“คุณกลับมาแล้วเหรอ?” เธอขยี้ตาอย่างเอื่อย ๆ พลางลุกขึ้น พร้อมกับเอ่ยถามเขาด้วยความเป็นห่วงโดยไม่รู้ตัว “ทานข้าวเย็นหรือยัง?”
เขาพยักหน้า “ทำไมคุณถึงมานอนอยู่ตรงนี้?”
ญาธิดาหยิบสมุดโน้ตที่หล่นอยู่บนพื้นขึ้นอย่างเก้อเขิน “ทีแรกคิดว่าจะทบทวนบทเรียนที่เคยเรียนรู้มาก่อนหน้านี้สักหน่อย แต่ใครจะรู้ว่าเพิ่งจะเปิดได้หน้าสองหน้าเปลือกตาก็เริ่มทนไม่ไหวแล้ว”
เขาหยิบหนังสือออกจากมือเธอไปวางลงบนโต๊ะ “พลั่ก” ขอบหนังสือเฉียดไปโดนรูปปั้นที่เพิ่งจะติดกาวใหม่จนคลอนไปคลอนมา
“เฮ้ย!”
เธอร้องอุทานก่อนจะพุ่งตัวออกไปประคองรูปปั้นที่กำลังจะตกลงพื้นได้พอดี ก่อนจะถอนหายใจด้วยความโล่งอก “ไม่ง่ายเลยนะกว่าจะติดมันเข้ากันได้น่ะ!”
เธอพูดด้วยน้ำเสียงตำหนิพลางยื่นมันไปไว้ตรงหน้าของภวินท์
เขาเลิกคิ้วมองไปที่ “ครอบครัวสี่คน” ที่กำลังกอดกันกลมเกลียวที่อยู่ในมือของเธอ
อารมณ์หม่นหมองพลันสว่างสดใสขึ้นทันตา เขาเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงปนเสียงหัวเราะเยาะ “นี่คุณทำเองเหรอ?”
ตอนที่เธอปั้นรูปปั้นเธอยังโกรธภวินท์อยู่แท้ ๆ คิดไม่ถึงว่าจู่ ๆ ภวินท์จะเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งในรูปปั้นในมือของเธอด้วย
ทุกครั้งที่เห็นมัน เธอก็ได้แต่แอบด่าตัวเองว่าไม่ได้เรื่องอยู่ตลอดเวลา
ญาธิดานึกบางอย่างได้และรีบอธิบายให้เขาฟังว่า “นี่เป็นหนึ่งในของขวัญวันเกิดของอีธานกับเอลล่า พวกเราสามคนช่วยกันทำมันขึ้นมา”
แบบนี้ก็ไม่นับพูดโกหกเสียทีเดียว...
ภวินท์เปล่งเสียงขึ้นจมูก และไม่เชื่อในคำพูดของเธอ แต่เขาก็เอื้อมมือไปหยิบรูปปั้นไปวางไว้บนโต๊ะทำงานบนตำแหน่งที่มองเห็นได้ชัดเจนที่สุด
“ของขวัญวันเกิดไม่เลว ผมชอบมันมาก” เขากระตุกมุมปากยิ้มเล็กน้อย พลางพูดพร้อมกับรอยยิ้มกรุ้มกริ่ม
ญาธิดาใบหน้าร้อนผ่าวราวกับเด็กที่ถูกจับโกหกได้ ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองเขาอย่างดื้อรั้น “ใครสนว่าคุณจะชอบไม่ชอบ นั่นมันของของอีธานกับเอลล่า”
ภวินท์ไม่ได้ปฏิเสธคำพูดของเธอ พลางมองรูปปั้นนั้นอย่างพิจารณาอีกครั้งแล้วพูดช้า ๆ ว่า “ความสามารถในการลงมือทำของพวกเขานับว่าไม่ได้แย่”
ความหมายคือสิ่งที่เธอทำมันน่าเกลียด?!
