ณ สถานศึกษาชิงหยวน
วันที่สองของการสอบ ผู้เข้าสอบจากเมืองหลวงที่ได้เข้าหรือไม่ได้ร่วมก็ตาม เมื่อเห็นคำสอนที่ด้านหน้าของสถานศึกษาชิงหยวน พวกเขาทั้งหลายเป็นอันต้องไม่พอใจเซียวเฉวียน
ผู้เข้าสอบขุนนางในเมืองหลวงมีทั้งคนรวยและผู้ดี พวกเขาหยิบเอาของมีค่าจากบ้านติดตัวมาด้วย ซึ่งของเหล่านั้นเป็นสิ่งที่คนธรรมดาใฝ่ฝันหา
พวกเขายืนรอข้างนอกสถานศึกษาพร้อมกับคนรับใช้ข้างกายที่ถือของมีค่าของเหล่าเจ้านายไว้ ใครก็ตามที่มา ต่างก็จับจ้องไปที่ของล้ำค่าของบุคคลนั้น และอิจฉาอยู่ภายในใจ
คนที่ภูมิใจที่สุดน่าจะเป็นหยางจู ลูกชายของหยางเล่อ ขุนนางในสำนักมนตรีพิธีการ
หยางจูมีร่างกายที่อ้วนท้วม สมองเต็มไปด้วยเรื่องกิน เนื่องจากหยางเล่อที่เป็นหัวหน้าของขุนนางมีลูกชายตอนที่เขาอายุมากแล้ว เขาจึงเลี้ยงหยางจูมาอย่างดีที่สุด
เขาปรนเปรอลูกชายของเขาด้วยอาหารรสเลิศ และทุกสิ่งที่ดีที่สุดในต้าเว้ย
ไม่ว่าหยางจูจะไปที่ใด เขาจะได้ครอบครองพื้นที่เหล่านั้นพร้อมด้วยข้าราชบริพาร
หยางจูและชูเหิงมีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน ตัวหยางจือเงียบขรึมกว่าจูเหิงมาก เนื่องจากหยางเล่อมักสอนลูกชายของเขาว่าเมืองหลวงคือพยัคฆ์หมอบ มังกรซ่อน และหยางจูนั้นเป็นคนสำคัญ เขาจึงไม่ควรสร้างเรื่องเสียหายให้กับตระกูล หยางจูที่มีอารมณ์สงบกว่าลูกของขุนนางตระกูลอื่น เขาดื่มด่ำกับรสชาติของอาหารมากกว่าที่จะออกไปก่อเรื่องวุ่นวายข้างนอก
เมื่อไม่นานมานี้ ครั้งที่จูเหิงยั่วยุเซียวเฉวียน แม้ว่าหยางจูจะรู้เรื่องนี้ แต่เขาก็ไม่ได้เข้าไปเกี่ยวข้อง ลูกเขยตระกูลฉินผู้ยากจน ไม่คู่ควรกับฝ่ามือของหยางจูที่จะสอนบทเรียนให้เขา
ไม่ว่ามันจะสงบแต่ไหน สิ่งที่ปรากฏให้เห็นคือความกระหายและเย่อหยิ่งในตนเอง
เซียวเฉวียนเห็นหัวที่เชิดขึ้นเล็กน้อย ก็รับรู้ได้ว่านี้คืออีกหนึ่งปัญหา
ทันทีที่เซียวเฉวียนปรากฏตัว ความสนใจของทุกคนที่มีต่อหยางจูก็เปลี่ยนไป สายตาของหยางจูจับจ้องไปที่เซียวเฉวียนด้วยความไม่พอใจ
"เซียวเฉวียน ครั้งนี้เจ้านำอะไรมาให้เหวินเจี้ยวหยู้ล่ะ"
เสียงหัวเราะคิกคักดังขึ้น วันนี้เขาไม่มีอะไรติดมือมา มีเพียงแถบผ้าห้อยลงมาจากมือขวา
เหวินเจี้ยวหยู้เป็นผู้สูงศักดิ์แห่งแคว้นต้าเว้ย ไม่โลภหรือแสวงหาชื่อเสียง
เซียวเฉวียนมองดูของกำนัลของคนเหล่านี้ แต่ละชิ้นราคาแพงใช่ย่อย เขาอดไม่ได้ที่จะส่ายหัว ไม่แปลกใจเลยที่เหวินเจี้ยวหยู้จะไม่ค่อยรับใครเป็นศิษย์ คนเหล่านี้ใช้เงินเพื่อแก้ปัญหา แต่ไม่รู้วิธีที่จะใช้ใจ
