จูเหิ่งก้มโค้งอย่างภาคภูมิใจ ขอบคุณความสนับสนุนของทุกคน ยกคางขึ้นแล้วหันไปหาเซียวเฉวียนที่ถือตาเขาแล้ว
เซียวเฉวียนพยักหน้า ยังไม่ทันได้เริ่ม ทุกคนต่างก็ส่งเสียงโห่ใส่
เซียวเฉวียนไม่ได้สนใจคนพวกนี้ ยืนอยู่บนเวที จากนั้นเขาก็คิดสักครู่แล้วเริ่มพูดออกมา
“พระโพธิสัตว์ หมอกหนาที่ปกคลุมทั่วพื้นที่คล้ายกับผ้าห่ม
หมอกหนาปกคลุมทั่วพื้นที่คล้ายกับผ้าห่ม ภูเขาที่หนาวเย็น มืดครึ้มและมีสีที่เขียวขจี เวลากลางคืนบนหอคอย คนบางคนที่อยู่ข้างบนรู้สึกกังวล
เป็นการรอคอยที่ไร้ประโยชน์ มีนกน้อยที่กำลังรีบกลับบ้าน แต่ทางกลับบ้านมันอยู่ทางไหน? เป็นการกลับบ้านที่แสนจะยาวนาน"
ลี่ไป๋เจ้าของบทกลอนนี้บรรยายเกี่ยวกับเหตุการณ์ต่างๆ และประโยคต่างๆ ให้มีความเชื่อมโยงกัน และความหมายของแต่ละประโยคก็เกี่ยวข้องกัน เป็นการสร้างคำให้เกิดแนวคิดทางศิลปะที่เป็นธรรมชาติที่ไม่สมบูรณ์แบบ
ภายใต้แสงเงาของพระอาทิตย์ของฤดูใบไม้ร่วงและฤดูหนาวที่โดดเดี่ยว "หมอกหนาที่ปกคลุม" ภูเขาที่เขียวสมบูรณ์ถูกปกคลุมไปด้วยหมอก มันสามารถทำให้ผู้คนรู้สึกเย็นยะเยือกและมีแต่ความว่างเปล่า
วิวภาพภูเขาที่เป็นเคยเป็นสีเขียว แต่กลับมีแต่หมอกที่ทำให้ไม่เห็นอะไรเลย
ภาพเหล่ามันทำให้ไม่สามารถบรรยายออกมาเป็นคำพูดได้เลย
"คนบางคนที่อยู่ข้างบนกำลังเป็นกังวล" ตอนแรกพูดถึงวิวจากนั้นเปลี่ยนไปที่คน การเชื่อมโยงจากอดีตไปปัจจุบันแบบนี้ เป็นการเชื่อมต่อที่ทำให้บทกลอนมันสมบูรณ์แบบ
ประโยคนี้มันเข้ากันได้อย่างดี มีแต่ความรู้สึกมากมายนับไม่ถ้วน ซึ่งทำให้บางคนเศร้าและบางคนมีความรู้สึกที่เพลิดเพลิน
ทุกคนเงียบ มันน่าประหลาดใจมากแม้แต่เว่ยชิงยังปรบมือให้
หลังจากที่เซียวเฉวียนพูดจบ เขาเลิกคิ้ว และปล่อยให้พวกเขาซึมซับบรรยากาศไปช้าๆ
พวกเขาควรได้ซึมซับความจริงของวัฒนธรรมจีน ทำให้พวกเขารู้ว่ามันมีคนที่เหนือกว่า เหนือฟ้ายังมีฟ้า จะได้ไม่ต้องหลงตัวเองคิดว่าตัวเองสูงส่งมาจากไหน
ฉินซูโหรวหยักคิ้ว และอดใจไม่ได้ที่จะพยักหน้า
พอจูเหิ่งเห็นแบบนี้แล้ว เขารู้สึกโกรธมาก
ขณะนี้ จูเหิ่งแอบหยิบกระดาษออกมาจากแขนเสื้อของเขา มองแล้วมองอีก
เซียวเฉวียนทำเสียงไม่พอใจ โกงกันให้เห็นกันแบบนี้เลยเหรอ? แต่พวกโง่ข้างล่างนี้ก็แกล้งทำเป็นมองไม่เห็น
เขาจะโกงอีกสิบกว่ารอบก็ได้งั้นเหรอ? แล้วถ้าเขาโกงอีกสิบครั้งล่ะ? บรรพบุรุษของบทกลอนเท่านั้นที่สามารถทำให้เขาคุกเข่าได้!
