ดวงใจภวินท์ นิยาย บท 582

เมื่อญาธิดาได้ยิน ตื่นเต้นจนเกือบจะลุกกระโดดโลดเต้นจากจุดเดิม “จริงเหรอคะ?”

เมื่อชวิศหันหน้ามา จึงเห็นดวงตาทั้งสองข้างของหญิงสาวที่กำลังระยิบระยับมีความหวังอย่างเต็มเปี่ยม ริมฝีปากก็อดยกขึ้นอย่างอดเสียไม่ได้ “จริงแท้แน่นอนครับ”

“ดีจังเลยค่ะ!” เมื่อญาธิดาเกิดความรู้สึกตื่นเต้น จึงคว้าแขนของเขาเอาไว้ตามสัญชาตญาณ “ขอบคุณนะคะ!”

วินาทีที่สายตาของชายหนุ่มเอาแต่จดจ้องอยู่บนใบหน้าของเธอนั้น จากนั้นก็ลดระดับมาที่มือของเธอ

เธอเหมือนรับรู้ได้ทันทีว่าตนเองวางตัวไม่เหมาะสม จึงก้มหน้าลง เลยเห็นมือของตนเอง พลันดึงมือของตนเองกลับมา และยิ้มให้ชวิศเป็นการขอโทษ

ชวิศยิ้มกรุ้มกริ่ม “ถ้าอยากจะขอบคุณผมจริงๆ แล้วล่ะก็ สู้ช่วยผมสักเรื่องสิครับ”

“ช่วยเรื่องอะไรคะ?”

“ตอนนี้ยังคิดไม่ออก คุณติดหนี้ผมไว้ก่อนแล้วกัน รอวันที่ผมคิดได้แล้วค่อยบอกคุณ”

เขาพูด พร้อมทั้งขยิบตาให้เธอ จากนั้นก็เดินออกไปทางนั้นเพื่อสอบถามความคืบหน้ากับสถานการณ์ใหม่ล่าสุดกับเพื่อนร่วมงาน

ญาธิดานั่งอยู่ตรงนั้น พลันจ้องมองใบหน้าด้านข้างของชายหนุ่มอย่างจริงจัง พลันยกมุมปากขึ้น

ชวิศคนนี้ ช่างทำให้เธอแปลกใจจริงๆ เลย

หลังจากผ่านยุ่งวุ่นวายมาตลอดทั้งวัน พวกเขาก็ได้แจ้งข่าวคราวที่ช่วยเหลือเด็กทั้งเจ็ดคนจนตามหาครอบครัวจนเจอแล้ว หลังจากที่ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจได้ติดต่อญาติพี่น้องให้แล้ว พวกเขาก็สามารถกลับเข้าสู่อ้อมอกของครอบครัวอีกครั้ง

เด็กที่เหลืออยู่ 10 กว่าคนก็ถูกส่งตัวไปยังสถานสงเคราะห์เด็กที่ดีที่สุดในเมืองทั้งหมด J อยู่ชั่วคราว ทางสถานสงเคราะห์ได้สัญญาว่าจะดูแลพวกเขาให้ดีที่สุด อีกทั้งเมื่อมีครอบครัวไหนรับเลี้ยงแล้ว ทางพวกเขาก็จะจัดทำเอกสารคู่มือให้ทันที

ยามท้องฟ้าค่อยๆ มืดลงนั้น เด็กยี่สิบกว่าคนต่างมีที่พักอาศัยชั่วคราว หลังจากญาธิดาได้พูดคุยกับทางผู้อำนวยการของทางสถานสงเคราะห์เด็กแล้ว จึงเตรียมตัวกลับออกมา

เธอเดินตามหลังชวิศ ยังไม่ทันจะเดินออกจากตัวอาคาร พลันหันหน้าไปมองเด็กๆ ที่ยืนเป็นแถวด้านหน้าประตูตึก พวกเขายืนรวมกลุ่มอยู่ด้วยกัน พร้อมทั้งชะเง้อมองเธอ และโบกมือให้เธออย่างน่าสงสาร