เขาเดินดูของเหล่านี้ราวกับว่ากำลังทำงานอยู่ในพิพิธภัณฑ์ อยากจะตรวจดูให้ละเอียด เสียดายที่เซียวเฉวียนสายตาไม่ค่อยดี อยากจะได้แว่นมาสวมดูให้ชัดเจนเสียจริง
ไม่เลว ไม่เลวเลย
คนส่วนใหญ่นำถ้วยชามมา มีเพียงบางส่วนที่นำเครื่องประดับมา แน่นอนว่าไม่ใช่ของธรรมดา ตระกูลขุนนางจะระมัดระวังในการมอบของกำนัลเสมอ
เขาพยักหน้าขณะเดินดู ของเก่าตรงนี้บางอย่างถูกรวบรวมแล้วนำไปประมูล บางชิ้นซื้อขายอยู่หลายแสน
ในยุคปัจจุบันของพวกนี้มีค่ามาก แต่นี้ยุคโบราณของพวกนี้ก็เป็นเพียงของกำนัลจากตระกูลขุนนางเท่านั้น
เขาเดินดูมันราวกับเป็นเจ้าหน้าที่ตรวจของ พร้อมกับส่ายหัว "เซียวผู้เป็นหนึ่ง กระถางดอกไม้ที่ข้ามอบให้เหวินเจี้ยวหยู้นั้นมาจากโรงเผาจวินเหยา เจ้ามองดูถูกเหยียดหยามเช่นนี้หมายความเยี่ยงไร"
ต้าเว่ยกับจีนเหมือนกัน ให้ความสำคัญกับกระถางดินเผาพวกนนี้ เซียวเฉวียนระหลาดใจกับการเผาที่ยอดเยี่ยมในสมัยโบราณ แล้วจะดูถูกเหยียดหยามได้อย่างไร?
เมื่อได้ยินคนหนึ่งพูดขึ้นว่าเขาดูถูกเหยียดหยาม น้ำเสียงนั้นช่างคุ้นเคย
คนที่พูดเป็นหนึ่งในลูกน้องของจูเหิง เขาเป็นคนที่กล่าวหาเซียวเฉวียนในการจัดการจูเหิงที่ผ่านมา
เซียวเฉวียนไม่ตอบ มีใครบางคนรีบพูดขึ้น "นายน้อยหาน ท่านรู้ไม่เท่าเซียวผู้เป็นหนึ่งหรอก เขาไม่เคยเห็นสิ่งนี้มาก่อน เขาจะดูถูกได้เยี่ยงไรกัน?"
"อืม! ที่ท่านพูดมาก็มีเหตุผล" ผู้ยืนดูอยู่ยิ้มเล็กน้อยด้วยท่าทางยิ่งสโย มองไปที่คนที่ต่ำต้อย บนหน้าแสดงความรังเกียจ
เสียงหัวเราะเสียดแทงเข้าไปในหูของเซียวเฉวียน ราวกับหนอนกำลังชอนไชอยู่ในหู เขาไม่พอใจอย่างยิ่ง
ทุกประโยคที่พูดออกมา ราวกับว่ากำลังเยาะเย้ยเขาว่าเป็นกบในบ่อน้ำ มีตาหามีแววไม่
จริงอยู่ที่ตระกูลเซียวยากจน เขาไม่เคยพูดว่าตระกูลเซียวร่ำรวยเลยสักครั้ง!
ถ้าบอกว่าเขาไม่รู้ เซียวเฉวียนไม่เห็นด้วย
ไม่อย่างนั้นเขาเป็นผู้ดูแลพิพิธภัณฑ์เพื่ออะไร? ไม่ต้องพูดถึงแคว้นต้าเว่ยที่ยิ่งใหญ่ สิ่งล้ำค่าในฮว๋าเซี่ยที่เกิดขึ้นเป็นเวลากว่าห้าพันปี คิดว่าเขาไม่เคยเห็นหรือสัมผัสมันเลยหรือ?
การเล่นกับศักดิ์ศรีในอาชีพของเซียวเฉวียน พวกเขาถือว่าโชคร้ายมากในวันนี้!
ถ้าเป็นคนธรรมดาตกอยู่ภายในสถานการณ์เช่นนี้คงกลัวจนตัวสั่น แต่เซียวเฉวียนกับเฉยเมย ไม่แสดงอารมณ์ใดๆ
ทันใดนั้นเขาก็พูดถึงกระถางดอกไม้ที่หานกุ้ยภูมิใจนักหนาด้วยน้ำเสียงเย็นชา ภายใต้น้ำเสียงยังดูเป็นมืออาชีพ "สิ่งนี้เป็นของระดับกลาง เครื่องเคลือบลายครามในจวนฉินยังดูมีค่ากว่าเสียอีก"
"ฮ่า ๆ ๆ ๆ!"