เห็นแต่จูเหิ่งขึ้นมาบนเวที "ข้ายังมีอีกบท"
"ดี เอาอีก!" ขณะนี้ คนที่อยู่ข้างล่างสนับสนุนจูเหิ่ง ในบรรยากาศที่เงียบสงบ มันเป็นเรื่องที่กะทันหันมาก จึงทำให้จูเหิ่งรู้สึกเขินอายเล็กน้อย จากนั้นก็เริ่มไอเบาๆ เขามองลงไปที่ผู้คนกำลังตะโกนใส่
นักวิชาการที่อยู่ในเหตุการณ์ก็เริ่มมีสติกลับมา เริ่มกลับมาสนับสนุนเขา เวลาอันสั้นแค่นี้สามารถแต่งออกมาสองบทได้ มันเป็นไปไม่ได้ที่เซียวเฉวียนสามารถทำได้!
ตงฟางซูเริ่มพูดว่า "คุณชายจู เริ่มได้เลยค่ะ"
จูเหิ่งรู้สึกกังวลเล็กน้อย แต่ฉินซูโหรวอยู่ที่นี่ทั้งคน เขาจะแพ้ให้คนอ่อนหัดนี้ได้อย่างไร?
จากนั้นเขาก็หายใจเข้าลึกๆ และเริ่มพูด
“พระโพธิสัตว์
มีบันไดและบริเวณนั้นมีท้องฟ้าสีน้ำเงินล้อมรอบ ดอกไม้พลัมที่เป็นสีขาว พอฤดูใบไม้ผลิย้อนกลับมา ดอกไม้ก็กลับมาบานอีกครั้ง
ตะขอหยกใช้งานไม่ได้ มองไปที่ดวงดาวที่กำลังเปลี่ยน ได้เกิดการหลงทางท่ามกลางหมู่เมฆ "
ทันทีที่จูเหิ่งพูดจบ ทุกคนในที่นี้ยังไม่ได้ทันได้ทำอะไรเขา เซียวเฉวียนก็เดินออกมาข้างหน้าจากนั้นก็เริ่มพูด
“พระโพธิสัตว์
ทุกคนต่างก็บอกว่าเจียงหนานนั้นดี แต่นักท่องเที่ยวจะชอบเจียงหนานแบบเก่ามากกว่า สายน้ำในฤดูใบไม้ผลินั้นใสกว่าท้องฟ้าเป็นพิเศษ นอนบนเรือและหลับไปพร้อมกับเสียงฝน
ทำไมเขาถึงคิดถึงภรรยาของเขาที่มีใบหน้าเหมือนพระจันทร์และผิวที่เย็นจัดราวกับหิมะ ถ้าเป็นผู้ร่ำรวยแล้วไม่กลับบ้านเกิด ก็เหมือนไม่ได้แสดงความร่ำรวยให้คนอื่นดู แต่พอเป็นผู้ไม่ประสบความสำเร็จกลับบ้านเกิดของตัวเองก็จะมีแต่ความเศร้าโศกและหดหู่"
หลังจากที่เซียวเฉวียนพูดจบ เขาก็ได้อำลาตงฟางซู จากนั้นก็เดินออกจากเวทีและเดินจากไป
ทุกคนหลีกทางให้ จากนั้นเว่ยชิงก็วิ่งตามออกไป
ทุกคนที่ฟังเขาพูดจบไปก็ต่างกันอึ้ง แค่นี้ก็จบแล้วเหรอ?
ตอนแรกก็นึกว่าเซียวเฉวียนต้องภูมิใจเพราะชนะ แต่ไม่คิดว่าเขาจะสงบและใจเย็นแบบนี้
ร่างบางของตงฟางซูเฝ้ามองเขาจากไปด้วยความภาคภูมิใจ
เซียวเฉวียนชื่อนี้เป็นครั้งแรกที่ปรากฏในหอจืออี้ มันทำให้ทุกคนได้จดจำเขา
จูเหิ่งกำหมัดแน่น การสอบครั้งนี้ดูเหมือนว่า เขาม่ต้องการให้เซียวเฉวียนผ่านการคัดเลือก จูเหิ่งชื่อนี้ก็เปล่าประโยชน์!
