เมื่อถึงเวลาเลิกงาน ญาธิดาจัดการเก็บของเป็นที่เรียบร้อยแล้ว จากนั้นก็เตรียมตัวพร้อมกลับบ้านได้ทุกเมื่อ
ใครเล่าจะรู้ว่าตอนที่เธอเตรียมตัวจะกลับนั้น กลับถูกพิชญ์สินียืนขวางอยู่ตรงประตูห้องทำงาน
พิชญ์สินีกวาดตามองกระเป๋าในมือของเธอแวบหนึ่ง พลันเลิกคิ้วพูด “นี่กำลังเตรียมตัวจะกลับแล้วใช่มั้ย?”
ญาธิดาเหลือบมองนาฬิกาที่แขวนติดอยู่ข้างกำแพง “ก็ถึงเวลาเลิกงานแล้วนี่”
STN Group เป็นบริษัทที่มีมนุษยธรรมมาก โดยวันปกติแล้วจะไม่ค่อยทำงานโอที นอกจากเวลาที่ค่อนข้างยุ่ง เพื่อเร่งทำงานให้ทัน บรรดาพนักงานจะอยู่ทำงานต่อ
“จัดการเอกสารพวกนี้ให้เสร็จแล้วค่อยกลับ”
พิชญ์สินีกลอกตามองบน พลางยัดเอกสารกองหนึ่งที่อยู่ในมือให้เธอ
ญาธิดาเหลือบมอง เอกสารตั้งมากมายขนาดนี้ ถ้าจัดการและจัดเรียงเอกสารทั้งหมดจนเรียบร้อยแล้ว เกรงว่าต้องใช้เวลา 2 ชั่วโมง ทว่าเธอได้นัดหมายกับภวินท์เอาไว้แล้วว่าจะกลับบ้านไปกินข้าวด้วยกัน...
เมื่อเห็นว่าพิชญ์สินีแสดงท่าทางว่าจะเดินออกไป ญาธิดาจึงได้ออกไปเรียกรั้งเธอเอาไว้ “รอเดี๋ยวสิ!”
พิชญ์สินีหันศีรษะกลับ “ทำไมล่ะ?”
ญาธิดาพูดเน้นย้ำทีละคำ “งานฉันวันนี้ทำเสร็จหมดแล้ว มีด้วยเหรอพอถึงเวลาเลิกงานแล้วมาแบ่งงานให้ทำอะ?”
พิชญ์สินีไม่คาดคิดมาก่อนเลยว่าญาธิดาจะหัวแข็งขนาดนี้ เธอย่นคิ้วเล็กน้อย “ทำไม แบ่งงานให้เธอทำแล้วเธอก็ไม่ทำได้ด้วยเหรอ?”
ญาธิดาไม่ยอมอ่อนข้อให้ พลางพูดเน้นย้ำทุกคำ “วันนี้ฉันมีธุระ ทำไม่ได้จริงๆ ถ้าคุณอยากจะแสดงความคิดเห็นกับฉัน พรุ่งนี้พวกเราค่อยไปหาพี่แนนด้วยกันเพื่อให้เธอลงความเห็น”
เธอกับพิชญ์สินีตำแหน่งงานเท่าเทียมกัน โดยวันปกติแล้วเธอแบ่งงานให้เธอทำ เธอก็ไม่ได้พูดว่าอะไรเลย ทว่าตอนนี้มันเป็นเวลาเลิกงานแล้ว ซึ่งเธอไม่มีความจำเป็นต้องผ่อนปรนให้เธอทุกเรื่องนี่
เมื่อหลุดปากพูดประโยคนี้ออกไป ญาธิดาก็เดินออกจากห้องทำงานทันที พลางทิ้งพิชญ์สินียืนกลอกตาอยู่จุดเดิม
เธอตาลีตาเหลือกออกจากบริษัท ซึ่งเป็นช่วงเลิกงานการจราจรคับคั่งพอดี จนกลับมาถึงบ้านนั้น ภวินท์เสร็จธุระจากเรื่องนอกบ้านจนกลับมาแล้ว
เมื่อเธอเปิดประตูเข้ามา จึงมองเห็นป้าจันทร์กำลังจัดวางจานชามบนโต๊ะอาหารอยู่
“คุณนาย กับข้าวใกล้จะเสร็จแล้ว คุณไปล้างมือก่อนค่ะ แล้วไปเรียกคุณชายที่อยู่ชั้นบนให้ลงมากินข้าวด้วยค่ะ”
“ได้ค่ะ”
ญาธิดาวางกระเป๋าลง พลางกอดอาการตื่นเต้นเล็กน้อย และเดินขึ้นชั้นสองอย่างกระโดดโลดเต้น
เธอเดินมาถึงห้องนอน และผลักบานประตูเดินเข้าไปในห้อง จึงได้ยินเสียงความเคลื่อนไหวในห้องน้ำ เธอเดินมาถึงประตู ตอนที่เธอเตรียมจะเคาะประตูกระจก จังหวะนั้นก็ได้ยินเสียงอึมครึมของชายหนุ่มดังออกมา
น้ำเสียงไม่ดังนัก เป็นแค่เสียงสั้นไม่กี่คำ ทว่าญาธิดายังหน้าแดงตามอยู่เล็กน้อย
ภวินท์เขาทำอะไร...อยู่ในนั้นนะ?
