หอเทียนหมิง
ผู้คนเข้าออกไปมาด้วยความคึกคัก
เว่ยชิงจึงได้จัดงานเลี้ยงเฉลิมฉลองให้กับตนเองที่ได้เป็นลูกศิษย์ของปีศาจกวี
บุตรชายของเหล่าตระกูลขุนนางที่มีชื่อเสียงในเมืองหลวง ต่างแห่กันมาเข้าร่วมงานเลี้ยงให้แก่เว่ยชิงอย่างคับคั่ง
ยามที่จัดงานเลี้ยงภายในหอเทียนหมิงในคราก่อนนั้น คืองานที่เซียวเฉวียนได้รับรางวัลชนะเลิศของการสอบจอหงวน
ในยามนั้น เหล่าบรรดาผู้คนทั้งหมดที่เข้ามาร่วมงานล้วนแต่เป็นชาวบ้านราษฎรคนธรรมดา กระทั่งทาสคุนหลุนยังสามารถเข้ามาร่วมงานได้ นั่นจึงทำให้เถ้าแก่เหลาอาหารมิรู้จะเอาหน้าไปไว้ที่ใด
นับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา หอเทียนหมิงจึงมีแขกเรือมาเข้าใช้บริการค่อย ๆ ลดลงเรื่อย ๆ แม้แต่รายได้จากการค้าขายก็ยังลดลงไปมาก รวมไปถึง เมื่อมีหอปี๋เซิ่งของเซียวเฉวียนมาเปิดให้บริการแล้วนั้น นั่นจึงส่งผลกระทบต่อหอเทียนหมิงมากเลยทีเดียว
ในยามนี้ เถ้าแก่หอเทียนหมิงจักได้มีหน้ามีตาขึ้นมาบ้างเสียที
เมื่อท่านอ๋องเว่ยชิงต้องการมาจัดงานเลี้ยงอย่างเป็นส่วนตัวที่เหลาอาหารของเขาเช่นนี้ ผู้ที่มาเข้าร่วมงาน ย่อมจักต้องเป็นแขกเรือตระกูลผู้สูงศักดิ์อย่างแน่นอน!
ใบหน้าของเถ้าแก่หอเทียนหมองแทบจะบานเป็นกระด้งเลยทีเดียว!
ความรุ่งโรจน์ของหอเทียนหมิงกำลังกลับมาเยือนอีกครั้งแล้ว!
ต้องโทษที่เซียนเฉวียน ที่ทำให้หอเทียนหมิงของเขาต้องมาตกอับเช่นนี้ เมื่อเขากลับมาเห็นแขกเรือผู้สูงศักดิ์แต่ละคนต่างพากันเดินเข้ามาคนแล้วคนเล่า เสมือนกับว่าเขาได้เห็นเทพเจ้าแห่งความมั่งคั่งมาเยือนเลยทีเดียว!
"เชิญขอรับ! เชิญเข้ามาได้เลยขอรับ! ยินดีต้อนรับสู่งานเลี้ยงฉลองของท่านอ๋องเว่ยชิงขอรับ!"
เถ้าแก่หอเทียนหมิงรีบเชื้อเชิญเหล่าคุณชายมากมายเข้ามาในทันที กระตือรือร้นยิ่งกว่าเว่ยชิงที่เป็นแม่งานเสียด้วยซ้ำ นับว่าวันนี้เป็นวันที่เขาสามารถทำเงินได้มากมายเลยเชียว!
เว่ยชิงที่ยืนต้อนรับแขกอยู่ในหอเทียนหมิงนั้น ต่างก็ได้รับคำชมจากลูกหลานเหล่าตระกูลขุนนางมากมายว่า "ไม่เสียทีที่ท่านอ๋องเป็นหนึ่งในแบบอย่างของพวกเรา! ฝ่าบาทสามารถเข้าไปเป็นศิษย์ของท่านปีศาจกวีได้นี้! พวกเราที่เหลือแม้ต่จักฝันยังมิกล้าฝันเลย!"
“ใช่แล้ว ใช่แล้ว! พวกกระหม่อมหาได้กล้าคิดถึงเรื่องนี้ไม่ ทว่า ท่านอ๋องสามารถทำได้!”
“ช่างน่าละอายใจตัวเองจริง ๆ สู้ไม่ได้เลย!”
