บทที่921 เสี่ยวหมี่โต้วผู้หยิ่งทะนง
เมื่อคำพูดนั้นหลุดออกมา เซียวซู่จึงสบโอกาสรีบก้มตัวลงวางเสี่ยวหมี่โต้วลงไปบนพื้นทันที เอ่ยเสียงอ่อนโยนออกไป “เสี่ยวหมี่โต้วเป็นเด็กดีนะ ไปหาแด๊ดดี้ของหนูสิ”
พูดจบเขาก็เหมือนกับว่าจะนึกอะไรขึ้นมาได้ เงยหน้ามองไปยังเย่โม่เซิน
“คุณชายเย่ คุณไม่เป็นอะไรแล้วใช่มั้ยครับ? เมื่อกี้นี้คุณเป็นสลบไป ตอนนี้ตื่นขึ้นมาแล้วมีอาการอื่นขึ้นมาบ้างมั้ยครับ? ให้...ผมเรียกคุณหมอมาดูอาการหน่อยมั้ยครับ?”
เย่โม่เซินเม้มริมฝีปากบางของตัวเองออกมาเล็กน้อย ตัวเขานั้นนอกจากว่าจะเจ็บแปลบขึ้นมาที่หัวในตอนที่ตื่นขึ้นมาเมื่อสักครู่นี้แล้ว ก็ไม่ได้มีอาการอะไรนอกเหนือจากนั้น เนื่องจากพอจะคาดเดาต้นสายปลายเหตุได้บ้าง ดังนั้นแล้วเย่โม่เซินจึงคิดว่าเขาก็คงจะถูกอะไรมากระตุ้นความทรงจำจนเกือบจะทะลวงไปถึงความทรงจำที่ปิดผลึกเอาไว้เหล่านั้น ก็เลยทำให้เกิดอาการอย่างนั้นขึ้นมา
ถ้าเพียงแค่เป็นอย่างนี้ งั้นเขามีปัญหาอะไรกัน?
เมื่อคิดอย่างนั้นแล้ว เย่โม่เซินเอ่ยเสียงเย็นออกมา “ไม่จำเป็น ตอนนี้คงกลับได้แล้วล่ะมั้ง”
พูดจบ เขาก้มลงมองเสี่ยวหมี่โต้วที่ไม่ยอมก้าวเข้ามา สายตาและน้ำเสียงอ่อนลงหลายส่วน
“เข้ามา แด๊ดดี้พาหนูกลับบ้าน”
เสี่ยวหมี่โต้ว “...”
เขามุ่ยปากออกมา ถึงแม้ว่าจะไม่อยากยอมรับ แต่เขาก็เหมือนกับถูกคำว่าแด๊ดดี้เมื่อสักครู่นี้ทำเอาไปไม่เป็นไปเลยทีเดียว รู้สึกว่าหัวใจดวงน้อยๆของเขาชาไปเล็กน้อย ต่อจากนั้นเขาก็เดินเข้าไปหาเย่โม่เซินด้วยท่าทางเหมือนกับคนปากไม่ตรงกับใจ
ในตอนที่มาถึงตรงหน้าเขานั้น เย่โม่เซินยกเขาขึ้นมา เสี่ยวหมี่โต้วร้องเฮอะออกมา เบนหน้าหันออกไปทางอื่น
“แด๊ดดี้นิสัยไม่ดี ผมไม่ได้อยากตามมาหรอกนะ ผมก็แค่อยากเจอหม่ามี๊เท่านั้นเอง”
เซียวซู่มองภาพเหตุการณ์นั้น ส่ายหน้าออกมาด้วยความเหนื่อยหน่ายใจ
ลูกชายของคุณชายเย่คนนี้ ทิฐิสูงเสียเหลือเกิน
“อืม”
เย่โม่เซินไม่ได้สนใจเลยว่าเสี่ยวหมี่โต้วจะพูดอะไรออกมา ถึงอย่างไรแค่เขายอมอยู่นิ่งๆในอ้อมแขนของเขาก็พอแล้ว ลูกของตัวเองวิ่งเข้าหาอ้อมกอดของคนอื่น ถึงแม้ว่าคนคนนั้นจะเป็นผู้ช่วยของตนก็ตาม นั่นก็ไม่ได้อยู่ดี
เมื่อคิดได้อย่างนั้นแล้ว เย่โม่เซินเหลือบมองไปทางเซียวซู่ออกไปอย่างไม่ตั้งใจ
