“จะเจ้าคือ?” โจ๋วจือหยวนถามตะกุกตะกัก
“ให้เวลาสามนาที ค่อยๆคิด หลังจากสามนาทีจะส่งคุณไปที่ชอบๆ”
โจ๋วจือหยวนร่างสั่นสะท้าน หัวคิ้วขมวดเป็นปม ชั่วพริบตา ในใจสับสนวุ่นวาย
นั่นคือฝันร้ายของเขา ถ้าไม่มีใครเอ่ยถึง เขาก็อยากเก็บมันไว้ในส่วนลึกที่สุดของจิตใจตลอดไป
สิบห้าปีก่อน มีนักพรตแก่คนหนึ่งเดินทางมาที่ป้าโจวมาเพื่อท้าทายฝ่ามือวายุกันตร์ของตระกูลโจ๋วโดยเฉพาะ ทั้งยังท้าพนัน
ถ้าตระกูลโจ๋วพ่ายแพ้ จะต้องให้กังฟูฝ่ามือวายุกันตร์ ถ้านักพรตแก่นั่นแพ้ ก็จะต้องมอบหมัดไท่ชูโหลโหฉวนอันล้ำค่าให้กับตระกูลโจ๋ว
ตระกูลโจ๋วดูๆแล้วนักพรตนั่นดูดีมีราศี ก็เกิดความลังเลอยู่บ้าง
แต่นักพรตนั่นชี้ไปทางเด็กข้างกายที่อายุประมาณสิบขวบกล่าวอย่างยั่วยุ : “เพียงแค่ตระกูลโจ๋วของพวกเจ้ามีคนเอาชนะลูกศิษย์ข้าได้ก็เท่ากับพวกเจ้าชนะ”
เด็กนั่นคงนอนกลางดินกินกลางทรายมาเป็นเวลานาน ตัวดำผอม รูปร่างดูอ่อนแอ ไม่มีร่องรอยของฝึกฝนสักนิด
ทันทีที่กล่าววาจานี้ออกไป ผู้นำตระกูลโจ๋วในขณะนั้นก็โกรธจัดในทันที
นี่เป็นการดูถูกเหยียดหยามอย่างที่สุด ไม่อาจทานทนได้ สุดท้ายก็ตัดสินใจยอมรับการเดิมพันนั้น
แม้จะเป็นเด็กชายร่างเล็กผอมดำ ผู้นำตระกูลโจ๋วก็ไม่อาจดูเบาศัตรู เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับรากฐานความมั่นคงของทั้งวงศ์ตระกูล จะแพ้อย่างง่ายดายได้อย่างไร?
ดังนั้นพวกเขาจึงส่งโจ๋วจือหยวนที่ขณะนั้นเข้าสู่ช่วงปฐมภูมิไปแล้วก้าวหนึ่งเข้าต่อสู้
ผลการต่อสู้ทำให้ทุกคนเบิกตากว้างอย่างประหลาดใจจนตาแทบถลนออกมา
ในการต่อสู้ครั้งนั้น โจ๋วจือหยวนแทบไม่มีโอกาสได้สู้กลับ และพ่ายแพ้ไปในครั้งนั้น
มันเป็นฝันร้ายที่ไม่อาจเลือนหายของโจ๋วจือหยวน สิบปีมานี้ ด้วยความโกรธในใจของเขา เขาอุทิศตนเพื่อการฝึกฝน โดยหวังว่าวันหนึ่งเขาจะได้ลบล้างความอัปยศ
ที่นี่ เขาได้ส่งคนออกตามหาที่อยู่ของนักพรตแก่ในตอนนั้น แต่นักพรตแก่กับลูกศิษย์ราวกับหายไปในอากาศ สืบหาไม่พบร่องรอยใดๆเลย
ไม่คิดเลยว่าวันนี้จะได้พบกันที่นี่ แม้แต่ฝ่ามือเดียวตนยังคงเอาชนะเขาไม่ได้ จะแดกดันอย่างไรได้?
“เจ้าคือ...เด็กผู้ชายในปีนั้น?” โจ๋วจือหยวนพูดตะกุกกตะกักอย่างสับสน
“ดูแล้วท่านยังไม่ลืมสินะ” เซียวชุ่นพูดยิ้มๆ
“ตอนนี้จะได้ให้ท่านตายอย่างเลื่อมใสสุดจิต”
เขาค่อยๆยกมือขึ้น โบกสะบัดเบาๆในอากาศ ราวกับเวลาหยุดนิ่ง หิมะที่ตกทั่วฟ้าพลันหยุดกลางอากาศ
ครู่เดียว เขาคว้ามือไปในอากาศ ราวกับม่านหิมะถูกฉีกออก ขวานยักษ์ที่ก่อร่างจากเกล็ดหิมะปรากฏขึ้นในมือเขา โจ๋วจือหยวนตกตะลึงไปครู่หนึ่ง ไม่นึกเลยว่าเขาจะแข็งแกร่งถึงเพียงนี้
ขวานยักษ์ที่ก่อตัวจากเกล็ดหิมะเขาใช้ชี่แท้ของเขาสร้างมันขึ้นมาอย่างน่าประทับใจ ราวกับของจริง!
“ไป!”
เซียวชุ่นโบกขวานยักษ์ไปทางโจ๋วจือหยวน ขวานยักษ์ยาวสิบกว่าเมตรในมือเขานั้นเบาราวกับว่างเปล่า แต่กลับมีพลังสร้างโลกได้ ฟาดลำแสงสีขาว เกิดเสียงดังปัง!