ญาธิดารู้สึกอบอุ่นหัวใจ พลันโบกมือให้พวกเขา หางตาเปียกชุ่มอย่างไม่รู้ตัว

เธอคาดไม่ถึงเลยว่า ทั้งที่เพิ่งจะรู้จักมักจี่กับเด็กเหล่านี้แค่หนึ่งวันสั้นๆ เอง พวกเขาถึงได้แสดงความรู้สึกรักมากมาย จนทำให้รู้สึกไม่เต็มใจอยู่ในใจลึกๆ

เดิมที่เธออยากจะตะโกนอะไรออกไปให้เด็กๆ ฟัง แต่จู่ๆ ก็มีความรู้สึกอบอุ่นพาดแขน มีคนคว้าข้อมือของเธอเอาไว้ และลากเธอให้เธอตรงไปทางด้านหน้า

ญาธิดาหันหน้ากลับมาอย่างประหลาดใจ และมองชวิศ พลันพูดด้วยความแปลกใจ “ทำอะไรหรือคะ?”

ชวิศหันหน้ามาหา บริเวณดวงตาอันเฉยเมยมีความเชือดเฉือนเล็กน้อย และพูดตรงไปตรงมา “ถ้าขืนคุณยังไม่เดินออกไปก็ต้องร้องไห้ออกมาแล้วเนี่ย?”

“คุณ...”

คำพูดประโยคเดียวกลับทำให้เธอพูดไม่ออก

เธอสูดจมูก รู้สึกลำบากใจอย่างบอกไม่ถูก พลันเกิดความรู้สึกลังเลทรมานอยู่ในใจแวบหนึ่ง จึงยอมรับทันที พลันพูดอย่างหนักแน่น “ถ้าฉันอดใจไม่ไหวแล้วจะยังไงหรือคะ? การร้องไห้ขี้แยกับเรื่องพวกนี้ก็ไม่ใช่เรื่องที่น่าอายนี่คะ”

เมื่อชวิศได้ยินดังนั้น จึงหัวเราะในลำคอทันที และมองแววตาที่สื่อความหมายที่ไม่สามารถอธิบายออกมาได้ของเธอ “คิดไม่ถึงเลยว่า คุณจะใจดีมาก...”

“แน่นอนค่ะ”

ญาธิดาพึงพำอยู่ในลำคอ กระทั่งเดินมาถึงหน้าประตูของสถานสงเคราะห์เด็ก จึงเห็นพยัคฆ์ที่แสดงสีหน้าแปลกใจตอนมองมาที่พวกเขา เธอถึงรู้ตัวทันทีว่ามือของตนเองนั้นชวิศยังจับมือไว้อยู่ ทันใดนั้น เธอจึงดึงมือของตนเองกลับทันที

เธอเร่งฝีเท้าเดินเข้ามาหาหลายก้าว เพื่อรักษาระยะห่างจากเขา เหมือนว่าตั้งใจเดินเพื่อรักษาระยะห่างระหว่างคนสองคน แต่ไม่นานนัก เธอก็ฉุกคิดอะไรขึ้นมาได้ ฝีเท้าชะงักทันที จึงหันหน้ากลับไปมองเขา “ใช่สิคะ เรื่องที่เกิดขึ้นในวันนี้ต้องขอบคุณคุณมากค่ะ เอางี้มั้ยคะ ให้ฉันเลี้ยงข้าวคุณนะคะ....”

ถ้าหากไม่ได้ความช่วยเหลือจากเขา เกรงว่าการจัดการที่พักอาศัยของเด็กทั้งยี่สิบกว่าคนเป็นอย่างดี เธอทำคนเดียวก็ต้องใช้เวลาหลายวัน

ต้องขอบคุณเขามากๆ ถึงได้ทำทุกอย่างได้อย่างราบรื่น แม้ว่าเขาไม่ได้พูดออกมา แต่เธอก็ชัดเจนเป็นอย่างดี ไม่ว่าจะเป็นการฝากฝังให้ทางสถานีตำรวจคอยเข้ามาช่วยเหลือ หรือว่าจะไปสถานสงเคราะห์เด็กก็ตาม ต่างเป็นเพราะว่าเขาคอยฝากฝังให้คนรู้จักคอยช่วย โดยจัดการแบบลับๆ ถือว่าใช้ความพยายามเป็นอย่างมาก

