ไม่กี่วันต่อมา อลิสานัดญาธิดามาเจอที่ห้องส่วนตัวที่ Rambler Clubhouse
ส่วนญาธิดากำลังถูกบีบบังคับให้ “เรียนรู้” ผูกเนกไทให้ภวินท์ นิ้วมือเรียวยาวเคลื่อนไปมาอยู่บนผ้าไหมรื่น เสียงไม่พอใจของเขาก็ดังอยู่ข้างหูของเธอไม่หยุด
“ปมมันใหญ่ไป...”
“รอยพับตรงกลางยับ ยังไม่เรียบ...”
“เนกไทเส้นนี้ยับแล้วเปลี่ยนเป็นสีกรมเส้นนั้นแล้วกัน...”
อลิสาที่อยู่ในสายโทรศัพท์ระเบิดอารมณ์ใส่ทันที “ญาธิดาเธอฟังที่ฉันพูดอยู่ไหมเนี่ย!”
เมื่อเธอได้ยินเสียงก็รีบขานรับและจัดการเรื่องของอลิสาเรียบร้อย จากนั้นก็หยิบเนกไทออกมาจากตู้อีกเส้นและผูกไว้รอบคอของเขาอย่างระแวดระวัง ยังไม่ทันจะได้ติดคลิปหนีบเนกไทก็ได้ยินเสียงดังขึ้นที่ข้างหูของเธออีกครั้ง
“อันนี้...”
“เงียบ!” เธอถลึงตาใส่ภวินท์อย่างเคือง ๆ แม้ว่าจะหงุดหงิดกับคำพูดของเขา แต่การแสดงสีหน้ากลับดูจริงจังและทำทุกขั้นตอนอย่างระวังและละเอียดลออ
แสงแดดสีทองยามเช้าส่องกระทบบนขนตางอนยาวของเธอ สะท้อนแสงอบอุ่นซึ่งมันทำให้เธอดูอ่อนโยนมาก
ภวินท์หรี่ตาลงมองเธอก่อนที่ลูกคอจะขยับขึ้นลงเล็กน้อยคล้ายกำลังพยายามระงับอะไรบางอย่างเอาไว้
ญาธิดานึกว่าเขากำลังจะแสดงความคิดเห็นที่ไม่ค่อยจะสร้างสรรค์อะไรออกมาอีกเลยรีบพูดขึ้นก่อนว่า “ฉันไม่ได้ผูกเนกไทครั้งแรกซะหน่อย คุณมันจู้จี้จุกจิก!”
“อืม” เมื่อได้ยินแบบนั้นแววตาเขาก็เปลี่ยนเป็นนึกสนุกก่อนจะพูดด้วยรอยยิ้มกรุ้มกริ่ม “ดูเหมือนว่าคุณจะฝึกกับคนอื่นมาหลายครั้งเลยสินะ”
“ใครบอกว่าฉัน...”
ยังไม่ทันที่เธอจะอธิบาย มืออ่อนนุ่มนิ่มของเธอก็ถูกรวบเข้าไปไว้ในฝ่ามือหนา ๆ ของเขาแล้ว ลมหายใจแรง ๆ เข้าห้อมล้อมเธอทันที เธอก้าวถอยหลังโดยไม่รู้ตัวจนแผนหลังชิดกับประตูตู้เสื้อผ้าเย็นเฉียบ
กลิ่นหอมเย็นโชยเข้าจมูกใบหน้าคมเข้มของภวินท์เคลื่อนเข้ามาใกล้ ริมฝีปากเย็นเฉียบเฉียดผ่านขมับไปหยุดที่ข้างหูของเธอ
ลมหายใจอุ่น ๆ แผ่ซ่านอยู่บริเวณใบหูของญาธิดา เธอหดคอลงเล็กน้อย ก่อนที่เสียงไร้อารมณ์ของเขาจะดังก้องเข้ามาในหู “คุณครูคนก่อนของเธอไม่ได้เรื่องเลยนะ นับตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไปเรียนรู้ใหม่ทั้งหมด”
ภวินท์จับจุดอ่อนไหวของเธอได้อย่างแม่นยำ แค่ลมหายใจแผ่วเบาก็ทำเอาเธอหายใจแทบไม่ออกแล้ว
เธอรีบยกมือเล็ก ๆ ขึ้นแตะหน้าอกของภวินท์ก่อนจะพูดเสียงอู้อี้ราวกับเสียงแมลง “ตอนที่อีธานถ่ายโฆษณาฉันช่วยจัดแจงเสื้อผ้าให้เขาบ่อย ๆ ดังนั้นจะผูกเนกไทได้ก็ไม่ใช่เรื่องแปลก”
“อาจารย์ฝีมือไม่ดีพอจริง ๆ ด้วย” เขาพูดพลางปล่อยญาธิดาก่อนจะจัดการผูกเนกไทให้เรียบร้อย “เพราะฉะนั้นต้องตั้งใจเรียนใหม่นะ”
ญาธิดานึกถึงเรื่องที่ต้องสู้รบกับเนกไททุกวันหลังจากนี้ถึงกับหน้าหงอยไปทันที
พระเจ้ารู้ดีว่าฝีมือและความสามารถของเธอมันห่วยแตกแค่ไหน
ไม่ใช่แค่เรื่องเกือบจะระเบิดห้องครัว แต่ยังมีประติมากรรมเครื่องปั้นดินเผาในห้องหนังสือที่เธอคิดว่าเหมือนจริงสุด ๆ หรือความสามารถในการวาดภาพ ความสามารถในการผูกโบของเธอ ล้วนแต่เป็นนักสู้ผู้ไร้ฝีมือทำอะไรไม่ได้เรื่องสักอย่างทั้งนั้น