เวลานั้น ด้วยความรู้สึกอยากรู้อยากเห็นอย่างเต็มเปี่ยม ซึ่งเธอรู้อยู่เต็มอกว่าการทำเช่นนี้มันไม่ถูกต้อง ทว่ายังอดใจไม่ได้จนต้องค่อยๆ แง้มบานประตูห้องน้ำออกเล็กน้อย
ท่อนบนที่กำลังโป๊เปลือยของชายหนุ่ม และหันหลังให้ประตู กล้ามเนื้อทางด้านหลังที่แข็งแรงเป็นลอนกล้ามทุกมัดมีพลังอย่างเห็นได้อย่างชัดเจน ทว่าบริเวณช่วงเอวด้านหลังของเขานั้น กลับมีบาดแผลที่มีเลือดไหลอาบ ที่แดงแจ๋จนเตะตา
ญาธิดาตัวสั่นทันที และรู้สึกเสียวสันหลังอย่างไม่รู้ตัว และถอยหลังออกหนึ่งก้าวอย่างไม่รู้ตัว
เขา...นี่เขาเป็นอะไรไปเนี่ย!
ภวินท์ได้ยินเสียงทางด้านหลัง พลันหันขวับกลับมาทันที “ใคร!”
จังหวะที่เห็นญาธิดาอยู่ตรงประตูนั้น แววตาอันเย็นยะเยือกตื่นตัวคู่นั้นค่อยๆ สงบลงไปเยอะ
เขารีบเอาผ้าก๊อซมาปิดบาดแผลอย่างเร่งรีบ พลางเอาเสื้อคลุมอาบน้ำที่อยู่ด้านข้างหยิบติดมือมาพาดลงบนร่างกายตัวเอง และออกคำสั่งด้วยเสียงเคร่งขรึม “ออกไปรอผมข้างนอก”
ญาธิดาหลุดจากอาการตกอกตกใจและหวาดหวั่นได้ วินาทีอยู่ชั่วพริบตา จากนั้นก็เดินจ้ำอ้าวเข้าไปในห้องน้ำทันที
เธออ้าปากพูด น้ำเสียงสั่นเทาเล็กน้อย “ตกลงว่ามันเกิดเรื่องอะไรขึ้นกับคุณหรือคะ?”
ภวินท์ย่นคิ้ว “คุณไม่จำเป็นต้องรู้”
“ภวินท์!”
จู่ ๆ ญาธิดาก็ทำเสียงสูงขึ้นทันที น้ำเสียงที่เรียกชื่อของเขานั้นดูเคร่งขรึมขึ้น จากนั้น เธอก็เดินจ้ำอ้าวมาทางด้านหน้า พลางยื่นมือออกไปจับมือของเขาโดยที่ไม่ความลังเลสักนิด “ทำไมต้องปิดบังฉันด้วย...”
เขาสามารถไม่บอกเธอว่าไปบาดเจ็บมาได้อย่างไร และสามารถไม่บอกเธอว่าเขากำลังทำอะไรอยู่ แต่ว่าอย่างน้อยเรื่องที่เขาได้รับบาดเจ็บมายังต้องบอกเธอสิ!
