ชิงหลานเกร็งร่างเพราะรู้สึกว่าหน้าอกของนางแนบชิดอยู่ช่วงท้องของ ชายหนุ่ม องค์ชายสิบห้าผิวแก้มแดงระเรื่อเพราะรู้สึกถึงความอวบหยุ่นที่สัมผัสร่างกายจนช่วงนั้นร้อนวูบวาบไล่ลงไปช่วงล่างและลุกลามแผ่มาถึงใบหน้าและใบหู
“มะ หม่อมฉันไม่เป็นไรแล้วเพคะ” นางพยายามจะผละออกแต่ราวสวรรค์กลั่นแกล้ง บัณฑิตหนุ่มกลุ่มใหญ่เดินเข้ามาใกล้ พวกเขาพูดคุยกันอย่างสนุกสนานองค์ชายจึงทรงปล่อยมือที่กุมนางเปลี่ยนเป็นรั้งเอวเข้ามาแนบชิดและยกร่างของนางพาหมุนหนีคนกลุ่มนั้นเข้าไปซอกแผงลอยขายของที่ถูกปิดคลุมเอาไว้ คุณหนูชิงถูกกดฝังอยู่ในอ้อมกอดขององค์ชายทั้งตัว สองแขนของชายหนุ่มโอบร่างนางไว้แน่น
“เจ้าอย่าเพิ่งขยับ ข้างหน้าดูเหมือนจะมีคนกลุ่มใหญ่กำลังทะลักเข้าถนนมา”
นางเอียงใบหน้าเพราะอยากรู้ว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น คนกลุ่มใหญ่ทยอยเดินเข้ามาจริงอย่างที่หมิงเฉิงอวี่บอก กังเฉินกับกังซือเฉินเห็นท่าไม่ดีจึงรีบเข้าไปยืนบังให้ องค์ชายกับคุณหนูชิง
“เดี๋ยวก่อนพวกท่าน! ข้าขอถามสักหน่อยเถิด” กังเฉินรีบดึงแขนบุรุษผู้หนึ่งเอาไว้เมื่อเขาหันมาก็รีบสอบถาม “เหตุใดพวกท่านจึงได้พากันมามากมายในคืนนี้?”
“เอ้า! ท่านไปอยู่ไหนมา? ไม่รู้หรือว่าคืนนี้มีการแสดงงิ้วที่สวนใกล้ๆ นี่เอง ใต้เท้าจื้อเป็นคนจ้างมาเองเลยเชียวนะ เห็นว่าอยากบวงสรวงบรรพบุรุษ”
“อืม….ข้าก็เพิ่งได้ยินนี่ล่ะ ขอบคุณท่านมาก”
“ไม่เป็นไร! พวกท่านไปดูด้วยกันไหมล่ะ?”
“ข้าขอคิดดูก่อนล่ะกัน เชิญท่านตามสบายเถิด”
ชิงหลานกับองค์ชายสิบห้าที่อยู่ข้างหลังกังเฉินได้ยินถ้อยคำโต้ตอบนั้นก็ค่อยคลายกังวล แต่พอคิดจะขยับอีกครั้ง แผงลอยที่ตั้งขายของพวกนั้นก็กำลังเก็บข้าวของตามไปขายที่หน้าโรงงิ้วกลางแจ้งแห่งนั้นด้วย องค์ชายสิบห้าไม่ยอมปล่อยคนในอ้อมแขนคนทั้งสองยืนอยู่ใกล้กำแพงคฤหาสน์ มีแผงลอยที่เก็บแล้วบังตามิให้ผู้คนได้เห็นว่าสองหนุ่มสาวกำลังอาศัยเงามืดยืนกอดกันกลมอยู่ เหล่าองครักษ์ที่ตามหลังมายืนแอบข้างทางและเบือนหน้าหนีไม่มีผู้ใดกล้าหันไปมองด้านที่กังเฉินกับกังซือเฉินยืนอยู่จงเหยียนได้แต่อิจฉาที่ตนไม่อาจจะทำเช่นองค์ชายได้เพราะยามนี้ยังอยู่ในหน้าที่ต้องอารักขาองค์ชายอย่างเข้มงวด เขาได้แต่หันไปกระซิบบอกเสี่ยวลิ่งให้เข้าไปหลบด้านในขณะที่ตนเองยืนบังผู้คนมิให้เข้าใกล้นางได้
“คนมากเกินไป หากเกิดเหตุร้ายขึ้นเจ้าอาจจะเป็นอันตราย” เสียงกระซิบที่ดังเหนือใบหูทำเอานางขนลุกขนชัน
“แต่หม่อมฉันก็มีวรยุทธ์พอเอาตัวรอดอยู่นะเพคะ”
“เจ้าอยู่เฉยๆ เถอะ! ตัวเจ้าเล็กแค่นี้อย่าเสี่ยงจะดีกว่า” น้ำเสียงของหมิงเฉิงอวี่ทั้งปลอบประโลมและข่มขู่อยู่ในที นางเป็นแค่สาวน้อยตัวเล็กๆ แต่กลับดื้อรั้นนัก ทั้งยังควบคุมได้ยาก องค์ชายคิดจะใช้ไม้แข็งกับนางเสียบ้างเพราะที่ผ่านมาพยายามใช้ไม้อ่อนแล้วแต่ชิงหลานกลับเอาแต่คิดหนี
“หม่อมฉันหายใจไม่ออกแล้วเพคะ” นางเงยหน้าขึ้นบอก หวังจะให้องค์ชายยอมคลายอ้อมแขน แต่กลับเป็นพระองค์ก้มหน้ามองนาง จังหวะนั้นใบหน้าของทั้งสองอยู่ห่างกันไม่ถึงครึ่งฝ่ามือ ลมหายใจอุ่นร้อนขององค์ชายพ่นลงบนสันจมูกของชิงหลานเบาๆ นางเผลอยิ้มน้อยๆ ให้กับคนร่างสูง
“เจ้า....อย่ายิ้มเช่นนี้ให้ผู้ใดอีกได้หรือไม่?” ลมหายใจของหมิงเฉิงอวี่ขาดห้วง แสงสว่างวับแวมรอบข้างสาดส่องใบหน้าน้อยในอ้อมแขน ยามนี้นางน่ารักจนองค์ชายแทบลืมหายใจ
“เพคะ” ชิงหลานรับคำอย่างเลื่อนลอยเมื่อมองดูใบหน้าคมสันที่อยู่ใกล้จนไม่อาจหลบสายตาคมของเขาได้
หากไม่ได้อยู่บนถนนที่คนยังเดินขวักไขว่เช่นนี้ หากมิได้มีคนตามเสด็จมาเป็นขบวนเช่นนี้...หมิงเฉิงอวี่รู้ว่าตนเองคงไม่อาจหักห้ามใจได้อีกต่อไป!