การผูกเชือกรองเท้าดูเหมือนจะเป็นความสามารถและผลงานที่เธอถนัดที่สุดแล้ว
เมื่อสองสามปีก่อนตอนอยู่ที่อเมริกาก็เป็นเพราะสิบนิ้วของเธอนี่แหละ เธอถึงได้ถูกย้ายจากชั้นเรียนวาดภาพแอนิเมชั่นไปอยู่ชั้นเรียนผู้กำกับแอนิเมชั่นแทน
ญาธิดายิ่งคิดก็ยิ่งอายรีบวิ่งไล่ตามเขาลงไปชั้นล่างอยากจะพยายามเกลี้ยกล่อม “ขอชีวิต” จากภวินท์ แต่ทว่าเขาออกจากบ้านพักไปพร้อมกับอาหารเช้าแล้ว แม้แต่ชายเสื้อก็ไม่เห็นเลยแม้แต่เงา
เป็นแบบนี้ทุกครั้ง? สีหน้าของเธอเปลี่ยนไปเล็กน้อย
ดูเหมือนว่าต้นกล้าจะรู้สึกได้ถึงอารมณ์ที่เปล่าไปของเธอซึ่งมันทำให้เด็กน้อยในอ้อมแขนเริ่มไม่สบายใจ เอาแต่ส่งเสียงพูดพล่ามไม่หยุด พลางใช้มือเล็ก ๆ ปัดป่ายหาตำแหน่งของนิธิศ
“คุณพ่อครับ...กอด...”
น้ำเสียงไร้เดียงสาดังก้องอยู่ข้างหูของเธอ ทำให้หัวใจของเธออ่อนลงทันที และความคิดที่แน่วแน่เมื่อครู่นี้ก็เริ่มสั่นคลอนไปด้วย
เมื่อเห็นสองพ่อลูกมองหน้ากันเธอจึงส่งต้นกล้าไปไว้ในอ้อมแขนของนิธิศ แต่ก็ไม่ได้รับกุญแจรถที่เขายื่นมาให้ เพียงแต่พูดด้วยน้ำเสียงหนักแน่นว่า “วันนี้ฉันจะช่วยถามเกี่ยวกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้นวันนี้ให้ เอาเป็นว่าคุณพาต้นกล้าขับตามไปก็แล้วกันค่ะ”
รอยยิ้มปรากฏบนใบหน้าของเขาอีกครั้ง ก่อนจะปลอบโยนต้นกล้าให้สงบลงอย่างอดทน ก่อนจะลงไปที่ที่จอดรถใต้ดิน เมื่อขับรถออกมาข้างทางก็เห็นรถของญาธิดากำลังจอดรออยู่ตรงทางแยก
รถทั้งสองคันขับตามกันไปยัง Rambler Clubhouse ที่นี่ปิดทำการตอนกลางวันแต่ก็ยังมีพนักงานประจำเฝ้าอยู่ตลอด เมื่อเห็นนิธิศพนักงานก็เข้าไปขวางเขาไว้ด้านนอกประตูทันที
“คุณญาธิดาครับ ที่นี่บุคคลภายนอกไม่ได้รับอนุญาตให้เข้ามาในช่วงนอกเวลาทำการ นี่เป็นกฎของร้านเรา หวังว่าคุณจะไม่ทำให้พวกเราลำบากใจนะครับ”
ญาธิดาเหมือนจะคิดเรื่องนี้เอาไว้ตั้งแต่แรกอยู่แล้ว แล้วเธอก็ไม่คิดจะพูดแทนเขาด้วย
ยิ่งเธออยู่ใกล้ชิดกับนิธิศมากเท่าไหร่เธอก็ยิ่งรู้สึกถึงความรู้สึกถูกกดขี่บางอย่างเสมอ ซึ่งมันแตกต่างไปจากความรู้สึกถูกบีบบังคับที่ภวินท์มอบให้เธอโดยสิ้นเชิง
ถ้าไม่ใช่เพื่อรักษาต้นกล้าให้หายเป็นปกติ เธอคงไม่ยินยอมใกล้ชิดกับเขาแน่นอน และไม่มีทางเอาตัวเองเข้าไปอยู่ท่ามกลางบรรยากาศอึดอัดใจแบบนี้แน่นอน
นิธิศไม่โกรธและพูดปลอบโยนต้นกล้าด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนว่า “คุณแม่จะพาลูกไปเจอเพื่อนสนิทของแม่ พ่อไม่สะดวกจะเข้าไปด้วย ลูกอย่าสร้างปัญหาให้แม่เด็ดขาดเข้าใจไหม?”
ครั้งนี้ต้นกล้าตอบรับอย่างรวดเร็ว เขาพยักหน้าตอบรับไม่หยุด
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ดวงใจภวินท์
อ่านไปด่าไปแม่งนางเอกโคตรโง่พระเอกพูดดีด้วยนิดหน่อยก็หายโกรธยอมโง่ให้หลอกใช้...
รำคาญนิสัยนางเอกโคตรอ่อนแอแล้วยอมคน โดนกระทำมาสารพัดแต่ยอมอภัยให้ง่ายๆ...
<script>alert()</script>...