ถึงแม้ว่าจะเป็นตระกูลเล็กๆ ที่ดิ้นรนมาสิบกว่าปี แต่ก็ไม่สามารถมาเทียบกับตระกูลชั้นขุนนางได้หรอก!
พอฉินซูโหรวเห็นเซียวเฉวียนเดินจากไปแล้ว เธอก็รู้สึกสงสัยเล็กน้อยและรวมถึงโกรธ
เธอเดินตามหลังเขา คนมากมายที่เดินสวนกันไปมา แต่เวลาไม่ช้าเธอก็คลาดกับเซียวเฉวียน
ขณะนี้ มีมืออีกข้างหนึ่งมาดึงเธอไว้ คนคนนั้นคืจูเหิ่ง ถึงเขาจะแพ้ที่หอจืออี้ แต่ก็เขาก็ต้องการชนะใจฉินซูโหรวให้ได้
"อย่าบอกนะว่า พอท่านเห็นข้าแพ้ในวันนี้แล้วก็...... "
"คุณชายจู ท่านคิดมากไปแล้ว" น้ำเสียงของฉินซูโหรวแอบแฝงไปด้วยความเหยียดหยาม "เซียวเฉวียนเป็นลูกเขยของตระกูลฉิน การแสดงของวันนี้คงจะมีคนต้องการจะเปิดเผย ว่าทำไมเขาถึงมีความสามารถอะไรแบบนี้ แต่ในใจของข้าแล้ว เขาด้อยกว่าท่านทุกอย่าง"
"ดี ดี ท่านคิดแบบนี้ก็ดี" จูเหิ่งยิ้มอย่างสบายใจ จิตใจของเขาก็โล่งทันที จากนั้นเขาก็ชี้ไปที่สร้อยข้อมือ "นี่คือความตั้งใจของข้า ได้โปรดคุณผู้หญิงช่วยเก็บรักษามันให้ดี"
“อืม” เธอจับสร้อยข้อมือ มันทำให้หัวใจของเธอเหมือนได้รับความรักที่อ่อนหวาน
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ซูเปอร์ลูกเขย
ถึงตอน139 อ่านต่อไม่ได้ต้องทำอย่างไรครับ...
ถ้าแต่งเรื่องแบบนี้ไม่ต้องแต่งเลยจะดีกว่าไม่มีความคิดสมัยใหม่เลยถ้าตัวเอกแบบนี้ก็สมที่คนเป็นพ่อเป็นแม่ทัพพาลูกน้องทั้งกองทัพไปตาย...
มีเรื่องนี้ที่ตัวเอกเป็นเหมือนขยะสังคมทั้งที่ทลุมิติมากเกิด...
ไอ้คนแต่งมันปัญญาอ่อนหารือเปล่า...
มันสมควจไหมที่เอาเลือดเขามาติดต่อวิณยาณไม่มีเหตัผลที่จะทำอย่างนี้เหมือนมันไม่มีอะไรทำทำไมไม่คิดเอาวิธีช่วยลูกเมียมันจะมีประโยชน์กว่า...
เรื่องนี้ตัวเอกเหมือนควายเหมือนหมาหมามาก...
ไม่สมควรเป็นชุปเปอร์ลูกเขยน่าเป็นลูกเขยะจริงๆ...
เป็นคนที่ไม่มีสำมาคาระวะเหมือนไพร่น่ารังเกลียดไม่น่าเอามาเป็นตัวเอก...
บางครั้งเชียวเฉวียนเล่นเหมือนเด็กไม่มีความน่านับถือไม่น่าเอามาเป็นตัวเอกน่าให้เป็นคนชั้นตำ่มาก็กว่า...
แล้วมันสั่งให้ลูกน้องตอบโต้คนที่เข้ามาหาเรื่องเอาไว้ล่วงหน้าไม่ได้เหรอ กฎของนิยายเรื่องนี้มันบ้าๆ อยู่นะ แบบนี้ให้ผู้อารักขาเฝ้าบ้าน ถ้าเจ้านายไม่อยู่ โจรก็เดินเข้าไปเอาของได้สบายเลยสิ เพราะผู้อารักขาไม่มีนาย ทำอะไรโจรก็ไม่ได้...