เหล่าบรรดาลูกหลานตระกูลขุนนางต่างพากันพูดจาประจบสอพลออย่างเต็มที่ เพียงแค่เว่ยชิงได้ฟังก็แทบตัวลอยไปกับคำยกยอในทันที หากแต่เบื้องหน้ายังคงแสดงออกมาถึงความถ่อมตัวว่า "ไม่ ไม่ ข้าเพียงแค่โชคดีเท่านั้น"
“ฝ่าบาทช่างถ่อมตัวเกินไปจริง ๆ พ่ะย่ะค่ะ หากให้คนอย่างพวกกระหม่อมร่ำเรียนอีกสักสามร้อยปี หาได้มีผู้ใดจักโชคดีเช่นนี้ไม่! มีผู้ใดไม่รู้กันว่า รากเหง้าแห่งการฝึกตนของพระองค์พัฒนาออกมาได้ยอดเยี่ยมเพียงนี้ นับว่าพระองค์มีพรสวรรค์มากกว่าคนธรรมดาอย่างพวกกระหม่อมมากพ่ะย่ะค่ะ "
“ช่างเหอะ ช่างเหอะ” ภายในใจของเว่ยชิงรู้สึกพึงพอใจยิ่งนัก ทว่า เขายังคงแสร้งทำเป็นบัณฑิตที่มิสนใจความคิดเห็นของผู้อื่นอยู่ "คืนนี้ไม่เมามิต้องกลับ!"
“แน่นอน! แน่นอน! ฮ่าฮ่าฮ่า!”
เหล่าบรรดาคุณชายตระกูลขุนนางทั้งหลายต่างพากันหัวเราะออกมาด้วยความชอบใจ ทันใดนั้น ฉินเฟิงและฉินเป่ยจึงได้เดินทางมาถึงพอดี
ทันทีที่พี่น้องตระกูลฉินมาถึงนั้น ทุกคนในห้องโถงต่างพากันเงียบสนิท ก่อนจะลอบมองหน้าสบตากันเล็กน้อย
ทุกคนต่างก็รู้กันดีว่าซือซือประชันกลอนเสียจนต้องมาตกตายอยู่ในตระกูลฉิน
แม้จะกล่าวว่าเสียชีวิตเพราะการประชันกลอน ทว่า หาได้มีผู้ใดเชื่อถือไม่
ยิ่งไปกว่านั้น ทั้งเว่ยชิงและฉินเฟิงเอง ต่างก็มุ่งมั่นที่จะเอาชนะใจองค์หญิง พวกเขาทั้งคู่ต่างก็เป็นศัตรูความรักซึ่งกันและกัน เหล่าบุตรชายจากตระกูลขุนนางทั้งหลาย ต่างลอบส่งยิ้มให้กันเนื่องจากว่าพวกเขากำลังได้ดูงิ้วดี ๆ โรงหนึ่งแล้ว
ในคราวนี้ เว่ยชิงเองก็ได้ส่งคำเทียบเชิญไปให้กับพี่น้องตระกูลฉินด้วยเช่นกัน
“ขอแสดงความยินดีกับฝ่าบาทด้วยพ่ะย่ะค่ะ” ฉินเฟิงและฉินเป่ยย่อกายทำความเคารพในทันที
เว่ยชิงพยักหน้าลงเล็กน้อย "คุณชายสามฉินอยู่ที่ใดเล่า?"
ฉินหนาน......
ฉินเฟิงแย้มยิ้มออกมาเล็กน้อย "ฉินหนานป่วยพ่ะย่ะค่ะ เพื่อมิให้เป็นการขัดต่อความเป็นสิริมงคลของท่านอ๋อง ดังนั้น..."
นับว่านี่เป็นเหตุผลที่ดี เว่ยชิงย่อมต้องเข้าใจมันอย่างแน่นอน ผู้ใดจักไปคาดคิดกันว่า ข้ารับใช้ตระกูลฉินที่มิรู้จักรักตัวกลัวตายจู่ ๆ จักวิ่งเข้ามาหา
“คุณชายใหญ่ขอรับ นายท่านกำลังจัดงานเลี้ยงอยู่ที่หอปี๋เซิ่งขอรับ จึงได้มาเชิญท่านกับคุณชายสี่ตระกูลฉินให้ไปร่วมงาน” ข้ารับจึงเอ่ยไปด้วยอาการหอบหืดว่า "คุณชายสามเองก็อยู่ที่หอปี๋เซิ่งแล้วขอรับ"
บรรยากาศโดยรอบพลันหยุดนิ่งไปครู่หนึ่ง ก่อนจะเต็มไปด้วยความรู้สึกอับอายขายขี้หน้าขึ้นมาในทันที
เหล่าบรรดาคุณชายในตระกูลขุนนางน้อยใหญ่ต่างพากันตกตะลึงไปโดยพลัน เมื่อครู่มิได้กล่าวว่าฉินหนานป่วยหรอกหรือ? เหตุใดถึงไปอยู่ในหอปี๋เซิ่งของเซียวเฉวียนได้เล่า? นี่มิได้เป็นการตบหน้าท่านอ๋องต่อหน้าสาธารณะหรอกหรือ?
