กู้ชีชีไม่รู้จะทำยังไง ให้เหตุผลได้มันก็ดี แต่ตอนนี้ไม่รู้ว่าทำไม เมื่อไหร่ก็ตามที่เธอต้องการให้ทุกคนสงบสติอารมณ์ ก็จะมีบางคนที่ตะโกนออกมาด้วยความโกรธ
ดังนั้นสถานการณ์จึงยังคงวุ่นวาย และมีคนพยายามดึงซู่เป่าออกมาจากความวุ่นวายนั่น
พวกเขาไม่รู้ว่ามู่กุยฝานคือใคร และยังไม่ทันได้เข้ามาใกล้ก็ถูกต่อยจนกระเด็น
ในที่สุดเจ้าหน้าที่ตำรวจรักษาความสงบเรียบร้อยก็มาถึง ทุกคนชี้ไปที่มู่กุยฝานและซู่เป่าทันที “สองคนนี้ทำลายทรัพย์สินมีค่าของทุกคนและยังทุบตีผู้คนด้วย!”
“คนพวกนี้จงใจก่อวินาศกรรม พวกเขาต้องเป็นสายลับที่ส่งมาจากผู้จัดงานนิทรรศการตุ๊กตาในครั้งนี้แน่!"
เจ้าหน้าที่ตำรวจกำลังจะพูด หัวหน้าทีมก็เห็นมู่กุยฝานเข้า
“...”
เยี่ยมมาก พวกคุณกำลังบอกฉันว่าเทพสงครามเป็นสายลับที่ถูกส่งมางั้นเหรอ
ถ้ามู่กุยฝานเป็นสายลับ คนหลายร้อยคนในจตุรัสทั้งหมดก็คงเป็นสายลับ และมีแค่เขาคนเดียวที่ไม่ใช่
พูดไปแบบนี้...คงจะดูเด็กและตลกจริง ๆ
“เกิดอะไรขึ้น” เจ้าหน้าที่ตำรวจมองไปรอบ ๆ ไม่กล้าทักทายกับมู่กุยฝานโดยตรง แต่จับซูอีเฉินซึ่งดูคุยง่ายเอาไว้
ซูอีเฉินมีท่าทีเย็นชาและพูดว่า “ที่นี่คือศาลหลักเมือง คงไม่จำเป็นต้องอธิบายว่าศาลหลักเมืองคืออะไร แต่ดันมีคนจงใจจัดงานกิจกรรมที่นี่”
น้ำเสียงของมู่กุยฝานเย็นชา “เหล่าบรรพบุรุษปกป้องผืนแผ่นดินนี้ เลือดไหลนองบนที่แห่งนี้ แต่พวกคุณกลับสวมชุดกิโมโนที่นี่”
เขามองไปที่ซูเหอเวิ่น “แบบนี้เรียกว่าเป็นความผิดประเภทไหนนะ”
ซูเหอเวิ่นกล่าวเสียงดังเหมือนกับท่องหนังสือมา “ผู้ใดดูหมิ่นผู้พลีชีพผู้นั้นกระทำความผิดฐานหมิ่นประมาท! ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสามปี!!”
มู่กุยฝานเม้มริมฝีปาก รอยยิ้มของเขาไร้ความอบอุ่น “ดูสิ ขนาดเด็กยังรู้เรื่องเลย แต่พวกคุณกลับไม่รู้”
ฝูงชนที่พากันโห่ร้องเมื่อครู่นี้ต่างพากันเงียบ
มีคนหัวเราะออกมา
“มันไม่มีอะไรเลย พวกเราแค่สวมเสื้อผ้าตัวโปรดมาเที่ยวกับเพื่อน ๆ ไม่คิดเลยว่าจะมาโยนความผิดให้พวกเราแบบนี้”
ซูเหอเวิ่นพูดซ้ำในสิ่งที่ซูอีเฉินพูดเมื่อครู่นี้ “ความชอบไม่มีผิด! แต่มันก็ขึ้นอยู่กับสถานการณ์ด้วย! มันผิดที่พวกคุณสวมชุดแบบนี้ต่อหน้าศาลวีรบุรุษและบรรพชน!”
