รูปร่างสูงใหญ่ของภวินท์ค่อยๆ เข้ามาในรูม่านตาของเธอ เธอตกใจในตอนแรก จากนั้นก็ได้สติคืนมา และเดินมาที่ด้านข้างของภวินท์ ด้วยรอยยิ้มบนใบหน้า
ไม่รู้เพราะอะไร เวลานี้เธอจะรู้สึกเหมือนจะถูกภวินท์จับพิรุธได้แล้ว
ภวินท์โอบเธอไว้ในอ้อมกอดด้วยท่าทางที่เป็นธรรมชาติ สายตาที่ลึกล้ำค่อยๆ ตกกระทบมาที่รอยยิ้มบนใบหน้าของนิธิศ “ขอบคุณคุณนิดที่ช่วยผมดูแลภรรยา”
“คุณภวินท์เกรงใจแล้ว ผมกับธิดาเป็นแค่เพียงเพื่อนทั่วไปเท่านั้น หวังว่าคุณจะไม่คิดมาก และก็อย่าเข้าใจผิดธิดา”
น้ำเสียงของนิธิศยังคงอ่อนโยน
ญาธิดาได้ยินดังนั้นคิ้วก็ขมวดแน่น ในใจแอบคิดว่าคำพูดของคุณนิดนี้ฟังดูแล้วแปลกๆ แถมยังทะแม่งๆ อีก
ระหว่างพวกเขาทั้งคู่เดิมทีไม่มีอะไรกันอยู่แล้ว ถูกเขาพูดเช่นนี้ก็ยิ่งเหมือนเป็นการปิดหูขโมยกระดิ่ง ยิ่งอธิบายมากเท่าไรก็ยิ่งเป็นการปกปิดก็ไม่ปาน
เสียงที่ไม่แยแสของภวินท์ดังขึ้นระหว่างพวกเขาอีกครั้ง “คุณนิดวางใจได้เลย ผมกับธิดาไม่จำเป็นต้องอธิบายกัน ผมเชื่อใจเธอ”
รูม่านตาของนิธิศแข็งตัวฉับพลัน แต่ไม่รอให้คนอื่นได้เห็นชัดเจนก็กลับสู่ปกติแล้ว
เขาได้ยินภวินท์กล่าวเช่นนี้ สีหน้าก็ผ่อนคลายลงมากอย่างเห็นได้ชัด รอยยิ้มบนใบหน้าก็ไม่เหมือนกับรอยยิ้มที่จอมปลอม “ได้ยินคุณภวินท์กล่าวเช่นนี้ผมก็สบายใจแล้ว ก่อนหน้านี้ยังกังวลว่าจะทำให้ธิดาเดือดร้อนหรือเปล่า”
ในขณะที่เขาพูดก็ได้หันไปมองญาธิดา แล้วน้ำเสียงก็มีการขอโทษเล็กน้อย “ธิดา ในเมื่อคุณภวินท์ก็เข้าร่วมงานเลี้ยงครั้งนี้ด้วย คุณควรจะบอกผมก่อนถึงจะถูก ไม่จำเป็นต้องเห็นแก่เพื่อนช่วยเพื่อนเพื่อแก้ปัญหาหรอก”
คำพูดของเขาเช่นนี้ราวกับญาธิดาจงใจปิดบังภวินท์เพื่อเขา
รู้สึกว่าแรงที่โอบอยู่รอบเอวได้เพิ่มขึ้น เธอกระแอมเส้นเสียงในลำคอ แล้วจับปลายนิ้วของภวินท์ จากนั้นยิ้มขอโทษให้กับเขาเล็กน้อย
“วิน ฉันมีเรื่องอยากคุยกับคุณ พวกเราไปคุยกันด้านนอกนะ”
ภวินท์ตอบกลับอย่างเย็นชา แทบจะเป็นการโอบเอวของเธอแล้วหันหลัง ถึงแม้ว่าเธอจะรู้สึกอึดอัดเล็กน้อย แต่ยังคงไม่มีการต่อต้านแต่อย่างใด
“ธิดา……” นิธิศเห็นดังนนั้นก็รีบเดินมาด้านหน้าดึงแขนของเธอไว้
คู่ดวงตาของญาธิดาขรึมขึ้นทันที สายตาผุดความเย็นชา เขาเก็บสายตาแบบนี้ไว้ในรูม่านตา ในใจเกิดความโกรธขึ้นอย่างไม่มีเหตุผล
ระงับข่มอารมณ์เอาไว้ แล้วเขาก็กล่าวอธิบาย “หวังว่าคุณจะช่วยผมอธิบายให้คุณภวินท์เข้าใจนะครับ ผมไม่อยากให้พวกคุณสองคนเกิดความบาดหมางเพราะผม”
“ไม่หรอก คุณนิดวางใจได้” ญาธิดาพลางพูดพลางแกะมือของเขาออก
ทั้งคู่เดินตามพรมแดงจนไปถึงโถงดอกไม้ ภวินท์รีบดึงมือที่จับเธอไว้กลับ วินาทีต่อมา ญาธิดายื่นมือที่เย็นเยียบเข้าไปในฝ่ามือของเขา
เธอสังเกตเขาอย่างระมัดระวัง แล้วกล่าวถามเบาๆ “คุณปรากฏตัวที่นี่ได้อย่างไร”
“ประวีร์จะเข้าร่วมงานเลี้ยงนี้” เขากำปลายนิ้วของเธอแน่น แล้วตอบกลับอย่างเฉยเมย