ฉินเฟิงได้แต่กระเอมกระไอออกมาในทันที ก่อนจะทำท่าขยิบตาส่งสัญญาณให้กับข้ารับใช้คนนั้น หากแต่ข้ารับใช้หาได้เข้าใจในสิ่งที่เขาจักสื่อออกมาไม่ "นายท่านยังกล่าวอีกว่า ให้รีบไป อย่าให้นายท่านต้องคอยนาน"
ฉินเฟิงพลางเอ่ยตะคอกออกมาว่า "มิรู้หรือว่าวันนี้ท่านอ๋องได้ส่งเทียบเชิญมางานเลี้ยงแล้ว? เขายังจะมาเรียกคนไปได้อย่างไร ? เขานับว่าเป็นสิ่งใดกัน?"
“หากว่ากันตามจริงแล้ว เซียวเฉวียนเองก็ต้องเอ่ยเรียกท่านอ๋องว่าท่านน้ามิใช่หรือ? การที่คนรุ่นหลังกระทำตัวไร้มารยาทต่อผู้อาวุโสเช่นนี้ นับว่าหาได้ยาก! หาได้ยากจริง ๆ !”
“ฮ่าฮ่าฮ่า! มิผิด! ท่านอ๋องที่มีศักดิ์เป็นผู้อาวุโสเช่นนี้ ไม่เพียงแต่เซียวเฉวียนต้องให้การเคารพเท่านั้น ทั้งยังต้องคุกเข่าลงและโค้งคำนับอีกด้วย!”
"ฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า!"
เว่ยชิงรู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่ง เมื่อได้รับการสนับสนุนมากมายจากเหล่าคุณชายตระกูลขุนนางชั้นสูงทั้งหลาย ด้วยท่าทีที่เขาภาคภูมิใจเช่นนี้ อีกทั้งในยามนี้เขายังมีฐานะเป็นหนึ่งในลูกศิษย์ของปีศาจกวีแล้วนั้น เซียวเฉวียนจักเอาสิ่งใดมาเปรียบเทียบกับเขาได้กัน?
ฉินเฟิงพลางหันไปตะคอกกับข้ารับใช้ผู้นั้นว่า "เจ้ายังจะมายืนอยู่ที่นี่ทำไมกัน! ช่างทำให้น่าขายหน้ายิ่งนัก! เจ้าเป็นข้ารับใช้ของตระกูลฉิน หาใช่ของเซียวเฉวียนไม่!"
“คำพูดของเขา เจ้ารับฟังก็พอแล้ว ยังมีหน้ามารายงานให้ข้าฟังอีกหรือ?”
ฉินเฟิงเอ่ยตำหนิข้ารับใช้เช่นนี้ ทำเอาคนผู้น้อยตัวสั่นขวัญผวาไปในทันที พลางกล่าวออกมาว่า "ทูลคุณชายใหญ่ขอรับ ข้าน้อยมิกล้าที่จะมิรายงานต่อท่านขอรับ"
เว่ยชิงพลันหันไปส่งเสียงฮึดฮัดก่อนจะเอ่ยออกมาด้วยท่าทีไม่สบอารมณ์ว่า "นายท่านของพวกเจ้าช่างหยาบคายและไร้มารยาทยิ่งนัก เปิ่นหวางหาใช่คนเช่นนั้นไม่ ในเมื่อเซียวเฉวียนส่งเข้ามาที่นี่เช่นนี้ ดังนั้นเจ้าควรกลับไปส่งข่าวแก่เซียวเฉวียนว่า วันนี้เปิ่นหวางได้ทำการจัดงานเลี้ยงให้คุณชายตระกูลชนชั้นสูงแล้ว ย่อมมิมีเวลาไปตามคำเชิญของเขาต้องขออภัยด้วย”
เว่ยชิงเอ่ยออกมาอย่างสุภาพ หากแต่ทุกคนรับรู้ได้ถึงน้ำเสียงที่ไม่พอใจของเว่ยชิงได้เป็นอย่างดี
เหล่าบรรดาคุณชายตระกูลขุนนางน้อยใหญ่ต่างพากันเข้ามาเลียแข้งเลียขาให้กับเว่ยชิงอีกครั้ง: "ดูสิ ดูสินี่แหละคือบัณฑิต นี่แหละเรียกว่ามารยาท ท่าทีสุภาพบุรุษย่อมสมควรเหมือนกับท่านอ๋องในยามนี้ ท่าทีสุภาพเรียบร้อย ทำให้ผู้คนรู้สึกเคารพนับถือ"
“ใช่แล้ว ใช่แล้ว! มิผิดเลยที่ฝ่าบาทเป็นถึงศิษย์ของท่านปีศาจกวี! ยิ่งใหญ่! ยิ่งใหญ่ยิ่งนัก!”