“คนไปหมดแล้วพะยะค่ะ” กังซือเฉินที่ยืนอยู่ห่างออกไปด้านหน้าโดยมีแผงขายของที่เจ้าของปิดไว้โดยเอาเสื่อมาบังทำให้มองไม่เห็นว่าองค์ชายกับคุณหนูชิงกำลังทำสิ่งใด
จงเหยียนที่ยืนอยู่ด้านหลังลอบสังเกตองค์ชายอยู่ตลอดถึงกับถอนหายใจ
‘เฮ้อ! กังซือเฉิน เจ้านี่มันช่าง...เฮ้ย! เห็นทีกลับถึงวังคงต้องสอนเจ้าอีกขนานใหญ่ เรื่องขัดคอองค์ชายเช่นนี้คอขาดบาดตายกว่าจับผู้ร้ายนัก’
“หลานเอ๋อร์! ข้ารู้ว่าเหตุผลแค่นั้นไม่น่าจะพอที่เจ้าจะอยากเข้าไปสืบเรื่องนี้ด้วยตนเอง เจ้าไม่เคยข้องเกี่ยวกับตระกูลเผย เหตุใดจึงทำตัวเหมือนคุ้ยเคยกับจวนของพวกเขานัก? ซ้ำยังทำตัวราวกับรู้จักมักคุ้นฮูหยินผู้เฒ่ามานานแล้วด้วย”
ชิงหลานสะดุ้ง นางไม่คิดว่าหมิงเฉิงอวี่จะสังเกตสิ่งเหล่านี้ สมกับที่เป็นคนตระกูลหมิงทั้งฉลาดและทันคนเสียจริง! เมื่อเห็นชิงหลานก้มหน้านิ่งเงียบ องค์ชาย สิบห้าก็ยิ่งร้อนพระทัย นางคงมีเรื่องที่คับข้องจนยากจะบอก สายตาของหมิงเฉิงอวี่เบือนออกจากนางเลยไปยังรถม้าที่จอดอยู่ไม่ไกลนัก
“อีกอย่าง...เรื่องที่เจ้ามีอาการกลัวรถม้าเป็นเพราะเหตุใดหรือ?”
คำถามแรกก็ทำให้สาวน้อยต้องคิดหนักแล้วแต่คำถามหลังยิ่งทำให้นางตกใจเข้าไปอีก “หม่อมฉันก็แค่จู่ๆ รู้สึกกลัวรถม้าขึ้นมาหลังจากหายป่วยหนักครั้งนั้นเพคะ”
“หากชั่วชีวิตของเจ้าไม่อาจนั่งรถม้าได้ แล้วต่อไปหากต้องเดินทางไกลเจ้าจะทำเช่นใด?” ตั้งแต่เห็นนางแสดงอาการหวาดกลัวในคราวนั้น องค์ชายสิบห้าก็ได้แอบสอบถามจังฮูหยินมารดาของชิงหลาน
“หม่อมฉันก็ยอมขี่ม้าไปสิเพคะ”
หมิงเฉิงอวี่ใคร่อยากจะรู้และช่วยนางแก้ไขอาการหวาดกลัวนี้ วันหนึ่งข้างหน้าที่นางกลายเป็นหวางเฟยของพระองค์ หากมีผู้คิดทำร้ายโดยการนำนางขึ้นไปขังบนรถม้าแล้วนางเกิดหวาดกลัวจนขาดใจตายขึ้นมา พระองค์จะทำเช่นใด?
“เจ้าไม่คิดบ้างหรือว่าหากเจ้าไม่รักษาอาการกลัวรถม้าต่อไปมันจะกลายเป็นจุดอ่อนของเจ้า”
*********************************
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: เกิดอีกคราเป็นชายาตัวร้าย(มีEbook)