ในตอนที่เซียวซู่เตรียมจะเดินตามเย่โม่เซินออกไปนั้น ทันใดนั้นเองก็รู้สึกได้ถึงสายตาที่มองมายังตัวเองมาอย่างเงียบๆ ร่างของเขาแข็งค้างไปทันที แต่เพียงไม่นานสายตาคู่นั้นก็ได้เบนออกไป
เนื่องจากเย่โม่เซินอุ้มเสี่ยวหมี่โต้วออกไปแล้ว
เซียวซู่จึงเดินตามหลังพวกเขาออกไปจากโรงพยาบาลไปพร้อมๆกัน
ถึงแม้ว่าจะกังวลเรื่องสุขภาพของคุณชายเย่อยู่บ้าง แต่ดูท่าทางของเขาแล้ว ก็คงจะไม่มีปัญหาอะไรเสียมากกว่า
อีกทั้งเรื่องจำพวกความกังวลเรื่องคุณชายเย่นั้น คงจะต้องรอตอนที่เจอคุณนายน้อยแล้วค่อยว่ากันอีกทีดีกว่า เมื่อเทียบกันดูแล้ว หานมู่จื่อต่างหากที่จะเป็นคนที่เป็นกังวลมากที่สุด
*
ภายในห้องรับแขกได้ตกอยู่ในความเงียบอย่างน่าแปลก ไม่มีใครเอ่ยพูดอะไรกันออกมาเลยสักคน
ยู่ฉือจินไม่ได้คาดเอาไว้เลยว่าความทรงจำของเย่โม่เซินจะถูกกระตุ้นขึ้นมาได้ มาตอนนี้ความคิดทั้งหมดภายในหัวก็เอาแต่คิดว่าถ้าเย่โม่เซินจำทุกอย่างขึ้นมาได้ หลังจากนั้นก็นึกเกลียดสิ่งที่คุณตาคนนี้ทำลงไปจะทำยังไง? ถึงตอนนั้นแล้วตัวเขาเองก็จะได้หลานชายกลับมาไม่ง่ายแน่ นั่นไม่ใช่ว่าจะต้องปล่อยเขาไปอย่างนี้เลยหรือไง?
อย่างนั้นแล้วสมบัติที่เขาทิ้งเอาไว้ ถึงตอนนั้นแล้วจะเอาให้ใคร?
ยู่ฉือจินมองไปทางส้งอานเล็กน้อย เธอนั่งอยู่ตรงนั้นด้วยสีหน้าเหนื่อยหน่าย แสดงท่าทางไม่ได้สนใจไยดีอะไรออกมา
“อานอาน อาเซินเป็นหลานชายของฉัน ฉันผู้เป็นตาของเขาจะไปเยี่ยมที่โรงพยาบาลสักหน่อยไม่ได้เลย? อีกอย่างแกดูสิว่าแกพูดอะไรออกมา อะไรกันที่มาหาว่าฉันไปทรมานเขา?”
“หรือว่าไม่ใช่?” ส้งอานเหล่ตามองเขา สายตาเต็มไปด้วยการเหน็บแนม “คุณช่วยเขาแล้วฉวยโอกาสที่เขาสูญเสียความทรงจำพาเขากลับไป เปลี่ยนชื่อแซ่ให้เขา ลบล้างทุกสิ่งทุกอย่างที่เคยเกิดขึ้น พูดให้ดีหน่อยก็คือคุณหวังดีกับเขา แต่ความจริงแล้วคุณมันเห็นแก่ตัว กลัวว่าหลังจากที่ตัวเองตายไปทรัพย์สมบัติทั้งหลายของตัวเองจะไร้ผู้สืบทอด ถ้าหากว่าคุณต้องการมอบทรัพย์สมบัติให้กับเขา ฉันผู้เป็นน้าสาวของเขาก็ไม่ได้ว่าอะไรหรอกนะ แต่ถ้าคุณหวังดีต่อเขาจริงๆ ก็ไม่ควรทำเรื่องแบบนี้ เรื่องมู่จื่อกับเขามันก็หลายปีมาแล้ว ตอนนี้เธอก็ยังตั้งท้องอยู่ เมื่อตอนยังสาวคุณก็ทำร้ายพี่สาวของฉัน มาตอนนี้ก็ยังคิดจะมาทำร้ายหลานชายของคุณอีก? หรืออยากให้คนหัวหงอกส่งคนหัวดำลงโลงอีกหรือไง คุณถึงจะสำนึกได้สักที?”