“เจ้าหนู ให้นายท่านของตระกูลเจ้าร่ำเรียนมารยาทหน่อยเสีย! ในภายภาคหน้าจักได้ไม่ทำให้ตนเองต้องอับอายขายหน้าอีก!”
เมื่อเว่ยชิงได้ยินคำชมเหล่านี้ เขาจึงยิ้มเล็กยิ้มน้อยออกมาด้วยความรู้สึกพึงพอใจอย่างยิ่ง ใบหน้าของฉินเฟิงกลับแดงก่ำไปด้วยความโกรธเกรี้ยว
ข้ารับใช้ผู้นั้นจึงได้แต่ก้มศีรษะลง ก่อนจะยกมือขึ้นกล่าวว่า “ท่านอ๋องพ่ะย่ะค่ะ นายท่านของข้าน้อยกล่าวว่า พระองค์จำเป็นต้องไป”
“นายท่านกล่าวว่า เขาหาได้ส่งคำเชิญมาให้ท่านในฐานะนายท่านของตระกูลฉินไม่ แต่เป็น …” ข้ารับใช้หนุ่มก้มหัวลงให้ต่ำที่สุด "แต่ในนามศิษย์พี่ของท่านพ่ะย่ะค่ะ"
ทั่วร่างของเว่ยชิงพลันแข็งทื่อไปในทันที
พร้อมกับผู้ชมรอบข้างที่ส่งเสียงเงียบงันไปในทันใด
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ซูเปอร์ลูกเขย
ถึงตอน139 อ่านต่อไม่ได้ต้องทำอย่างไรครับ...
ถ้าแต่งเรื่องแบบนี้ไม่ต้องแต่งเลยจะดีกว่าไม่มีความคิดสมัยใหม่เลยถ้าตัวเอกแบบนี้ก็สมที่คนเป็นพ่อเป็นแม่ทัพพาลูกน้องทั้งกองทัพไปตาย...
มีเรื่องนี้ที่ตัวเอกเป็นเหมือนขยะสังคมทั้งที่ทลุมิติมากเกิด...
ไอ้คนแต่งมันปัญญาอ่อนหารือเปล่า...
มันสมควจไหมที่เอาเลือดเขามาติดต่อวิณยาณไม่มีเหตัผลที่จะทำอย่างนี้เหมือนมันไม่มีอะไรทำทำไมไม่คิดเอาวิธีช่วยลูกเมียมันจะมีประโยชน์กว่า...
เรื่องนี้ตัวเอกเหมือนควายเหมือนหมาหมามาก...
ไม่สมควรเป็นชุปเปอร์ลูกเขยน่าเป็นลูกเขยะจริงๆ...
เป็นคนที่ไม่มีสำมาคาระวะเหมือนไพร่น่ารังเกลียดไม่น่าเอามาเป็นตัวเอก...
บางครั้งเชียวเฉวียนเล่นเหมือนเด็กไม่มีความน่านับถือไม่น่าเอามาเป็นตัวเอกน่าให้เป็นคนชั้นตำ่มาก็กว่า...
แล้วมันสั่งให้ลูกน้องตอบโต้คนที่เข้ามาหาเรื่องเอาไว้ล่วงหน้าไม่ได้เหรอ กฎของนิยายเรื่องนี้มันบ้าๆ อยู่นะ แบบนี้ให้ผู้อารักขาเฝ้าบ้าน ถ้าเจ้านายไม่อยู่ โจรก็เดินเข้าไปเอาของได้สบายเลยสิ เพราะผู้อารักขาไม่มีนาย ทำอะไรโจรก็ไม่ได้...