ญาธิดาเบิกตากว้าง ขณะที่กำลังจะตอบโต้เขา จู่ ๆ รอบเอวของเธอก็ถูกโอบรัดด้วยอ้อมแขนอันแข็งแกร่ง ถ้อยคำโกรธเคืองติดอยู่ในลำคอ ร่างกายของหญิงสาวโถมเข้าไปแนบชิดแผงอกอันร้อนแรงแข็งแกร่งของภวินท์
กลิ่นหอมอ่อน ๆ แทรกซึมเข้าไปในจมูกของเขา เขาสามารถสัมผัสได้ว่าหญิงสาวที่อยู่ในอ้อมแขนของเขาตัวแข็งทื่อ ยังไม่ทันที่เขาจะรู้สึกตัวแขนของเขากลับตอบสนองอย่างตรงไปตรงมาด้วยการกอดเธอเอาไว้แน่น
สัมผัสนุ่มละมุนกลิ่นหอมอบอวลอยู่ในอ้อมแขนจู่โจมเข้าไปในใจของเขา เส้นประสาทที่ตึงเครียดมาหลายวันค่อย ๆ คลายลง เขาค่อย ๆ โน้มตัวซุกใบหน้าเข้าไปในซอกคอของเธอ สูดดมกลิ่นหอมของเจลอาบน้ำจากร่างกายของเธออย่างโหยหา
ญาธิดาสมองว่างเปล่า นานกว่าจะได้สติและเหมือนจะนึกอะไรบางอย่างขึ้นได้ ครั้งก่อนที่ทั้งสองคนปรากฏตัวในห้องหนังสือพร้อมกันพวกเขายังทำสงครามเย็นกันอยู่
ดูเหมือนว่าช่วงนี้จะมีเรื่องที่อยู่เหนือการควบคุมเกิดขึ้นมากมายจนทำให้รู้สึกเหนื่อยล้า ภวินท์ก็ไม่ใช่หุ่นยนต์ที่ทำอะไรได้โดยไม่มีขีดจำกัด เขาเองก็คงรู้สึกเหนื่อยเหมือนกัน
เมื่อนึกถึงเรื่องนี้ แขนเรียวยาวของเธอก็ค่อย ๆ ลูบสัมผัสบนแผ่นหลังของเขาและถามด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนว่า “เจอปัญหายาก ๆ อะไรมาหรือเปล่า?”
“มันก็ค่อนข้างยากจริง ๆ นั่นแหละ” เขาตอบด้วยน้ำเสียงอู้อี้ “มีบางเรื่องที่ฉันไม่รู้จะจัดการกับมันยังไงดี”
คำพูดที่ญาธิดาเคยพูดไว้ล้วนเป็นคำพูดที่บีบคั้นหัวใจและวนเวียนอยู่ในหัวของเขามาตลอดหลายวัน ไม่ว่าเขาจะทำงานหนักมากแค่ไหนมันก็ไม่สามารถยับยั้งความรู้สึกสิ้นหวังในใจเขาได้เลย
บรรยากาศของบ้านพักตระกูลสถิรานนท์ในคืนนี้กลับมาเงียบสงบอีกครั้งแล้ว แต่อีกทางหนึ่งบ้านหรูระดับไฮเอนด์กลับเย็นยะเยือกจนหนาวเหน็บ เสียงดัง “เคร้ง” คอมพิวเตอร์โน๊ตบุ๊คบนโต๊ะลอยออกไปร่วงลงพื้นจนหน้าจอแตกละเอียด
ไม่ใช่กุมารแพทย์? แต่กลายเป็นนักจิตวิทยาที่เพิ่งกลับจากเรียนต่างประเทศไปได้ยังไง!