สีหน้าของโจ๋วจือหยวนเปลี่ยนไปอย่างมาก เขารีบร้อนเร่งปลุกใจตัวเอง กระทืบเท้า พุ่งตัวออกไปไกลมากกว่าสิบเมตร
ปัง!
พื้นดินสั่นไหวราวกับเกิดแผ่นดินไหว กรวดหินกระเด็นบนพื้นหินสีฟ้า พื้นแยกออกราวหุบเขาลึกยาวหลายเมตร!
สายฟ้าฟาดที่โจมตีมานี้ แม้ว่าโจ๋วจือหยวนจะหลบได้อย่างหวุดหวิด แต่เขาก็ยังรู้สึกหวาดกลัวอยู่ในใจ
“อีก!”
ฟิ้วว !
เสียงหวีดหวิวที่ทำให้ผู้คนขนลุกซู่
ขวานยักษ์เล่มนั้นมีพลังลมที่เฉียบคมพัดมาอย่างแรง
วาดเงาสีขาวในอากาศ ทันใด หิมะบนพื้นดินก็ก่อตัวเป็นพายุหมุนสีขาวเล็กๆหลายลูก คำรามและหายไป
แล้วเซียวชุ่นเป็นเพียงเขยแต่งเข้าไร้ค่า อ่อนแอไร้ความสามารถ และถูกใครต่อใครรังแก
แต่เวลาสามเดือนสั้นๆ ซือคงซิงเดินมาด้วยความอับอายขายหน้าตลอดทาง แต่กลับถลึงตามองขยะที่โดนผู้คนดูถูกทุกหนทุกแห่ง ทะยานขึ้นไปบนท้องฟ้า ถือจักรวาลไว้ในมือ
แล้วเขากลับผลักให้ตระกูลซือคงลงสู่ขุมนรก
“ชิงโจ ทำไมไม่พูดไม่จา? เมื่อกี้นั่นมันเสียงอะไร ฟังไม่เหมือนเสียงปืนนะ”
“ซ่งชิงโจ? หรือว่ายังมีอาวุธหนัก?”
“เป็นไปได้ยังไง?”
ซ่งชิงโจมาถึงด้านนอกโถงจัดงานศพเพื่อรายงานสถานการณ์ต่อเฟิงหยวนเจี๋ยระหว่างที่พูดอยู่ก็เห็นฉากนั้น ทันใดเขาก็อึ้งจนพูดไม่ออก ยืนอึ้งเหมือนรูปปั้นอยู่อย่างนั้น
“เถ้าแก่ ฉันคิดว่าเขาไม่ต้องการคนคุ้มกัน...”
“พี่เซียว ตกลงพี่จะทำอะไรกันแน่? หรือว่าต้องฆ่าให้หมด?”
โจ๋วจือหยวนรู้ตัวว่าสู้ไม่ไหว ถ้าฝืนสู้ต่อไป ไม่เพียงปกป้องตระกูลซือคงไม่ไหว แม้แต่ชีวิตตัวเองก็ไม่แน่ว่าจะรักษาไว้ได้ เขารีบละทิ้งความคิดที่ครอบงำอยู่ก่อนหน้านี้และกล่าว
“ตัดหญ้ามันต้องถอนโคน เพื่อนฉันบอกสิ่งนี้กับฉันด้วยชีวิตของเขา” เซียวชุ่นพูดเสียงเย็น
“ถ้าเจ้าฆ่าข้า ก็จะทำให้ตระกูลโจ๋วขุ่นเคือง และจะทำให้สมาคมบู๊โบราณขุ่นเคืองไปด้วย ตามที่เจ้าพูด หรือเจ้าต้องไปฆ่าตระกูลโจ๋วให้หมด ฆ่าสมาคมบู๊โบราณให้สิ้นซากหรือ?”
“แล้วหลังจากนั้นล่ะ? ไม่ต้องพูดถึงสมาชิกนับหมื่นคนของสมาคมบู๊โบราณเลย แค่ตระกูลโจ๋วของข้าตระกูลเดียวก็หลายร้อยคนแล้ว ยังถลำลึกลงไปอีก หรือเจ้าจะต้องฆ่าคนหมมดทั้งโลกกันล่ะ?”
โจ๋วจือหยวนกล่าวต่อ : “วันนี้ที่เจ้าได้แสดงพลานุภาพ ทุกคนที่นี่ล้วนได้เห็นแล้ว เกรงว่าคนทั้งเจียงไห่ไม่มีใครกล้าเป็นศัตรูกับเจ้า เหตุใดยังไม่หยุดลงมือ ตกลงเจ้าต้องการอะไรกันแน่?”
“ฉันยินดีรอทำตามคำสั่งคุณเซียวเท่านั้น!”
“จากนี้ไปเจียงไห่เคารพคุณเซียว! หากเป็นศัตรูกับคุณเซียวก็จะเป็นศัตรูกับข้าด้วย!”
หลังจากการต่อสู้ครั้งนี้ บรรดาผู้มั่งคั่งและมีอำนาจที่ยืนอยู่ตรงทางเข้าโถงไว้ทุกข์ก็ตระหนักได้ว่า ตอนนี้เจียงไห่กำลังจะเปลี่ยนไป
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: เขยเลือดร้อน ตะลุยอาณาจักรบู๊
ไม่อัพต่อแล้วเหรอครับ...