หญิงสาวคนหนึ่งกลอกตา “อ่า ใช่ ๆ ๆ สิ่งที่คุณพูดนั้นถูกต้อง! ฉันนี่ยอมเลยจริง ๆ”
ทุกคนต่างแย่งกันพูดและพยายามต่อสู้เพื่อความชอบของตัวเอง พวกเขาคิดว่านี่คือการต่อสู้ตามสิทธิของพวกเขา แล้วทำไมจะต้องยอม?
เจ้าหน้าที่ตำรวจตะโกนอย่างเย็นชา “ทุกคน เงียบ!”
ฝูงชนที่เสียงดังโหวกเหวกก็เงียบลงอีกครั้ง
หัวหน้าทีมขมวดคิ้วแล้วถามว่า “ใครเป็นคนจัดงานนี้ ใครเป็นคนอนุญาตให้จัด งานแบบนี้จัดที่นี่ได้งั้นเหรอ”
เมื่อทุกคนได้ยินแบบนั้น พวกเขาก็เริ่มส่งเสียงดังอีกครั้ง ทำไมที่นี่ถึงจัดงานไม่ได้ นี่ก็ผ่านมาเป็นเวลาหลายปีแล้วและที่นี่ก็ยังเป็นลานจตุรัสสำหรับคนทั่วไป ถ้าได้รับการอนุญาตแล้วมันก็ต้องได้สิ
มีเสียงคนพูดกันเซ็งแซ่ ทั้งยกตัวอย่างทั้งท่องกฎหมายที่ตัวเองก็ยังไม่เข้าใจ เจ้าหน้าที่ตำรวจหัวเราะ
ไม่เข้าใจกฎหมาย ปากก็พูดกันไปว่าเป็นกฎหมาย ประชาชนมีสิทธิทำอะไรก็ได้ พวกเรามีสิทธิเสรีภาพ
เจ้าหน้าที่ตำรวจรู้สึกว่าเขากำลังเผชิญหน้ากับเด็กที่ไม่มีเหตุผล แต่คุณก็ทำอะไรไม่ได้ แถมยังต้องอธิบายให้พวกเขาฟังให้เข้าใจอีก
จากนั้นพวกเขาก็มีท่าที่ว่า ฉันไม่ฟัง ทำไมจะไม่ได้
สุดท้ายเจ้าหน้าที่ตำรวจจึงได้จับกุมคนสองสามคนเอาไว้ และคนนำที่ตะโกนอย่างดุเดือดที่สุดที่ถึงแม้จะอยากหนีแต่ก็ไม่มีใครหนีรอด
สถานการณ์ตึงเครียดขึ้นมาในทันที มีคนถ่ายรูปด้วยโทรศัพท์มือถือและตะโกนว่า “ทุกคนดูสิ! เจ้าหน้าที่ตำรวจทุบตีประชาชน! ไอ้สารเลวคนนี้พังตุ๊กตาราคาสิบล้านเป็นชิ้น ๆ! พวกเขาไม่จับคนก่อเหตุแต่กลับจับกุมผู้บริสุทธิ์แทน!”
มู่กุยฝานขมวดคิ้ว รู้สึกรำคาญ ทำยังไงถึงจะได้ผลกัน
เขาเหยียบเศษเซรามิกที่ตกลงพื้นจนเกิดเสียงดัง ปิดปากทุกคนที่คิดว่าการยกโทรศัพท์มือถือของตัวเองขึ้นมาคือคนมีเหตุผล พูดจาส่งเดช และวิ่งหนี
ในขณะเดียวกันก็ยิงปืนขึ้นเตือน
มีเสียงกรีดร้องดังขึ้นหลายครั้ง ทุกคนหมอบลงกุมศรีษะด้วยความกลัวอยู่ครู่หนึ่ง และในที่สุดมันก็เงียบลงจริง ๆ
มู่กุยฝานถือโทรศัพท์ส่งข้อความออกไปด้วยสีหน้าเย็นชาและน่ากลัว: [เรียกคนมาตรวจสอบ ดูว่าใครอยู่เบื้องหลังเหตุการณ์นี้! ไปจับมา]
ท่ามกลางความเงียบ เสียงของซู่เป่าก็ดังขึ้น “ไม่ใช่ว่าคุณไม่ได้รับอนุญาตให้สวมเสื้อผ้าที่คุณชอบนะคะ แต่คุณไม่ได้รับอนุญาตให้สวมมันต่อหน้าเจ้าพ่อหลักเมือง”
“พี่ชายใหญ่และพี่สาวใหญ่รู้ไหม นี่ไม่ใช่นิทรรศการที่พวกคุณพูดถึงอะไรนั่น แต่มันคือพิธี”
ตะปูสลักวิญญาณนั้นขนาดเท่ากับแขน ดังนั้นต่อให้พิธีถูกขัดจังหวะก็ไม่เป็นไร ตราบใดที่ตะปูสลักวิญญาณยังอยู่ก็ยังสามารถดำเนินการต่อไปได้!