มิน่าผู้หญิงคนนั้นถึงได้มองได้ทะลุปรุโปร่งขนาดนี้ ที่แท้เธอก็จับสังเกตเจตนาที่แท้จริงของเขาตั้งแต่พบหน้ากันครั้งแรกแล้ว ผู้หญิงแบบนี้อยู่ไปก็มีแต่จะขวางทางเขาเปล่า ๆ!
มือของนิธิศสั่นรัวราวกับว่าเขาไม่สามารถระงับความโกรธที่กำลังลุกโชนอยู่ในหัวของเขาได้ น้ำเสียงระแวดระวังของหล้าดังผ่านโทรศัพท์อีกครั้ง
“ตอนนี้พวกเราไม่สามารถแตะต้องคุณอลิสาได้ครับ เพราะเธอมีบ้านแคมป์เบลคอยหนุนหลัง แถมยังมีส่วนเกี่ยวข้องกับบริษัทหนึ่งที่ค่อนข้างลับลมคมใน ตอนนี้ไม่สามารถยืนยันข้อมูลที่แท้จริงของเธอได้ครับ”
เสียงเคร้งดังขึ้นอีกครั้ง ครั้งนี้แม้แต่โทรศัพท์ในมือของเขาก็ถูกขว้างลอยออกไปด้วยเช่นกัน และตกลงใกล้ ๆ เท้าของต้นกล้าพอดี บรรยากาศภายในห้องนั่งเล่นตกอยู่ในความเงียบงันในทันที
ต้นกล้ากอดขาตัวเองแน่นซุกตัวอยู่ในมุมห้อง ดวงตาสดใสคู่นั้นเต็มไปด้วยความหวาดกลัวนิธิศเงยหน้าขึ้นสบสายตากับเขาก่อนที่ความโกรธในใจจะยิ่งรุนแรงขึ้นเรื่อย ๆ
เขายอมให้ต้นกล้าเป็นแค่เด็กพิการที่มีรูม่านตาไม่โฟกัส เพราะเพียงแค่เขาสามารถทำให้ธิดาอยู่ข้างกายเขาได้ เขาก็จะได้มีลูกที่แข็งแรง!
เขายิ่งมองต้นกล้ายิ่งรู้สึกขวางหูขวางตา รีบสาวเท้าก้าวเข้าไปฉุดแขนของเขาขึ้นก่อนจะกัดฟันถามว่า “ฉันเป็นพ่อแท้ ๆ ของแก ฉันดีกับแกไม่พอหรือไง ทำไมแกต้องไปหายัยบ้าอลิสานั่นด้วย!”
ร่างกายของต้นกล้าสั่นอย่างรุนแรง มือเล็กโบกไปมากลางอากาศน้ำตาไหลเต็มใบหน้าละอ่อนของเขา “พ่อครับ...กอด...”
นิธิศไม่รู้สึกสะทกสะท้านแถมยังเพิ่มแรงที่มือหนักยิ่งกว่าเดิม ดวงตาของเขาเต็มไปด้วยเส้นเลือดสีแดงก่ำ จดจ้องไปที่เด็กน้อยแล้วตะคอกใส่ว่า “แกต้องเรียกธิดาว่าแม่เข้าใจไหม? ฉันถามว่าเข้าใจไหม!”
เสียงร้องตะคอกเสียงดังสนั่นหูทำเอาเสียงร้องไห้ของเด็กน้อยหยุดลงอย่างกะทันหัน เขาตัวกระตุกสั่นราวกับถูกไฟช็อต ตาเหลือก ก่อนที่ของเหลวจะหยดไหลลงบนพื้นผ่านกางเกงของเขา
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ดวงใจภวินท์
อ่านไปด่าไปแม่งนางเอกโคตรโง่พระเอกพูดดีด้วยนิดหน่อยก็หายโกรธยอมโง่ให้หลอกใช้...
รำคาญนิสัยนางเอกโคตรอ่อนแอแล้วยอมคน โดนกระทำมาสารพัดแต่ยอมอภัยให้ง่ายๆ...
<script>alert()</script>...