ที่แท้ภวินท์ก็มาเพื่อเรื่องเอกสารศุลกากรเหมือนกัน เธอคิดว่าเขาจะไม่สนใจความล่าช้าของเอกสารเสียอีก
“ถ้ารู้ว่าคุณจะมาด้วย ฉันก็คงไม่ต้องลำบากขนาดนี้” น้ำเสียงของเธอแผ่วเบา ราวกับว่ากำลังพึมพำกับตัวเอง และก็เหมือนกับกำลังอธิบายให้กับภวินท์
“ในเมื่อคุณก็รู้ว่าลำบากมาก ก็รีบกลับไปพักผ่อนเถอะ รถของพายุอยู่ด้านนอก”
น้ำเสียงของเขาไร้ความรู้สึกใดๆ ไม่รู้ว่าได้คลายมือออกจากญาธิดาตั้งแต่เมื่อไร หันหลังเดินกลับไปที่ห้องจัดเลี้ยงอย่างเฉยเมย
ภวินท์เดินลงจากรถแล้วตรงเข้าไปในบ้าน เมื่อญาธิดาตามมาถึงที่ห้องโถงก็ไม่เห็นร่างของเขาแล้ว มีเพียงสีหน้าที่ประหลาดใจของอีธานกับเอลล่าเท่านั้น
เรื่องที่เธอไปงานเลี้ยงคู่กับนิธิศ ลูกๆ สองคนก็รู้เรื่องด้วย เห็นพวกเขาที่เดินกันคนหนึ่งอยู่หน้าอีกคนหนึ่งอยู่หลังเข้ามาในบ้าน อีธานก็เข้าใจแล้วว่าทุกอย่างได้ถูกเปิดเผย
เขาแอบขยิบตาให้กับเอลล่า เอลล่าก็รีบวิ่งมาที่ด้านข้างของญาธิดา แล้วร้องไห้งอแงขึ้น “คุณแม่คะ วันนี้พี่โกหกหนูว่าในห้องน้ำมียายแก่ หนูกลัวค่ะ……”
อีธานได้ยินดังนั้นก็อดไม่ได้ที่จะแอบเบิกตาโตจ้องน้องสาว และอยากจะว่าน้องสาวคนนี้สักหน่อยว่าโง่ แต่ก็ใจกว้างพอรู้ว่าน้องสาวนั้นกำลังปลอบโยนคุณแม่อยู่ พูดอะไรก็ต้องอดทนไว้
ดวงตาของญาธิดามองไปบนตัวของเอลล่า
เห็นลูกน้อยท่าทางน้อยใจ สีหน้าจึงผุดรอยยิ้มออกมาในที่สุด ย่อตัวลงแล้วบี้ที่จมูดของเธอ จากนั้นกล่าวติขึ้น “ตั้งแต่เมื่อไรกันที่หนูก็เชื่อสิ่งเหล่านี้ด้วย
เอลล่าเดินมาด้านหน้าแล้วเกาะขาของเธอไว้ และก็ทำท่าออดอ้อน “หนูไม่สน หนูกลัว หนูอยากให้คุณแม่ช่วยอาบน้ำให้”
“เอลล่า……” เธอรู้สึกเหนื่อย แต่เมื่อเผชิญหน้ากับเอลล่า กลับไม่สามารถที่จะปฏิเสธได้ ใบหน้าก็อดไม่ได้ที่จะมีความลำบากใจเล็กน้อย
สักพัก ใบหน้าของเธอในที่สุดก็เผยรอยยิ้มออกมา พกความจำใจแล้วมองอีธานครู่หนึ่ง อีธานแสดงท่าทางที่ระแวงของการทำผิดออกมา “เสียงแผ่วเบาเปล่งขึ้น “แม่คะ ครั้งนี้ตามใจน้องเถอะนะครับ ผมผิดไปแล้ว”
เธอได้ยินดังนั้นก็กอดเอลล่าไว้ในอ้อมแขนแล้วก้าวขึ้นตึกไป เมื่อเธอเดินมาถึงที่หน้าบันไดนั้นก็หันไปมองที่ปลายสุดระเบียงของห้องหนังสือ นัยน์มีร่องรอยของความหดหู่
เธอไม่รู้เลยว่ามีปัญหาอะไรกับภวินท์ แต่ว่าสองคนนี้ราวกับมีช่องว่างระหว่างกลาง ใครก็ไม่ยอมที่จะทำลายช่องว่างนี้ทิ้ง
ได้ยินเสียงปิดประตูชั้นบน นัยน์ตาของอีธานประกายแสงแห่งความเจ้าเล่ห์ รีบไปที่ห้องครัวอุ่นนมร้อนๆ หนึ่งแก้ว จากนั้นก็ยกไปที่ห้องหนังสือ
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ดวงใจภวินท์
อ่านไปด่าไปแม่งนางเอกโคตรโง่พระเอกพูดดีด้วยนิดหน่อยก็หายโกรธยอมโง่ให้หลอกใช้...
รำคาญนิสัยนางเอกโคตรอ่อนแอแล้วยอมคน โดนกระทำมาสารพัดแต่ยอมอภัยให้ง่ายๆ...
<script>alert()</script>...