ในตอนที่ได้ยินคำพูดที่ว่าคนหัวหงอกส่งคนหัวดำลงโลงคำนั้น ยู่ฉือจินก็นิ่งไปสักพัก เหมือนราวกับว่ามีอะไรมาตีแสกหน้าเข้ามา
เขามองไปทางส้งอาน อารมณ์ก็เริ่มสั่นไหวขึ้นมา ดังนั้นแล้วริมฝีปากของเขาก็ได้สั่นเทาออกมาอย่างควบคุมเอาไว้ไม่อยู่
ส้งอานกลับไม่มีความรู้สึกใดๆประดับอยู่บนใบหน้าเลยแม้แต่น้อย จากนั้นก็เริ่มพูดทิ่มแทงเขาออกไปต่อ “ตรงหน้าคุณตอนนี้มีแค่สองทางเลือก ไม่ก็ยอมรับเรื่องทั้งหมดนี้ไปเสีย บางทีจากนี้ไปโม่เซินก็อาจจะยอมเรียกคุณว่าคุณตาสักครั้ง แล้วคุณก็จะยังสามารถมาเยี่ยมเยือนกินข้าวกันได้อย่างหน้าไม่อายเหมือนอย่างวันนี้ก็ได้ ไม่ก็คุณก็มีความคิดเห็นแก่ตัวของคุณต่อไป แต่คุณไม่มีทางสมดั่งหวังแน่ และ...สุดท้ายคุณก็จะไม่เหลืออะไร”
หยูโปที่อยู่ข้างๆก็ฟังจนเหงื่อแตกเต็มหน้า คุณหนูอานอานผู้นี้ไม่ได้เจอกันมานาน ปากคอเราะรายอย่างมาก อีกทั้งต่อหน้าผู้คนมากมายอย่างนี้ไม่ไว้หน้านายท่านสักนิดเลยจริงๆ
เสี่ยวเหยียนกลับรู้สึกตื่นตะลึงขึ้นมา เธอไม่เคยคิดมาก่อนว่าน้าสาวของเย่โม่เซินจะดุขนาดนี้ เนื่องจากเพียงแค่เธอนึกขึ้นมาว่ายู่ฉือจินเป็นนักธุรกิจหลายแสนล้านแล้วนั้น เธอก็ไม่กล้าเอ่ยพูดเสียงดังออกไปแล้ว แต่นึกไม่ถึงว่าส้งอานจะพูดแทงใจดำเขาคำแล้วคำเล่าอย่างนี้ออกมาได้
เธอคิดว่าตัวเธอควรจะออกไป ถึงอย่างไรนี่ก็เป็นเรื่องภายในครอบครัวของพวกเขา คนนอกอย่างเธอฟังไป มันไม่ค่อยจะดีนัก
แต่ในเวลานี้ก็ยังไม่กล้าบุ่มบ่ามออกไปอีก ทำได้เพียงนั่งอยู่เหมือนอย่างกับหุ่นกระบอกตัวนึงเท่านั้น
หานมู่จื่อเองก็รักษาความเงียบมาตลอดการสนทนาเช่นเดียวกัน
ถึงแม้ว่าเธอซาบซึ้งใจที่ยู่ฉือจินได้ช่วยชีวิตเย่โม่เซินเอาไว้ แต่มันก็ไม่อาจเอามาคิดรวมกันได้ คำพูดของส้งอานพูดออกมาได้อย่างไม่ผิดเลย
ถ้ายู่ฉือจินคิดอยากจะขัดขวางไม่ให้เธอคบกับเย่โม่เซินจริงๆ งั้นมันก็จะไม่มีทางสำเร็จลงได้อย่างแน่นอน
ในช่วงเวลาที่แสนจะตึงเครียดพร้อมที่จะระเบิดออกมาได้ทุกเมื่อนี้นั้น ทันใดนั้นเองทุกคนก็ได้ยินเสียงเปิดประตูดังขึ้นมา
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: เจ้าสาวมือสองของคุณชายเย่