับพระเอก และทำไมมุ่งเป้ามาที่นางเอก และไอ้ปากกาหมึกซึมที่พระเอกเก็บไว้น่ะ ก็ไม่มีอธิบายเพิ่ม แค่เปรยว่านางเอกเคยเอาปากกาให้เด็กขอทาน ต่ไม่บอกว่ามันมีความสำคัญยังไง สรุปอ่านแล้วขัดใจหลายอย่างมากค่ะ...
ขอบคุณนะคะที่อัพจนจบ❤️❤️❤️...
แรกๆฉันเชียร์เธอหมดใจแต่มู่น่อนน่อนนี่เธอก็ดื้อเกินไปนะ รู้ทั้งรู้ยังจะชอบสร้างปัญหาซ้ำแล้วซ้ำอีก มั่นใจตัวเองอะไรผิดๆเกิ๊นนน ฉันเริ่มจะเบื่อเธอแล้วนะ เจอก็เจอแล้วแค่กลับไป แล้วยังจะคิดกลับไปให้เขาเฉือนอวัยวะไง!!!! ตัวเองจะไปสืบอะไรจากไหน?!!!...