ทันทีที่เขาพูดจบ ไม่ต้องพูดถึงลูกชายของตระกูลนั้นแม้แต่คนรับใช้ก็อดไม่ได้ที่จะหัวเราะ
เซียวเฉวียน ลูกเขยที่เพิ่งเข้าจวนฉินได้เมื่อไม่นานมานี้ แสดงความมั่นใจเสียเหลือเกิน ต้องการเอาชนะอย่างนั้นหรือ?
เซียวเฉวียนหัวเราะแล้วมองไปที่กระถางดอกไม้ พูดอย่างครุ่นคิด "เตาเผามีสองประเภท หนึ่งคือฝีมือจากพรสวรรค์ และอีกประเภทคือความเฉลียวฉลาดของมนุษย์ ช่างฝีมือที่มีพรสวรรค์ เปลี่ยนรูปด้วยไฟ ความร้อนและสร้างมันขึ้นโดยธรรมชาติ "
ทันทีที่คำพูดเหล่านี้ออกมา ลูกๆ ของตระกูลขุนนางก็ตกใจและมองหน้ากันอย่างไม่เชื่อ เซียวเฉวียนพูดอย่างสงบด้วยความมั่นใจ "เตาเผาของแคว้นต้าเว้ยจะออกเป็นสีม่วง สีของกระถางนี้คือสีแดงของแครปแอปเปิ้ลและสีแดงถูกเคลือบเป็นสีม่วง แต่ทำได้แค่สีม่วงอ่อนเท่านั้น และยังไม่ถือว่าบริสุทธิ์ ยังมีข้อบกพร่องด้านอายุของเตาเผา ดังนั้นมันจึงถือได้ว่าเป็นของระดับกลางเท่านั้น”
เหล่าคนรับใช้ต่างส่งเสียงดัง พวกเขาไม่เข้าใจเรื่องเครื่องเคลือยลายครามล้ำค่าเหล่านี้และไม่สามารถโต้เถียงได้ แต่ทำไมเหล่านายน้อยถึงเงียบไป?
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ซูเปอร์ลูกเขย
ถึงตอน139 อ่านต่อไม่ได้ต้องทำอย่างไรครับ...
ถ้าแต่งเรื่องแบบนี้ไม่ต้องแต่งเลยจะดีกว่าไม่มีความคิดสมัยใหม่เลยถ้าตัวเอกแบบนี้ก็สมที่คนเป็นพ่อเป็นแม่ทัพพาลูกน้องทั้งกองทัพไปตาย...
มีเรื่องนี้ที่ตัวเอกเป็นเหมือนขยะสังคมทั้งที่ทลุมิติมากเกิด...
ไอ้คนแต่งมันปัญญาอ่อนหารือเปล่า...
มันสมควจไหมที่เอาเลือดเขามาติดต่อวิณยาณไม่มีเหตัผลที่จะทำอย่างนี้เหมือนมันไม่มีอะไรทำทำไมไม่คิดเอาวิธีช่วยลูกเมียมันจะมีประโยชน์กว่า...
เรื่องนี้ตัวเอกเหมือนควายเหมือนหมาหมามาก...
ไม่สมควรเป็นชุปเปอร์ลูกเขยน่าเป็นลูกเขยะจริงๆ...
เป็นคนที่ไม่มีสำมาคาระวะเหมือนไพร่น่ารังเกลียดไม่น่าเอามาเป็นตัวเอก...
บางครั้งเชียวเฉวียนเล่นเหมือนเด็กไม่มีความน่านับถือไม่น่าเอามาเป็นตัวเอกน่าให้เป็นคนชั้นตำ่มาก็กว่า...
แล้วมันสั่งให้ลูกน้องตอบโต้คนที่เข้ามาหาเรื่องเอาไว้ล่วงหน้าไม่ได้เหรอ กฎของนิยายเรื่องนี้มันบ้าๆ อยู่นะ แบบนี้ให้ผู้อารักขาเฝ้าบ้าน ถ้าเจ้านายไม่อยู่ โจรก็เดินเข้าไปเอาของได้สบายเลยสิ เพราะผู้อารักขาไม่มีนาย ทำอะไรโจรก็ไม่ได้...