ภวินท์ขมวดคิ้วไว้แน่น พลางเตรียมจะอ้าปากเพื่อให้เธอออกไป ทว่าใครเล่าจะรู้เมื่อตอนหันศีรษะกลับมานั้น ก็เห็นดวงตาน้ำตาคลอเบ้าของญาธิดา และเบ้าตาแดงก่ำ
เมื่อมองท่าทางเสียใจจนปลายจมูกแดงแจ๋ของเธอแล้ว ภวินท์ก้มหน้าลง จากนั้นก็ประกบริมฝีปากเธอ
วินาทีที่ริมฝีปากสัมผัสกันนั้น ทั้งสองคนต่างตกตะลึงกันอย่างไม่ได้นัดหมาย
เธอคิดไม่ถึงเลยว่าเขาจะทำเช่นนี้ เขาเองก็คาดไม่ถึงเช่นกันที่ตนเองจะทำเช่นนี้อย่างไม่รู้เนื้อรู้ตัว
วินาทีต่อมานั้น ร่างกายของทั้งสองคนเหมือนมีแรงผลักออกจากกันในเวลาเดียวกัน ทว่าแววตานั้นยังสบตากันอยู่ ชั่ววินาทีนั้น บรรยากาศภายในห้องกลับกลายเป็นเคอะเขินทันที
ญาธิดาทำตาโต และกลั้นลมหายใจเอาไว้ ราวกับแน่นิ่งไปแล้ว
ส่วนภวินท์นั้นตั้งสติได้ก่อน เขากระแอมออกมาสองครั้ง และเบนสายตาและดึงเสื้อคลุมอาบน้ำบนตัวให้ดี จากนั้นก็พูดทันที “อาหารเย็นน่าจะทำเสร็จแล้ว”
เขาพูด พร้อมทั้งเดินออกจากห้องน้ำทันที
กระทั่งร่างกายของชายหนุ่มหายไปจากสายตาของเธอแล้ว ญาธิดาถึงได้คิดจะหายใจได้ เธอสูดลมหายใจเข้าลึกๆ และคลี่มุมปากยิ้มไปพร้อมกัน และฉีกยิ้มกว้างขึ้นเรื่อย
การจูบที่เกิดขึ้นเมื่อครู่นั้น แม้ว่าจะเร็วเพียงแค่สองวินาที ทว่ากลับหวานชื่นเสียจริง
เธอตบแก้มที่ร้อนผ่าว และแสร้งทำตัวสงบนิ่งลงไปยังชั้นล่าง
ภวินท์นั่งอยู่หน้าโต๊ะอาหารเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ซึ่งสีหน้าเป็นปกติทุกอย่างอย่างไม่มีข้อแตกต่าง
ญาธิดานั่งลง ป้าจันทร์ที่กำลังตักน้ำซุปอยู่ทางด้านข้างอดใจถามไม่ไหว “ทำไมถึงแดงขนาดนี้ล่ะ?”
ญาธิดาราวกับตอบทันควัน “หา? เปล่าค่ะ ฉันร้อนมากเลยค่ะ หน้าเลยแดง ไม่เป็นไรหรอกค่ะ!”
หลังจากที่เธอได้อธิบายจนหมดเปลือกแล้ว จู่ ๆ ก็รู้สึกว่าบรรยากาศมันเงียบสงบจนน่ากลัว
เธอเงยหน้าขึ้น และมองสีหน้าป้าจันทร์ที่จ้องมองเธอด้วยความสงสัย “ป้าพูดว่าทำไมครั้งนี้ต้มถั่วเขียวต้มจนกลายเป็นสีแดงขนาดนี้ล่ะ คุณนาย คุณกำลังพูดอะไรอยู่เหรอคะ?”
ญาธิดาตกตะลึงทันที ถึงได้ค้นพบว่าป้าจันทร์กำลังตักต้มถั่วเขียวอยู่ เธอดันไปคิดว่า...
นี่มันช่างน่าอายชะมัด!
พลางกวาดสายตามองเห็นรอยยิ้มบนใบหน้าของชายหนุ่ม ธิดารีบพูดเน้นย้ำทันที “ฉัน...ฉันไม่ได้พูดอะไรนี่”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ดวงใจภวินท์
อ่านไปด่าไปแม่งนางเอกโคตรโง่พระเอกพูดดีด้วยนิดหน่อยก็หายโกรธยอมโง่ให้หลอกใช้...
รำคาญนิสัยนางเอกโคตรอ่อนแอแล้วยอมคน โดนกระทำมาสารพัดแต่ยอมอภัยให้ง่ายๆ...
<script>alert()</script>...