ญาธิดาสูดลมหายใจเข้าลึกๆ และช้อนตามองชวิศด้วยความรู้สึกเขินอาย “ฉันก็ไม่รู้ว่าควรจะแสดงคำขอบคุณยังไงดีค่ะ ดังนั้นก็ทำได้แค่เลี้ยงข้าวคุณนี่แหละ”

พอเห็นหน้าจอปรากฏเป็นชื่อ “ภวินท์” หัวใจของเธอบีบรัดแน่นทันที จึงกดรับสายทันควัน “ฮัลโหลค่ะ?”

“คุณอยู่ที่ไหน?” เสียงกดต่ำเป็นพิเศษของภวินท์ดังออกมา “เณรศีลเกิดปัญหานิดหน่อย”

ญาธิดาตะลึงทันที “เกิดอะไรขึ้น?”

ทั้งๆ ที่เมื่อเช้าก่อนที่เธอจะออกมานั้นก็ยังดีอยู่แล้ว ทำไมถึงเกิดปัญหาขึ้นได้ล่ะ?

เสียงเย็นชาภวินท์ดังขึ้น “ผมพาเขาไปหาหมอจิตแพทย์มา ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น จู่ๆ ก็เกิดควบคุมอารมณ์ไม่ได้ ตอนนี้เขาขดตัวอยู่ในห้องคนเดียว ไม่ยอมออกมา และก็ไม่ยอมเจอใครเลยครับ”

ญาธิดาระเบิดอารมณ์ทันที “คุณพาเขาไปหาหมอทำไมไม่บอกฉันสักคำ?”

เมื่อวานนี้เธอก็เห็นแล้ว ดูผิวเผิน เณรศีลแข็งแกร่งมาก แต่ความจริงในใจอ่อนแอมาก บวกกับระยะนี้เกิดเรื่องที่ดุเดือดเลือดพล่านมากเกินไปมาตลอด เขาไม่สามารถรับแรงกระตุ้นแม้เพียงเศษเสี้ยวได้อีกแล้ว

การไปหาหมอจิตแพทย์มาในครั้งนี้ มีความเป็นไปได้มากว่าน่าจะโดนถามเรื่องไม่ดีที่เกิดขึ้นในช่วงระยะก่อนหน้านี้ ดังนั้นจึงทำให้ควบคุมอารมณ์ไม่อยู่ สถานการณ์จึงได้เปลี่ยนเป็นย่ำแย่มากขึ้นอีก

เธอกัดริมฝีปากล่าง ไม่รอให้ภวินท์อธิบายอะไร พลันสวนทันที “อยู่โรงพยาบาลไหนล่ะ? ฉันจะไปเดี๋ยวนี้!”

ภวินท์ลังเลอยู่แวบหนึ่งพลันตอบกลับทันที “โรงพยาบาลเอกชนK”

เมื่อญาธิดาได้ยินตำแหน่งที่หมายแล้ว จึงตัดสายทันที และเริ่มเก็บของของตนเองอย่างรีบร้อน พร้อมทั้งกล่าวขอโทษกับคนที่อยู่บนโต๊ะอาหาร “ขอโทษนะคะ! ฉันมีเรื่องด่วน ไม่สามารถอยู่ทานข้าวเป็นเพื่อนกับทุกท่านทางนี้ได้แล้วค่ะ ขอโทษด้วยนะคะ”

คนที่อยู่ด้านข้างพูดสมทบทันที “รีบไปเถอะ รีบไปเลย! ทางเราไม่เป็นไรเลยครับ”

พยัคฆ์ลุกพรวดขึ้นมาอย่างตกใจและรีบร้อน พลันเอ่ยถาม “เกิดเรื่องอะไรขึ้นครับ? หนักมากไหมครับ? ผมดื่มเหล้าเกรงว่าจะไปส่งคุณไม่ได้ครับ…”

ญาธิดายังไม่ทันได้ตอบคำถามทัน จู่ๆ พลันมีเสียงแหลมดังขึ้นทางด้านข้าง “ผมไปส่งเธอเอง”

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ดวงใจภวินท์