จู่ ๆ ซู่เป่าก็รู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติ จี้ฉางจึงรีบไปตรวจดู และเสียงร้อนรนก็ดังมาจากระยะไกล “ซู่เป่า รีบมาเร็วเข้า!”
ซู่เป่าดิ้นตัวออกจากมู่กุยฝานและวิ่งไปอย่างรวดเร็ว
เสียงของจี้ฉางเร่งเร้า “มีตะปูสลักวิญญาณอยู่ที่นี่! คนพวกนี้ปลิ้นปล้อนมาก! รีบดึงมันออกมาเร็วเข้า!”
ขณะที่ซู่เป่ากำลังจะขยับ จู่ ๆ จี้ฉางก็พูดขึ้นอีกครั้ง “เดี๋ยวก่อน อีกด้านก็มี!”
เขามองไปที่ท้องฟ้า และดูเหมือนว่าศาลหลักเมืองกำลังถูกปกคลุมด้วยกระจกครึ่งวงกลมสีดำ ด้านหนึ่งของครึ่งวงกลมคือตะปูสลักวิญญาณ และมีอีกหนึ่งตัวที่อยู่ฝั่งตรงข้ามกัน
“เจ้าต้องดึงพวกมันออกมาพร้อมกัน!”
มู่กุยฝานเดินตามซู่เป่ามาและถาม “เกิดอะไรขึ้น”
ซู่เป่ารีบพูดเหมือนที่จี้ฉางพูดอีกครั้ง
เธอมองไปรอบ ๆ คว้าก้อนหินมาหนึ่งก้อนและทุบลงไปบนกระเบื้องอย่างแรง เผยให้เห็นส่วนหนึ่งของตะปูสลักวิญญาณสีแดง
มู่กุยฝานรีบเดินไปอีกด้าน เคาะไม่กี่ครั้ง และพบว่ามีเสียงสะท้อนมาจากด้านล่างกระเบื้อง
เขากระทืบกระเบื้องจนแตกด้วยเท้าข้างเดียว เผยให้เห็นตะปูสีแดงสดอีกหนึ่งตัว
ซู่เป่าคว้าตะปูไว้ “พ่อ ต้องดึงมันออกมาพร้อมกันค่ะ!”
มู่กุยฝานพยักหน้า
เขาคว้าตะปูสลักวิญญาณ แต่กลับพบว่าแม้เขาจะใช้แรงทั้งหมดที่มีดึงมันออก ตะปูสลักวิญญาณก็ไม่ขยับ!
จี้ฉางที่ลอยอยู่ข้าง ๆ เขากระซิบ “เพราะเป็นมนุษย์ธรรมดา จึงขยับมันไม่ได้”
มู่กุยฝานที่กำลังพยายามออกแรงอย่างเต็มที่ จู่ ๆ ก็มีเสียงทุ้มดังขึ้นในหูจนเขารู้สึกหวาดกลัว
เมื่อหันกลับมา เขาก็พบกับชายร่างซีดในชุดคลุมสีขาวที่อยู่ข้าง ๆ
มู่กุยฝาน “...”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ชีวิตใหม่ของเจ้าแก้มก้อน
1819 ตอนสุดท้าย จบแล้วหรือคะ...
ไม่ลงต่อแล้วหรอคะ 🥹...
รอทุกวันเลยค่ะ...
กระโดดข้ามหายไปหลายตอนเลยค่ะ...
1293 1297 1298 หายค่ะ 🥲🥲...
ตอนที่ 1288 หายไปค่ะ...
เย้...กลับมาแล้ว รอทุกวันเลยค่ะ...
หายไปนานจังเลยนะจ๊ะรอลงตอนใหม่อยู่นะคะ...
รอค่ะ...
ทำไมรอบนี้หลายไปนานคะ หรือไปบงที่อื่นคะ...